เขาเกิดมาเพื่อเป็นนักเปียโน ตั้งแต่เด็กจนโตโลกของเขามีเพียงตัวโน้ต ตัวโน้ตได้เก็บรวบรวมความทุกข์โศกและความสุขของเขาไว้มากมาย แต่วันที่หายนะพรากเอามือที่เล่นเปียโนของเขาไป เขาก็ไม่มีโอกาสที่จะเป็นรูบินสไตน์ได้อีกแล้ว เป็นได้แค่เพียงนักเปียโนธรรมดาเท่านั้น โลกของเขาพังทลายลงทันที จากนั้นความสุขก็ค่อยๆ เลือนหายไป
เซียวเซียวมองเขาแล้วกัดริมฝีปาก “คุณไม่อาจเป็นรูบินสไตน์ได้ แต่คุณก็เป็นโชแปงได้นี่”
“โชแปง?”
“นักดนตรีเป็นเพียงแค่คนในยุคสมัยหนึ่งเท่านั้น แต่ผู้ประพันธ์เพลงจะยังคงอยู่ตลอดกาล” ดวงตาของเซียวเซียวเป็นประกายขึ้นมา “ก็เหมือนกับฉัน ไม่อาจจะเป็นซูเปอร์โมเดลได้ แต่ฉันเป็นดีไซเนอร์ได้ ชื่อเสียงของดีไซเนอร์ยืนยาวกว่านางแบบ มนุษย์เรายากที่จะจดจำคริสตินา อากีเลราหรือคลอเดีย ชิฟเฟอร์ได้ตลอดกาล แต่จะจดจำโกโก้ ชาแนลได้ตลอดไป”
เซียวเซียวกุมแก้มบานๆ ของเธอ เธอเองก็เคยมีความฝันอยากจะเป็นซูเปอร์โมเดล แต่เพราะความสูงไม่ถึงเธอจึงเป็นนางแบบฟิตติ้งให้กับอเดอลีนให้พอหายอยาก แต่สุดท้ายแม้แต่นางแบบฟิตติ้งก็เป็นไม่ได้แล้ว ทว่าอย่างไรก็ต้องมีสักวันหนึ่งที่เธอจะได้เป็นบุคคลมีชื่อเสียงซึ่งถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ดังเช่นชาแนล
มู่เจียงเทียนที่ได้ยินคำพูดแบบนี้เป็นครั้งแรกพลันนิ่งไป ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้สติกลับมา เขาหัวเราะอย่างฝืนๆ “คุณก็ให้ค่าผมมากเหลือเกิน ผมจะเป็นโชแปงได้ยังไงกัน”
“ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าไม่ได้ ตอนนั้นโชแปงก็คงไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเป็นโชแปงที่ทุกคนรู้จัก” เซียวเซียวพูดเหมือนรู้และเข้าใจทุกอย่างดี
มู่เจียงเทียนไม่ได้พูดอะไรอีก แล้วก็ไม่ได้เล่นเปียโนต่อด้วย เขาก้มหน้าลง มือสัมผัสคีย์บอร์ดเปียโนเบาๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เมื่อเซียวเซียวเห็นว่ามู่เจียงเทียนไม่ได้สนใจเธอแล้วจึงลุกขึ้นอย่างอายๆ เธอเงยหน้ามองก็เห็นจั่นหลิงจวินที่ยืนอยู่หน้าประตูกำลังมองเธอด้วยสายตาที่อธิบายไม่ได้
เธอค่อยๆ เดินอย่างเบาๆ ไปถึงที่หน้าประตู ก่อนจะหันกลับไปมองมู่เจียงเทียนด้วยจิตใจสับสน แล้วถามจั่นหลิงจวินด้วยเสียงแผ่วเบา “ฉันพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า”
จั่นหลิงจวินก้มหน้ามองเธอนิ่งอยู่ครู่ใหญ่แล้วพูดออกมา “คุณเหมือนดอกทานตะวัน”
“หา?!” เซียวเซียวกะพริบตาปริบๆ แล้วดันแก้มขึ้นมาพลางพูดด้วยอารมณ์โมโห “นี่คุณว่าฉันหน้าบานใช่ไหม” เวลาคนอื่นเขาพูดถึงหญิงสาวจะพูดว่าบริสุทธิ์เหมือนกับบัวขาว อ่อนช้อยเหมือนกับแดฟโฟดิล เมื่อถึงเธอหน้าใหญ่ๆ ก็กลายเป็นดอกทานตะวัน
จั่นหลิงจวินไม่ได้อธิบายอะไรต่อ การนิ่งเงียบเหมือนเป็นการยอมรับ จากนั้นเขาก็เดินอ้อมเซียวเซียวเข้าไปในห้อง ทำเอาเธอหงุดหงิดใจมาก ยังดีที่เธอรู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนอย่างไร พอสนิทสนมกันแล้วก็มักจะขุดข้อด้อยของเธอออกมา
เซียวเซียวเดินจากไปอย่างหงุดหงิด ทิ้งให้จั่นหลิงจวินมองหน้ามู่เจียงเทียนอย่างเงียบๆ
“นายบอกว่าเธอเหมือนดอกทานตะวัน เป็นความหมายเดียวกับที่ฉันเข้าใจใช่ไหม” มู่เจียงเทียนค่อยๆ ปิดฝาเปียโนลง
จั่นหลิงจวินไม่พูดอะไร เขาหยิบภาพที่เรียงต่อกันด้วยเศษผ้าขึ้นดู ผ้าสีทองแทนดวงอาทิตย์ ในห้องเปียโนแคบๆ จุดเด่นของภาพนี้ไม่ใช่นักเปียโนผู้โดดเดี่ยว แต่เป็นแสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างไปทั่วทุกหนแห่ง
“ดอกทานตะวันเป็นดอกไม้ที่หันไปหาแสงสว่าง หันไปหาดวงอาทิตย์ตลอดกาล เธอเป็นความหวัง เป็นพลังที่เกิดขึ้นและไม่ดับมอด” มู่เจียงเทียนลุกขึ้นยืนพลางคลำหาไม้เท้าคนตาบอด “ฉันยังจำกลอนของหลิงอี้ได้”
จั่นหลิงจวินเม้มริมฝีปากบางแน่น ส่งภาพในมือนั้นคืนให้มู่เจียงเทียน “เก็บของขวัญจากแฟนคลับไว้ให้ดีด้วย”
(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 พ.ย. 62)