ชายหนุ่มห่มผ้าห่มผืนบางๆ ไว้ตรงช่วงเอวลงไป ผิวของร่างกายท่อนบนที่โผล่ออกมานั้นมันวาวและสะอาดสะอ้าน กล้ามเนื้อได้สัดส่วน เพราะท่านอนกึ่งคว่ำกึ่งตะแคงจึงเผยให้เจียงเหม่ยซีเห็นเพียงใบหน้าด้านข้างของเขาเท่านั้น แม้จะเป็นเพียงใบหน้าด้านข้าง แต่ขนตายาวเป็นแพหนา สันจมูกสูงโด่ง และสันกรามเป็นแนวเส้นงดงาม ล้วนมองออกได้ไม่ยากว่าเป็นใบหน้าที่หล่อเหลาทีเดียว
เจียงเหม่ยซีพรูลมหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว ราวกับว่าไม่ได้อารมณ์เสียขนาดนั้นแล้ว
เธอหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวมอย่างเบามือเบาเท้า หมายจะฉวยโอกาสรีบหนีไปก่อนที่ผู้ชายคนนี้จะตื่น แต่ตอนที่เก็บกวาดเสร็จเรียบร้อยแล้วและกำลังจะหิ้วรองเท้าส้นสูงออกไปจากห้อง เธอกลับลังเลขึ้นมาเล็กน้อย
ถึงอย่างไรเมื่อคืนเธอก็เป็นคนที่มาผิดห้องก่อน และในความทรงจำก็ดูเหมือนว่าเธอเองเป็นฝ่ายเริ่มก่อนด้วย ทัศนคติในเรื่องแบบนี้ของเจียงเหม่ยซีนั้นคล้ายกับเจ้านายของเธอคือค่อนข้างจะหัวตะวันตก แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยรู้สึกว่าผู้หญิงเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพียงคิดว่าต่างฝ่ายต่างได้ในสิ่งที่ต้องการก็เท่านั้น
เจียงเหม่ยซีกวาดตามองห้องที่สภาพเละเทะไปทั่ว เมื่อคืนเขาเองก็ปล่อยให้เธออยู่ ทั้งยังคอยดูแลเธอ และที่สำคัญเรื่องบางอย่างก็ดูเหมือนจะค่อนข้างเข้ากันได้ดีอีกด้วย แต่เธอกลับทำห้องของเขาเละเทะไปหมด โดยเฉพาะโซฟาในห้องรับแขกชุดนั้นที่ดูท่าทางจะราคาแพงไม่น้อย ทว่ากลับมีคราบเหมือนว่าเธอเคยอาเจียนใส่มันปรากฏอยู่ด้วย จากไปโดยไม่ลาแบบนี้ดูเหมือนจะน่าเกลียดไปหน่อย…
เธอกลับเข้ามาในห้องนอนอีกครั้งแล้วค้นเอาเงินสดทั้งหมดที่อยู่ในกระเป๋าออกมาวางบนโต๊ะตรงหัวเตียงแล้วใช้นาฬิกาข้อมือของเขาวางทับเอาไว้ คิดๆ ดูแล้วก็รู้สึกว่ายังไม่พอจึงทิ้งกระดาษโน้ตไว้แผ่นหนึ่ง เขียนเบอร์โทรศัพท์ของตนเองรวมถึงข้อความประโยคหนึ่งว่า
‘ถ้าไม่พอ กรุณาติดต่อฉันอีกที’
เสียงปิดประตูด้านนอกดังขึ้น เยี่ยสวี่ค่อยๆ ลืมตา จินตนาการถึงท่าทางของใครบางคนที่ทำราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องใหญ่โตตั้งแต่เช้าก็อดยิ้มไม่ได้ แต่เมื่อกวาดสายตามองเห็นเงินที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหัวเตียงรอยยิ้มของเขาก็แข็งค้างไปทันที เยี่ยสวี่ลุกขึ้นนั่งก่อนเอื้อมไปหยิบกระดาษโน้ตที่อยู่ข้างใต้นาฬิกาข้อมือออกมา เพียงอ่านแวบเดียวสีหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ
เจียงเหม่ยซีเพิ่งจะกลับถึงห้องเสียงนาฬิกาปลุกในโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมา วันนี้เธอตื่นเช้ากว่าปกติสิบห้านาที และเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังมีเรื่องของบริษัทที่สำคัญมากซึ่งเธอต้องไปจัดการ นั่นก็คือขั้นตอนสุดท้ายในการรับสมัครพนักงานใหม่ที่มีปีละครั้งของโยวจี้…การสัมภาษณ์โดยกรรมการผู้จัดการจะดำเนินไปในเช้าวันนี้
ที่บอกว่าสำคัญนั้นมีอยู่สองเหตุผลนั่นคือหนึ่ง เธอต้องไปเป็นคนสัมภาษณ์แทนกรรมการผู้จัดการ สอง ในจำนวนคนที่มาสอบสัมภาษณ์นั้นมีมู่ตี๋ซึ่งเป็นหลานสาวแท้ๆ ของอยู่เธอด้วย
นึกถึงมู่ตี๋แล้วเจียงเหม่ยซีก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อย
ด้วยทัศนคติของมู่ตี๋ที่ทำอะไรถูๆ ไถๆ ให้ผ่านไปวันๆ ไม่แสวงหาความก้าวหน้า ทั้งยังเห็นได้ชัดว่าไม่ได้เป็นพวกหัวกะทิ ดังนั้นแม้เจ้าตัวจะฟลุกสอบติดมหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และการเงินแล้วอยู่รอดจนจบมหาวิทยาลัย แต่เมื่อเทียบกับมาตรฐานในการรับคนเข้าทำงานของโยวจี้แล้วมู่ตี๋ยังขาดคุณสมบัติไปไม่น้อยจริงๆ ทว่าดูเหมือนหลานสาวคนนี้ไม่ค่อยใส่ใจสักเท่าไหร่ว่าจะเข้าโยวจี้ได้หรือเปล่า แต่คุณนายเจียงสองคนที่บ้าน…แม่ของเจียงเหม่ยซีกับพี่สาวของเธอต่างให้ความสนใจกับเรื่องนี้มาก ทั้งยังพูดบางอย่างที่มีความหมายโดยนัยว่าหากมู่ตี๋ไม่ได้เข้าทำงานที่นี่ นั่นก็เป็นเพราะความไม่รับผิดชอบของน้าเล็กอย่างเจียงเหม่ยซี
เจียงเหม่ยซีเพิ่งจะถึงบริษัทและจอดรถเสร็จ สายโทรศัพท์จากคุณนายเจียงก็ดังขึ้นอีกครั้งอย่างที่คิดไว้