THE ARCHITECTURE OF LOVE ออกแบบร่างก่อสร้างรัก
ทดลองอ่าน THE ARCHITECTURE OF LOVE ออกแบบร่างก่อสร้างรัก บทที่ 1
“เท็ดดี้!”
“เอริน!”
เจ้าของงานกับแขกอย่างเท็ดดี้กับเอรินโผเข้ากอดกัน ในมือเขาถือขวดเบียร์อยู่ก่อนแล้ว
“นี่เพื่อนฉัน ไรยา”
“ไง ผมเท็ดดี้นะ เข้ามาเลย!”
ขณะที่ไรยาตามเอรินกับเท็ดดี้เข้าไปในอพาร์ตเมนต์ เธอก็รู้สึกแล้วว่าตัวเองไม่เหมาะกับปาร์ตี้ส่งท้ายปีเก่าจริงๆ ห้องที่เต็มไปด้วยคนแปลกหน้ากับดนตรีเสียงดังกระหึ่มไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการในตอนนี้ เธอสงสัยว่าทุกคนที่นี่ทั้งที่กำลังหัวเราะและโยกตัวไปกับเสียงเพลงนั้นมีความสุขจริงๆ หรือเปล่ากับการต้อนรับปีใหม่
มันอาจจะฟังดูอคติไปหน่อย ไรยารู้ดี แต่เธอคิดว่าปาร์ตี้ส่งท้ายปีเก่าเป็นแค่กับดัก เป็นภาพลวงตาของการเริ่มต้นใหม่ เป็นความรู้สึกจอมปลอมของการได้เปลี่ยนแปลงเป็นคนที่ดีขึ้น เราไม่ควรยึดติดกับวันในปฏิทินถ้าเราอยากสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตจริงๆ ถึงอย่างไรตัวเราเองก็คือคนที่รู้ว่าตอนไหนควรจะเริ่มเปลี่ยน และถ้าให้พูดตามตรง ผู้คนส่วนใหญ่ตื่นขึ้นมาในวันที่ 1 มกราคมด้วยความมึนงงและอาการเมาค้างกันทั้งนั้น วันทั้งวันก็ไม่มีอะไรทำนอกจากนอนขี้เกียจอยู่อย่างนั้น ไม่ได้ว้าวอย่างที่คิดไว้ แล้วพอไปทำงานในวันต่อมา ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีใครตื่นมาแล้วกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีศักยภาพที่จะสามารถระเบิดไอเดียใหม่ๆ ออกมาได้ในทันทีหรอก
ปฏิทินไม่ใช่สิ่งที่ตัดสินว่าคุณควรเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้นเมื่อไหร่ แต่เป็นตัวคุณเองต่างหาก
“มาเร็ว มาเจอเพื่อนๆ ฉัน” เอรินพูดพร้อมดึงแขนไรยาด้วยความกระตือรือร้น เธอพาไรยาเดินไปรอบห้อง โปรยยิ้มไปทั่วและทักทายทุกคน รู้ตัวอีกที อีกสี่สิบนาทีก็จะเที่ยงคืนแล้ว ไรยานั่งพักบนโซฟาข้างเตาผิงพร้อมแก้วไวน์ในมือตามลำพัง เธอสังเกตไปทั่วทั้งห้องรวมถึงผู้คนที่อยู่ข้างใน ก่อนหน้านี้เอรินพูดว่าอะไรนะ ‘ใครจะไปรู้ เธออาจจะพบแรงบันดาลใจในคืนนี้ก็ได้’
อีกฟากหนึ่งของห้อง เอรินกำลังสนุกสนานตามสไตล์สาวนักปาร์ตี้ตัวยง ทั้งหัวเราะและเต้นรำไปกับผู้คน คนส่วนใหญ่ในงานคือชาวอินโดนีเซียที่อยู่นิวยอร์กมานานแล้ว บางคนก็ทำงานที่นี่ บางคนกำลังเรียนต่อในระดับที่สูงกว่าปริญญาตรี ไรยาเคยเจออยู่สองสามคน ที่เหลือเป็นคนแปลกหน้าทั้งหมด
“ไง” ผู้ชายคนหนึ่งที่อยู่ดีๆ ก็นั่งลงข้างเธอทัก “ไรยาใช่ไหมครับ”
ไรยาพยักหน้า เธอยิ้มระหว่างพยายามนึกชื่อของชายหนุ่มที่นั่งข้างเธอ
“อากา” ชายหนุ่มกล่าว
“โอ้ ใช่ อากา โทษทีค่ะ คืนนี้ฉันเจอคนเยอะมากเลย ฉันจำชื่อคนไม่เก่งจริงๆ”
“ไม่เป็นไรครับ” อากายิ้ม “เอรินบอกผมว่าคุณเป็นนักเขียน”
“ใช่ค่ะ”
“สุดยอดเลย! ผมไม่เคยเจอนักเขียนมาก่อน รู้ไหม ผมนึกว่านักเขียนจะดูเนิร์ดๆ แต่ดูคุณสิ” เขาพูด ชื่นชมเธออย่างไม่ปิดบัง
ไรยาหัวเราะ “ขอบคุณค่ะ”
“คุณจะอยู่นิวยอร์กอีกนานแค่ไหนเหรอครับ ยา ผมเรียกคุณว่ายาได้ใช่ไหม”
“ได้ค่ะ ไม่รู้สิคะ น่าจะอยู่ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเบื่อล่ะมั้ง”
“โอ้ ถ้างั้นคุณคงไม่ได้กลับหรอก คุณจะไม่มีวันเบื่อเมืองนี้ เมืองนี้ไม่มีวันน่าเบื่อ!” อากามองรายาและหัวเราะสดใส
“เหรอคะ ฉันแค่หนีมาพักช่วงสั้นๆ น่ะค่ะกา มาหาแรงบันดาลใจ แค่นั้นเลย”
“แล้วเจอรึยังครับ”
“อะไรเหรอคะ”
“แรงบันดาลใจน่ะ”
ไรยาส่ายหน้า มันอาจจะฟังดูเว่อร์ไปหน่อย แต่สภาวะเขียนไม่ออกไม่ต่างอะไรจากหมัดหนักๆ ที่อัดใส่เธอเลย บางทีนั่นอาจเป็นสิ่งที่ทำให้เธอรู้ว่าเธอรักการเขียนมากแค่ไหน แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ บางครั้งสิ่งที่เรารักก็ทำให้เราทุกข์ได้เหมือนกันใช่ไหมล่ะ
“จะว่าอะไรไหมถ้าผมอยากจะช่วย” อากาบอก ดวงตาคมปลาบยังคงจับจ้องมาที่เธอ
“ช่วยเรื่อง…” ไรยากล่าว เสียงขาดหายไปในอากาศ
“ตามหาแรงบันดาลใจไงครับ”
ไรยาหัวเราะอีกครั้ง “ฉันก็อยากให้มันง่ายแบบนั้นนะกา”
“ผมพูดจริงนะ” ดวงตาของอากาวาววับเต็มไปด้วยพลังงาน “ผมอยากรู้ว่านักเขียนทำงานกันยังไง ปกติคุณหาไอเดียจากไหนเหรอยา”
ไรยายักไหล่ “มันก็ไม่แน่นอนหรอกค่ะ บางทีไอเดียก็ผุดขึ้นมาเอง บางทีก็มาจากสิ่งที่ได้อ่านหรือสิ่งที่ได้ดู หรือไม่ก็สิ่งที่ได้ฟัง”
“โอเค งั้นคุณอยากฟังอะไรไหมล่ะ”
“อะไรเหรอคะ”
“เรื่องราวชีวิตของผม”
อา…นี่คือโชคชะตาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของนักเขียน ทุกครั้งที่คุณพบเจอผู้คนใหม่ๆ พวกเขาจะถามหนึ่งในสามคำถามนี้ หนึ่ง ‘โอ้ แล้วงานหลักของคุณคืออะไรล่ะ’ ราวกับการเขียนไม่ใช่งานเต็มเวลาอย่างนั้นแหละ สอง ‘ปกติคุณหาไอเดียจากไหนเหรอ’ ซึ่งอากาได้ถามไปแล้ว และสาม ‘คุณอยากฟังเรื่องราวชีวิตของฉันไหม มันอาจให้แรงบันดาลใจกับคุณก็ได้นะ’ คำถามข้อที่สามนี้เป็นคำถามที่ไรยาได้รับบ่อยที่สุดจากทั้งหมด เธอมักจะได้รับอีเมลจากนักอ่านจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถามว่า ‘ไรยา คุณเขียนเรื่องราวชีวิตของฉันได้ไหม’
คนที่ไม่คุ้นเคยกับอิสระของการเป็นนักเขียนย่อมไม่เข้าใจกระบวนการทั้งหมดนี้ พวกเขาไม่รู้ว่านักเขียนไม่ได้ทำงานเหมือนกุ๊ก คุณจะสั่งนักเขียนเหมือนสั่งข้าวผัดไม่ได้ ‘เอาหนึ่งที่ เผ็ดพิเศษ’ หรือ ‘เอาหนึ่งที่ เพลาๆ ซีอิ๊วขาวหน่อย ใส่พริกด้วย’ หรือ ‘เอาสองที่ จานหนึ่งเผ็ดๆ ใส่หอมแดง อีกจานใส่แค่ซีอิ๊วหวาน ไม่ใส่ผงชูรส’ แน่นอนว่ากุ๊กทำข้าวผัดตามที่คุณสั่งได้ แต่รู้ไหมว่าบางทีนักเขียนก็ไม่ได้อยากทำข้าวผัดสักหน่อย บางทีพวกเขาก็แค่อยากทำก๋วยเตี๋ยว
แต่ก่อนที่ไรยาจะตอบอะไรออกไป อากาก็เริ่มเล่าเรื่องของตัวเองแล้ว และไรยาปล่อยให้เขาเล่าไป อากาดูเป็นคนนิสัยดีและไม่มีพิษภัย แถมยังดูตื่นเต้นมากขณะเปิดเผยเรื่องราวของตัวเองกับเธอ น่ารักดีเหมือนกัน
ไรยาเริ่มกังวลตอนเธอดูเวลา อีกห้านาทีจะเที่ยงคืนแล้ว ไอ้จูบส่งท้ายปีเก่าตอนเที่ยงคืนบ้าบอนั่น อากานั่งอยู่ข้างเธอ ไม่ว่าเขาจะหล่อแค่ไหน ไรยาก็ไม่ได้อยากจูบเขาแค่เพราะว่านี่เป็นวันส่งท้ายปีเก่า การจูบควรเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำในงานสาธารณะ
“หิวน้ำไหมครับ อยากได้อีกแก้วไหม” อากาถาม เขาชี้ไปยังแก้วไวน์ของเธอที่ใกล้หมดแล้ว
“เอาสิคะ แต่ไม่อยากดื่มไวน์แล้วค่ะ ฉันดื่มไปมากพอแล้ว”
“งั้นโค้กดีไหมครับ” อากาพูดพลางลุกขึ้นยืน
ไรยาพยักหน้า กะจะใช้โอกาสนี้ในการหายตัวไปสักพักจนกว่าจะเคานต์ดาวน์กันเสร็จ
“กา ห้องน้ำอยู่ตรงไหนเหรอคะ”
“เดินตรงไปจนสุดเลยครับ ประตูสุดท้ายด้านซ้าย”
เสียงเพลงดังเป็นจังหวะหนักหน่วง เสียงหัวเราะกับเสียงพูดคุยดังขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนส่งต่อแตรกับกระดาษสีให้กันและกัน ทีวีจอใหญ่บนผนังฉายภาพพิธีกรหนุ่มไรอัน ซีเครสต์ที่ไทม์สแควร์ ขณะกำลังรอชมการปล่อยลูกบอลยักษ์* เป็นที่ชัดเจนว่าไรยาต้องไปซ่อนตัวเดี๋ยวนี้
ไรยารีบเดินฝ่าผู้คนเข้าไปในห้องน้ำ เธอปิดประตูแล้วหยิบมือถือขึ้นมาดู แล้วก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองพลาดที่ไปเปิดอ่านเมนชั่นในทวิตเตอร์ แต่ละข้อความที่ได้รับมีเนื้อหาไม่ได้ต่างกันเลย
‘สุขสันต์วันปีใหม่นะไรยา! ปล่อยเรื่องใหม่ออกมาได้แล้ว รอไม่ไหวแล้วค่า!’
‘ไง ไรยา เรารอเรื่องใหม่มาสองปีแล้วนะ ปีนี้ปล่อยออกมาสักเรื่องเถอะได้โปรด!’
‘ไรยา คุณไปทำอะไรที่นิวยอร์กเหรอ กลับถึงบ้านแล้วจะปล่อยเล่มใหม่ไหม เย่!’
‘ไรยา ได้โปรดเขียนเรื่องใหม่เถอะนะ ฉันอ่านนิยายเรื่องล่าสุดของคุณไปยี่สิบรอบจนมันขาดแล้วเนี่ย คิดถึงการได้อ่านงานใหม่ๆ ของคุณจัง’
ฉันก็เหมือนกัน เด็กน้อย ฉันก็เหมือนกัน ไรยาคิดในใจ