THE ARCHITECTURE OF LOVE ออกแบบร่างก่อสร้างรัก
ทดลองอ่าน THE ARCHITECTURE OF LOVE ออกแบบร่างก่อสร้างรัก บทที่ 2
เริ่มต้นเดือนมกราคมในแมนฮัตตันด้วยความอบอุ่นอันเบาบาง อุณหภูมิเพิ่มขึ้นเป็นเจ็ดองศา ลมไม่แรงเหมือนก่อนหน้านี้และมีแดดอ่อนๆ แม้จะยังมีหิมะตกอยู่ก็ตามที อากาศดีมาก เหมาะสำหรับการเดินเล่นเลย และในบ่ายวันนั้นไรยาเลือกที่จะเดินตัดเข้าไปในเซ็นทรัลพาร์ก เธออยากจะนั่งลง คอยมองและสังเกตผู้คนที่ลานสเก็ตน้ำแข็งโวลแมน บางครั้งไอเดียสำหรับการเขียนก็ผุดขึ้นจากการกระทำง่ายๆ อย่างการเฝ้าสังเกต
ไรยาเดาว่าวันนี้ที่ลานสเก็ตน่าจะคนไม่เยอะเพราะทุกคนคงนอนหลับอยู่บ้านเพื่อเติมพลังหลังจากฉลองวันส่งท้ายปีเก่ากันยันสว่าง แต่กลายเป็นว่าคนเยอะพอสมควร หลายคนคงเสียดายถ้าปล่อยให้วันที่อากาศดีแบบนี้ผ่านไปเฉยๆ
ไรยาเลือกม้านั่งตัวหนึ่งแล้วนั่งไขว่ห้างลงบนนั้น เสื้อโค้ตติดกระดุมเรียบร้อย มือขวาถือแก้วลาเต้ร้อนของสตาร์บัคส์ที่เธอกะจะค่อยๆ จิบระหว่างซึมซับบรรยากาศรอบตัว นักเขียนคือหนึ่งในอาชีพที่เปล่าเปลี่ยวที่สุดในโลก ในยามที่เขียนเรื่องราวต่างๆ เวลาเขียนจะมีเพียงนักเขียนกับหน้ากระดาษ หรือไม่ก็เครื่องพิมพ์ดีดหรือแล็ปท็อปเท่านั้น ความสัมพันธ์แบบนี้ไม่มีช่องว่างให้บุคคลที่สาม ไม่ว่าจะเป็นตอนเสาะหาแรงบันดาลใจหรือตอนที่อยู่ท่ามกลางผู้คน ไรยาจะทำตัวเป็นคนนอก เป็นเพียงผู้สังเกตที่แยกตัวเองออกจากผู้คนด้วยการสร้างฟองอากาศล่องหนคลุมตัวเองเอาไว้ ถ้าผ้าคลุมล่องหนมีจริง ไรยาจะเป็นคนแรกที่ไปต่อคิวซื้อแน่นอน ไม่ต่างจากที่คนไปต่อคิวซื้อเสื้อผ้าราคาย่อมเยาจากดีไซเนอร์ชื่อดังในสมัยก่อนอย่างคอลเล็กชั่นบัลแมงของเอชแอนด์เอ็ม มันเป็นสิ่งที่เธอต้องการมากที่สุดแล้ว เครื่องมือที่จะช่วยให้เธอสังเกตสิ่งต่างๆ ได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็นและแอบฟังได้โดยที่ไม่มีใครรู้ตัว
การสังเกตของเธอมีอยู่สองวิธี วิธีแรกคือเปิดหูเปิดตาให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้สองประสาทสัมผัสนี้ตื่นตัวเพื่อเก็บเกี่ยวเรื่องราวจากผู้คนรอบตัว อย่างบทสนทนาของคู่ที่นั่งอยู่ข้างๆ หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นตรงหน้า วิธีที่สองซึ่งเป็นวิธีที่เธอกำลังใช้อยู่คือหยิบไอพอดออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ใส่หูฟัง และกดเล่นเพลง พลางกวาดสายตามองหาเรื่องราวจากสีหน้าของผู้คนตรงหน้าและรอบๆ ตัวเธอ ระหว่างที่มีดนตรีเป็นซาวนด์แทร็กเปิดคลอ ไรยาจะแต่งเรื่องราวขึ้นในใจ เรื่องราวที่มีแต่เธอเท่านั้นที่รู้ เรื่องราวที่เธอจะเก็บซ่อนรักษาไว้อย่างหวงแหนราวกับเป็นความลับ จนกระทั่งนักอ่านของเธอมีโอกาสได้อ่านในอีกไม่กี่เดือนหรือไม่กี่ปีต่อมา
อันเดรอา โบเชลลีกับคริส บอตตีขับกล่อมเธอด้วยเพลงเวนไอฟอลอินเลิฟ ไม่มีอะไรจะเหมาะกับเมืองอย่างนิวยอร์กไปกว่าเพลงแจ๊ซ บลูส์ และคลาสสิกอีกแล้ว ดนตรีบรรเลงขึ้นเป็นสัญญาณให้เธอเริ่มสังเกตสิ่งที่อยู่รอบตัว ดวงตาของเธอไปสบเข้ากับคุณแม่ที่กำลังเล่นสเก็ตกับลูกสาวสองคนที่ไถวนไปมาอย่างสนุกสนาน คุณพ่อที่กำลังสอนลูกชายเล่นสเก็ตอย่างค่อยเป็นค่อยไป ดูจากสีหน้าแล้ว ไรยาพอจะเดาบทสนทนาระหว่างคุณพ่อกับลูกชายได้เลย ‘เร็วเข้าไอ้หนู ทำได้น่า นั่นแหละ มาเร็ว พ่อจับอยู่’
แล้วสายตาเธอก็เลื่อนไปเห็นคู่รักคู่หนึ่งจับมือกันไถสเก็ต พวกเขาหัวเราะร่าและจุ๊บกันเป็นครั้งคราว ว่ากันว่าปารีสคือเมืองแห่งความรัก แต่สำหรับไรยา นิวยอร์กเหมาะกับฉายานั้นมากกว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะไม่ตกหลุมรักเมืองนี้ อย่างที่มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะไม่ตกหลุมรักในเมืองนี้
โอ้ นี่ไงล่ะ! ประโยคเปิดเรื่อง! ไรยาบอกตัวเอง ตาเป็นประกาย เธอหยิบสมุดโน้ตเล็กๆ กับปากกาออกจากกระเป๋าเสื้อโค้ตแล้วเริ่มจด
‘ว่ากันว่าปารีสคือเมืองแห่งความรัก แต่สำหรับฉัน นิวยอร์กเหมาะกับฉายานั้นมากกว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะไม่ตกหลุมรักเมืองนี้ อย่างที่มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะไม่ตกหลุมรักในเมืองนี้’
เยี่ยม ผ่านไปสองเดือน ในที่สุดก็ได้ประโยคแรก! ไรยาปลื้มปีติจนแทบจะกระโดดไปมาด้วยความเบิกบานใจ ถ้าเธอไม่ได้อยู่ในที่สาธารณะ เธอคงทำไปแล้วจริงๆ แต่ถ้ามีใครมองเธออยู่ พวกเขาจะรู้สึกได้เลยว่าอารมณ์ของเธอเปลี่ยนไป เธอยืดตัวขึ้นและเคาะปากกาลงบนสมุด ตื่นเต้นที่จะหาไอเดียเพิ่ม คิดสิ ไรยา คิด คู่รักที่เธอแอบมองเมื่อครู่ไปยืนพักที่ขอบลานแล้ว ยังคงคุยกันอย่างเพลิดเพลินด้วยสีหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความรัก ส่วนคุณพ่อกำลังปลอบลูกชายที่ร้องไห้เพราะลื่นล้ม เสียงหัวเราะและบทสนทนากลืนไปกับผู้คน ขณะที่เธอเลื่อนสายตาไปรอบๆ เซ็นทรัลพาร์ก เธอก็เห็นเขา เสื้อแจ็กเก็ตสีน้ำเงินเข้ม กางเกงยีน รองเท้าผ้าใบสีน้ำตาล และถุงเท้าสีเขียวคู่เดิมที่ไรยาเคยเห็นตอนเขานั่งไขว่ห้างเมื่อคืน เจ้าถุงเท้าสีเขียวอันคุ้นหน้าคุ้นตา วันนี้ชายหนุ่มสวมหมวกบีนนี่สีเทาเข้มคลุมผมไว้ด้วย เขานั่งบนม้านั่งคล้ายๆ กับตัวที่ไรยานั่งอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามของลานสเก็ต ในมือถือสมุดสเก็ตช์กับดินสอ
พี่ชายไร้ชื่อของอากา
บางสิ่งบางอย่างโน้มน้าวให้ไรยาเก็บไอพอดกับสมุดใส่กระเป๋าแล้วเดินตรงไปทางนั้น แต่เธอก็ลังเล เธอไม่อยากรบกวนการปลีกวิเวกของเขาอีกรอบหลังจากบังเอิญเข้าไปในห้องนั้นโดยไม่ได้รับอนุญาตเมื่อคืน
แต่ไรยาห้ามอาการอยากรู้อยากเห็นของตัวเองไม่ไหว เธอยังไม่กล้าพอที่จะเข้าไปหาเขา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแอบสังเกตรูปร่างและสีหน้ามุ่งมั่นของเขาขณะวาดรูปลงบนสมุดสเก็ตช์ ชายหนุ่มที่ไรยารู้แค่ว่าเป็นพี่ชายของอากาดูเหมือนจะจมอยู่ในโลกของตัวเองอย่างที่ไรยาเป็นเวลาเธอแต่งนิยาย เขาถือสมุดสเก็ตช์ไว้ในมือขวาขณะขีดเขียนดินสอลงไปบนหน้ากระดาษด้วยมือซ้าย เบนความสนใจไปยังโลกภายนอกบ้างเป็นครั้งคราวเพื่อมองวิวรอบตัว
ขณะที่เขาเคลื่อนสายตาไปรอบๆ ตาเขาก็สบเข้ากับไรยา ทำเอาเธอผงะ พลันรู้สึกอายที่โดนจับได้ว่าแอบมองเขาจากที่ไกลๆ ไรยารีบกลับมาสนใจสมุดในมือและทำเป็นจดอะไรสักอย่าง รู้สึกได้ว่าหน้าตัวเองแดงด้วยความกระดากอาย ไรยาไม่กล้าแม้แต่จะมองไปที่ลานสเก็ตตรงหน้าแล้วด้วยซ้ำ กลัวว่าจะอดมองไปที่เขาและสบตากันอีกรอบไม่ได้ แล้วจู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าขยับเข้ามาใกล้
“ไงครับ” ร่างนั้นเอ่ยทัก เขายืนห่างออกไปไม่ถึงสามฟุต
ไรยาเงยหน้าขึ้นช้าๆ พี่ชายไร้ชื่อของอากายืนอยู่ตรงนั้น จ้องมองมาที่เธอ “โอ้ สวัสดีค่ะ” เธอเอ่ยทักการมาถึงอย่างกะทันหันของเขาด้วยความประหม่า
“มาคนเดียวเหรอครับ”
ไรยาพยักหน้า
“ผมนั่งด้วยได้ไหม”
ไรยาพยักหน้า พยายามทำใจร่มๆ ชายหนุ่มนั่งลงบนม้านั่งตัวเดียวกันห่างไปสองฟุต เขาเปิดสมุดสเก็ตช์ หยิบดินสอออกจากกระเป๋าเสื้อโค้ต และดำดิ่งลงสู่โลกของตัวเองอีกครั้งโดยไม่มองหน้าเธอหรือพูดอะไรออกมาอีก
ไรยาพยายามทำให้ตัวเองยุ่งด้วยการโฟกัสไปที่ผู้คนรอบๆ ลานสเก็ตที่ต่างก็มีสไตล์และรสนิยมเป็นของตัวเอง แต่เธอกลับอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองสมุดสเก็ตช์ของเขา เส้นขอบฟ้าจรดตึกเมืองแมนฮัตตันเหนือทั้งคู่ถูกย้ายมาอยู่ในสมุดสเก็ตช์ของเขาอย่างสวยงาม นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงบอกกันว่าลานสเก็ตน้ำแข็งโวลแมนมีหนึ่งในวิวที่มีเสน่ห์ที่สุดแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก
“ว้าว คุณวาดเก่งมากเลย!” ไรยาพูดออกไปโดยอัตโนมัติ
มันเป็นแค่ภาพร่างด้วยดินสอ แต่เขาเก็บรายละเอียดได้อย่างประณีตงดงาม ทั้งโรงแรมเชอร์รี่เนเธอร์แลนด์ อาคารเจเนอรัลมอเตอร์ส อาคารสควิบบ์ อาคารซีแกรม อาคารโซนี (ที่เคยเป็นอาคารเอทีแอนด์ที) ทรัมป์ทาวเวอร์ โรงแรมพลาซ่า และอาคารโซโลว์
เขาเหลือบมองเธอและยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะวาดต่อ “ขอบคุณครับ คุณชื่อไรยาใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
“ริเวอร์” *
“คะ?” ไรยามองไม่เห็นแม่น้ำแถวๆ นี้เลย จะมีก็แต่ทะเลสาบ
“ผมชื่อริเวอร์”
เป็นชื่อที่เท่ที่สุดเท่าที่เธอเคยได้ยินมาเลย แถมเขายังเป็นผู้ชายที่นิ่งขรึมที่สุดที่เธอเคยเจอ ถ้าเอาตามความหมายตรงตัวก็เย็นชา
ชาวอินโดนีเซียทุกคนที่อาศัยอยู่ต่างประเทศมักจะรู้สึกถึงความเป็นญาติมิตรสนิทสนมเวลาเจอคนชาติเดียวกัน แม้จะแค่บังเอิญได้ยินคำพูดภาษาอินโดนีเซียลอยมาในร้านขายของ บนรสบัส บนรถไฟ หรือตามท้องถนนก็ตาม แต่ริเวอร์ไม่เป็นแบบนั้น เขาไม่ต่อบทสนทนากับใคร ไม่แบ่งปันความอบอุ่นอย่างที่คนอื่นทำ ไม่ถามด้วยว่าไรยามาจากไหน ไม่ถามอะไรทั้งนั้น เมื่อคืนก็ไม่ บ่ายนี้ก็ไม่ เขามีแค่ความเงียบ การหมกมุ่นกับภาพวาด และเหมือนจะขังตัวเองอยู่ในความสันโดษแม้เขาจะเป็นคนเดินมาหาไรยาที่ม้านั่งตรงนี้ก็ตาม