บทที่ 2
ฉันไม่ได้เข้าประชุมสาย
ตั้งแต่วันนั้นเมื่อหนึ่งปีแปดเดือนก่อน ฉันก็ไม่เคยสายอีกเลย
ทำไมน่ะหรือ
เพราะแอรอน แบล็กฟอร์ดน่ะสิ
หนเดียว…ฉันเคยไปสายแค่หนเดียวเท่านั้นตอนแอรอนอยู่ด้วย แต่เขากลับเอามันมาพูดแหย่ทุกครั้งที่มีโอกาส
เขาไม่เคยบอกว่าเพราะฉันเป็นคนสเปนหรือเป็นผู้หญิง ซึ่งถ้าเป็นชื่อเสียงเรื่องความไม่ตรงต่อเวลาล่ะก็ ทั้งสองอย่างนั้นจะโดนเหมารวมอย่างไม่ยุติธรรม
แอรอนไม่ทำอะไรไร้สาระ เขาชี้ให้เห็นแต่ข้อเท็จจริง พูดความจริงที่พิสูจน์ได้ เขาถูกฝึกมาให้ทำแบบนั้นเหมือนกับที่วิศวกรทุกคนในบริษัทที่ปรึกษาที่เราทำงานอยู่นี้ถูกฝึกมา รวมทั้งฉันด้วย ซึ่งในทางเทคนิคแล้วฉันก็ไปสายครั้งนั้นแค่ครั้งเดียวเมื่อหลายเดือนก่อนนั่น เป็นความจริงที่ว่าฉันพลาดพรีเซนต์สำคัญสิบห้านาทีแรกไป และเป็นความจริงด้วยว่าที่แอรอนเป็นผู้นำการพรีเซนต์ครั้งนั้นในช่วงสัปดาห์แรกของเขาในบริษัทอินเทค แล้วก็เป็นความจริงอีกเช่นกันที่ฉันเข้าไปด้วยเสียงอึกทึกครึกโครมซึ่งอาจมีเหตุการณ์ชนเหยือกกาแฟหกโดยไม่ตั้งใจรวมอยู่ด้วย
กาแฟเหยือกนั้นหกลงบนกองเอกสารสำหรับพรีเซนต์ของแอรอน ก็ได้ หกใส่กางเกงเขาบางส่วนด้วย
นี่ไม่ใช่วิธีสร้างความประทับใจครั้งแรกกับเพื่อนร่วมงานคนใหม่ที่ดีที่สุดหรอก แต่ก็ช่วยไม่ได้ เรื่องทำนองนั้นเกิดขึ้นได้เสมอ อุบัติเหตุเล็กน้อยไม่คาดคิดและไม่ได้ตั้งใจแบบนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งผู้คนมักไม่ใส่ใจกับมันและใช้ชีวิตกันต่อไป
แต่ไม่ใช่แอรอน
เขากลับพ่นอะไรอย่าง ‘พยายามอย่าเข้าประชุมตอนสิบโมงสายล่ะ มันไม่ได้ดูน่ารักแล้ว’ ใส่ฉันสัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่า เดือนแล้วเดือนเล่าหลังจากวันนั้น
เขาดูนาฬิกาข้อมือและเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจทุกครั้งที่เขาก้าวเข้ามาในห้องประชุมแล้วเห็นฉันนั่งอยู่ตรงนั้น มาก่อนเวลาค่อนข้างนาน
ไม่เพียงแค่นั้น แต่เขายังเลื่อนเหยือกกาแฟให้พ้นมือฉันพร้อมเอียงคอเป็นเชิงเตือนมาทางฉันอีกด้วย
นั่นคือสิ่งที่แอรอน แบล็กฟอร์ดทำแทนที่จะปล่อยผ่านเหตุการณ์นั้นไป
“อรุณสวัสดิ์ ลิน่า” เสียงใจดีของเฮคเตอร์ทักทายฉันมาจากประตู
ฉันบอกได้เลยว่าเขากำลังยิ้มอยู่ตั้งแต่ก่อนที่ฉันจะเห็นหน้าเขาแล้ว เหมือนอย่างที่เขามักจะทำ
“บูเอโนสดิแอส* เฮคเตอร์” ฉันพูดกับเขาด้วยภาษาแม่ของเราสองคน
ชายผู้ที่ฉันนับถือเหมือนลุงคนหนึ่งหลังจากที่เขาต้อนรับฉันเข้าเป็นสมาชิกญาติสนิทของครอบครัววางมือลงบนไหล่ฉันและบีบเบาๆ
“สบายดีไหมสาวน้อย”
“ก็ไม่แย่นักหรอกค่ะ” ฉันยิ้มตอบ
“บาร์บีคิวครั้งหน้าจะมาด้วยไหม เดือนหน้านะ ลอร์เดสเอาแต่บอกให้ผมเตือนคุณ หนนี้เธอจะทำเซบิเช** และคุณจะเป็นคนเดียวที่กินมัน” เขาหัวเราะ
เป็นความจริงที่ว่าครอบครัวดิแอซไม่ค่อยปลื้มเมนูเปรูทำจากปลานี้เท่าไร ซึ่งฉันก็ยังไม่เข้าใจมาจนถึงทุกวันนี้
“เลิกถามอะไรไร้สาระได้แล้ว ตาเฒ่า” ฉันโบกมือพลางหัวเราะเบาๆ “ฉันไปแน่นอนอยู่แล้วค่ะ”
เฮคเตอร์นั่งลงตรงที่ประจำของเขาทางด้านขวามือของฉัน ขณะที่เพื่อนร่วมงานที่เหลืออีกสามคนที่ต้องเข้าประชุมด้วยกรูกันเข้ามาในห้องพร้อมกับพึมพำอรุณสวัสดิ์
ฉันเบนสายตาจากรอยยิ้มสบายๆ ของเฮคเตอร์แล้วไล่ไปตามกลุ่มคนที่เดินอ้อมโต๊ะไปนั่งประจำที่ในการประชุมตอนสิบโมงเช้าของเรา
ตรงข้ามฉันคือแอรอน เขาเลิกคิ้วขึ้นและประสานสายตากับฉันอย่างรวดเร็ว ฉันมองดูริมฝีปากของเขาเหยียดลงระหว่างที่เขาเลื่อนเก้าอี้
ฉันกลอกตาและหันไปมองเจอรัลด์ ศีรษะล้านเลี่ยนของเขาสะท้อนแวววาวอยู่ใต้แสงจากหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ขณะที่เขาหย่อนตัวค่อนข้างอวบของตัวเองลงบนเก้าอี้ และสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดคือคาเบียร์ที่เพิ่งได้เลื่อนขั้นมาในตำแหน่งเดียวกันกับทุกคนที่อยู่ในห้องนี้ นั่นคือหัวหน้าทีมแผนกโซลูชั่นของบริษัท ซึ่งดูแลครอบคลุมทุกเรื่องยกเว้นวิศวกรรมโยธาที่เป็นยักษ์ใหญ่ด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว
“อรุณสวัสดิ์ ทุกคน” คาเบียร์เกริ่นนำด้วยความกระตือรือร้นในแบบที่มีเพียงคนที่เพิ่งทำงานนี้มาได้หนึ่งเดือนเท่านั้นที่จะแสดงออกมาได้ “สัปดาห์นี้เป็นตาผมนำและดูแลการประชุม ฉะนั้นกรุณาตอบรับเมื่อผมขานชื่อด้วยนะครับ”
เสียงฮึดฮัดอย่างรำคาญใจที่ฉันคุ้นเคยดีดังไปทั่วห้อง ฉันเหลือบมองผู้ชายตาสีฟ้าที่นั่งอยู่อีกฟากของโต๊ะและเห็นสีหน้าหงุดหงิดเข้ากันดีกับเสียงนั้น
“แน่นอนค่ะ คาเบียร์” ฉันเอ่ยพร้อมกับยิ้มให้ แม้จะเห็นด้วยกับผู้ชายหน้าบูดบึ้งคนนั้นก็ตาม “เชิญขานชื่อได้เลย”
ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลจับจ้องฉันด้วยแววแห่งความเย็นยะเยือก
ฉันสบสายตาที่จ้องเขม็งของเขาและได้ยินเสียงคาเบียร์ไล่ขานชื่อพวกเราทีละคน มีเสียงตอบรับจากทั้งเฮคเตอร์และเจอรัลด์ เสียงร้อง ‘มาค่ะ’ ที่ดังอย่างสดใสจนเกินความจำเป็นจากฉัน และเสียงฮึ่มฮั่มอีกหนจากนายขี้หงุดหงิดคนนั้น
“เอาล่ะ ขอบคุณครับ” คาเบียร์เอ่ยขึ้น “ต่อไปในวาระการประชุมคืออัพเดตสถานะโครงการ ใครอยากเริ่มเป็นคนแรกครับ”
มีแต่ความเงียบ