The Spanish Love Deception แผนลวงสู่ห้วงรักแบบฉบับสเปน
ทดลองอ่าน The Spanish Love Deception แผนลวงสู่ห้วงรักแบบฉบับสเปน บทที่ 2
แน่นอนว่าฉันมีตัวเลือกอื่น ไม่ใช่คู่ควงรับจ้างหรอก เสิร์ชในกูเกิลเร็วๆ หนเดียวก็ยืนยันได้แล้วว่าแอรอนพูดถูกอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าฮอลลีวูดหลอกลวงฉัน นิวยอร์กดูจะเต็มไปด้วยชายหญิงที่พร้อมจะเสนอบริการรูปแบบต่างๆ มากมายหลายหลากที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเป็นคู่ควงเท่านั้น
ฉันเบ้หน้าก่อนจะเคี้ยวปากกาแรงขึ้น ไม่ใช่ว่าฉันจะยอมรับเรื่องนั้นกับแอรอนหรอกนะ ฉันยอมอดกินช็อกโกแลตไปหนึ่งปีเต็มดีกว่ายอมรับกับแอรอนว่าเขาพูดถูก
แต่มาถึงจุดนี้ฉันก็เข้าตาจนแล้ว เขาคิดถูกเรื่องนั้นอีกเช่นกัน ฉันจำเป็นต้องหาใครสักคนที่จะมาแกล้งเป็นคนรักที่คบกับฉันจริงจังแบบไม่ไก่กาต่อหน้าครอบครัวของฉัน และนั่นไม่ได้รวมถึงแค่วันแต่งงานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงงานฉลองอีกสองวันก่อนหน้านั้นด้วย ซึ่งหมายความว่าฉันซวยแล้ว ฉัน…
“…และนั่นก็ต้องเป็นลิน่าครับ”
ชื่อของฉันทะลุเข้ามาในสมองทำให้ทุกอย่างหายวับไป ฉันทิ้งปากกาลงบนโต๊ะและกระแอม “ค่ะ อยู่นี่” ฉันพยายามยัดตัวเองกลับเข้าไปในบทสนทนา “ฟังอยู่ค่ะ ฉันฟังอยู่”
“นั่นคือสิ่งที่คนที่ไม่ได้ฟังอยู่พูดกันไม่ใช่เหรอครับ”
สายตาของฉันพุ่งข้ามห้องไปสบกับดวงตาสีฟ้าที่เกือบจะแสดงความขบขันออกมาแล้ว ถ้าผู้ชายเบื้องหลังดวงตาคู่นั้นมีอารมณ์แบบมนุษย์กับเขาด้วย
ฉันยืดหลังตรงแล้วพลิกหน้าสมุดแพลนเนอร์ “ฉันกำลังจดสิ่งที่จะโทรคุยกับลูกค้าคนหนึ่งหลังจากนี้เลยตามบทสนทนาไม่ทันค่ะ” ฉันโกหก “เป็นอะไรที่สำคัญมาก”
แอรอนส่งเสียงฮืมพลางพยักหน้า ต้องขอบคุณที่เขาปล่อยเรื่องนี้ไป
“งั้นมาทวนกันหน่อย แค่เพื่อให้เราทุกคนเข้าใจชัดเจนว่าเราไปถึงไหนกันแล้วนะครับ” คาเบียร์เสนอขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
พรุ่งนี้เขาจะได้มัฟฟินไปกิน
“ขอบคุณค่ะ คาเบียร์” ฉันส่งยิ้มสดใสให้เขา ซึ่งเขาก็หน้าแดงและส่งยิ้มแหยๆ ตอบกลับมา
ฉันได้ยินเสียงพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิดดังมาจากอีกฟากของห้อง
เอาล่ะ ส่วนเขาจะไม่ได้มัฟฟินไปกินพรุ่งนี้ หรือตลอดกาล
“คือ” ในที่สุดคาเบียร์ก็พูดขึ้น “เจฟฟ์อยากเข้าประชุมวันนี้เพื่อบอกพวกคุณด้วยตัวเอง แต่คุณก็รู้ว่าตารางหัวหน้าแผนกนั้นยุ่งขนาดไหน มีนัดซ้อนกันเยอะแยะไปหมด เขาจะส่งต่อข้อมูลทั้งหมดที่พวกคุณต้องการให้อยู่ดี แต่ผมคิดว่าน่าจะเป็นความคิดที่ดีถ้าได้บอกพวกคุณล่วงหน้า”
ฉันกะพริบตา นี่เรากำลังพูดถึงเรื่องบ้าอะไรกันอยู่เนี่ย “ขอบคุณอีกครั้งสำหรับเรื่องนั้นค่ะ คาเบียร์”
“ยินดีครับ ลิน่า” เขาพยักหน้า “ผมคิดว่าการสื่อสารระหว่างเราทั้งห้าคนคือกุญแจสู่ความสำเร็จ…”
“คาเบียร์” เสียงแอรอนดังก้องไปทั่วห้อง “เข้าประเด็นได้แล้ว”
สายตาของคาเบียร์พุ่งไปที่เขา และคาเบียร์ก็ดูตกใจเล็กน้อย “ครับ ขอบคุณ แอรอน” จากนั้นเขาก็ต้องกระแอมอีกสองหนก่อนจะว่าต่อได้
“อินเทคจะจัดงานเปิดบ้านในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า จะมีคนกลุ่มใหญ่มาร่วมงาน ส่วนใหญ่เป็นว่าที่ลูกค้าที่อยากรู้ว่าเราทำอะไรให้ได้บ้าง รวมถึงโครงการใหญ่ๆ บางโครงการที่เรากำลังทำกันอยู่ด้วย เจฟฟ์บอกว่าผู้เข้าร่วมงานทุกคนอยู่ในตำแหน่งผู้บริหารระดับค่อนข้างสูงกันทั้งนั้น ซึ่งก็สมเหตุสมผลดีเพราะนี่เป็นใบเบิกทางที่จะทำให้เราสามารถขยายเครือข่ายของเราออกไปและทำให้มันแข็งแกร่งขึ้น และยังได้ทำแบบตัวต่อตัวด้วย เขาอยากให้อินเทคโชว์ตัวเอง อยากให้ดูดี ทันสมัย แสดงให้เห็นว่าเราตามตลาดปัจจุบันทัน แต่ขณะเดียวกันก็แสดงให้ว่าที่ลูกค้าและลูกค้าปัจจุบันเห็นว่าเราไม่ได้ทำงานกันอย่างเดียว” เขาหัวเราะอย่างประหม่า “เพราะอย่างนี้งานเปิดบ้านจึงจะจัดยาวตั้งแต่แปดโมงเช้า เราจะต้อนรับผู้เข้าร่วมงานที่สำนักงานใหญ่ของเราที่นี่ เรื่อยไปจนถึงเที่ยงคืนครับ”
“เที่ยงคืนเหรอ” ฉันพึมพำ แทบเก็บอาการประหลาดใจไว้ไม่อยู่
“ครับ” คาเบียร์พยักหน้าด้วยความกระตือรือร้น
“น่าตื่นเต้นใช่ไหมล่ะครับ มันจะเป็นงานเต็มรูปแบบเลย เวิร์กช็อปกับเทคโนโลยีใหม่ทุกประเภท ช่วงแลกเปลี่ยนความรู้ กิจกรรมที่เราจะได้ทำความรู้จักกับลูกค้าของเราและเรียนรู้ความต้องการของพวกเขา และแน่นอน เราจะมีบริการอาหารเช้า กลางวัน และเย็นให้ อ้อ แล้วก็มีเครื่องดื่มหลังเลิกงานด้วย แบบว่าให้อะไรๆ ผ่อนคลายขึ้น”
ดวงตาฉันค่อยๆ โตขึ้นไปพร้อมๆ กับที่คาเบียร์อธิบาย
“นั่น…” เฮคเตอร์เริ่ม “นั่นฟังดูต่างออกไปนะ”
ใช่เลย แล้วก็ฟังดูเหมือนเป็นงานที่ยุ่งยากซับซ้อนซึ่งต้องวางแผนภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์
“ใช่” เจอรัลด์ตอบ น้ำเสียงฟังดูกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างน่าสงสัย “มันจะทำให้อินเทคขึ้นนำในเกมนี้แน่นอน”
คาเบียร์พยักหน้าขณะที่ประสานสายตากับฉัน “แน่นอนที่สุดครับ และเจฟฟ์ก็อยากให้คุณเป็นคนดูแลทุกอย่างด้วย ลิน่า เยี่ยมยอดไปเลยใช่ไหมครับ”
ฉันกะพริบตา หลังพิงพนักเก้าอี้ “เขาอยากให้ฉันเป็นคนจัดงานเหรอ ทั้งหมดเนี่ยนะ”
“ครับ” เพื่อนร่วมงานยิ้มให้ฉันราวกับเขากำลังบอกข่าวดี “และเป็นพิธีกรด้วย จากพวกเราทั้งห้าคน คุณเป็นตัวเลือกที่มีเสน่ห์ที่สุดแล้วครับ”
ฉันกะพริบตาช้าๆ มองดูริมฝีปากเขาตกลง อาจเป็นเพราะสีหน้าของฉัน
มีเสน่ห์ ฉันสูดหายใจเข้าลึกพลางพยายามตั้งสติ “คือฉันดีใจนะคะที่มีคนคิดว่าฉันเป็นตัวเลือกที่มีเสน่ห์ที่สุด” ฉันโกหกพลางบังคับตัวเองไม่ให้โฟกัสไปที่กระแสเลือดที่เริ่มปั่นป่วน “แต่ฉันแทบไม่มีเวลาหรือประสบการณ์จัดงานอะไรทำนองนี้เลย”
“แต่เจฟฟ์ยืนกรานนะครับ” คาเบียร์โต้กลับ “และมันก็สำคัญกับอินเทคมากที่จะได้คนอย่างคุณมาเป็นตัวแทนให้บริษัท”
ฉันน่าจะถามว่า ‘คนอย่างฉัน’ นั้นหมายความว่าอย่างไร แต่ฉันไม่คิดว่าจะอยากได้ยินคำตอบหรอก คอฉันแห้งผาก ทำให้กลืนน้ำลายลำบากขึ้นไปอีก
“พวกเราคนใดคนหนึ่งก็บรรลุเป้าหมายเดียวกันนั้นได้ไม่ใช่เหรอคะ ให้คนที่มีประสบการณ์ในเรื่องที่ฟังดูเหมือนเป็นงานประชาสัมพันธ์จัดงานสำคัญขนาดนี้ไม่ดีกว่าเหรอคะ”
คาเบียร์เปลี่ยนเรื่อง ไม่ยอมตอบคำถามของฉัน “เจฟฟ์บอกว่าคุณจะจัดงานได้ครับ บอกว่าเราไม่จำเป็นต้องเสียเงินจ้างคนเพิ่ม อีกอย่างคุณก็…” เขาเงียบเสียงลง ท่าทางเหมือนอยากไปอยู่ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ตรงนี้ “ชอบเข้าสังคม ร่าเริงสดใส”
ฉันกำหมัดอยู่ใต้โต๊ะและพยายามซ่อนความปั่นป่วนภายในอย่างถึงที่สุด “แน่นอนค่ะ” ฉันกัดฟันพูด นั่นเป็นความฝันของทุกคนเลย การที่เจ้านายพูดถึงพวกเขาว่าเป็นคนร่าเริงสดใสน่ะ “แต่ฉันมีงานต้องทำด้วย ฉันยังมีโครงการที่ต้องทำตามกำหนดเวลาอยู่อีก งานนี้…จะสำคัญไปกว่าลูกค้ากับความรับผิดชอบปัจจุบันของฉันได้ยังไง”
ฉันเงียบไปพักใหญ่ รอเสียงสนับสนุนจากบรรดาเพื่อนร่วมงานของฉัน
สนับสนุนแบบไหนก็ได้
แต่…ไม่มีอะไรเลย มีเพียงความเงียบงันตามปกติซึ่งมักจะตามมาหลังสถานการณ์ทำนองนี้
ฉันขยับตัวอยู่บนเก้าอี้ รู้สึกได้ว่าแก้มร้อนขึ้นด้วยความหงุดหงิด “คาเบียร์” ฉันพูดอย่างใจเย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ฉันรู้ว่าเจฟฟ์อาจจะเสนอให้ฉันเป็นคนดูแลเรื่องนี้ แต่พวกคุณก็เข้าใจว่านี่มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด จริงไหม ฉัน…คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องเริ่มจากตรงไหน” นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันถูกจ้างมาให้ทำเสียหน่อย
แต่ไม่มีใครยอมรับเรื่องนั้นหรอก แม้ในยามที่เสียงสนับสนุนของพวกเขาจะสามารถสร้างความแตกต่างได้ ซึ่งนั่นก็จะนำไปสู่เหตุผลแท้จริงที่ทำให้ฉันได้รับมอบหมายงานนี้
“ฉันต้องดูงานในส่วนของลูกทีมที่เก่งที่สุดสองคนของฉันอย่างลินดากับแพทริเซียอยู่แล้ว อย่างที่เห็น ฉันคงไม่มีเวลาเหลือมากพอ” ฉันเกลียดที่ต้องออกปากบ่นและขอให้เข้าใจกันสักเล็กน้อย จะเล็กน้อยแค่ไหนก็ได้ ณ จุดนี้ แต่ฉันจะทำอะไรได้อีกล่ะ
เจอรัลด์พ่นลมพรืด ฉันหันขวับไปทางเขา “แหม จ้างผู้หญิงวัยสามสิบก็มีข้อเสียแบบนี้แหละ”
ฉันแค่นเสียง ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาเพิ่งพูดคำนั้นออกมา แต่เขาก็พูด ฉันอ้าปาก แต่เฮคเตอร์หยุดฉันไว้ก่อน
“เอาล่ะ งั้นเราทุกคนมาช่วยคุณดีไหมล่ะ” เฮคเตอร์แนะ ฉันมองเขาและเห็นสีหน้ายอมจำนน “บางทีเราทุกคนอาจช่วยกันได้คนละเล็กคนละน้อย”
ฉันรักผู้ชายคนนี้นะ แต่หัวใจที่แสนอ่อนโยนกับความไม่กล้าเผชิญหน้าของเขาไม่ได้ช่วยอะไรนัก เขาแค่กำลังย่องอ้อมหนีปัญหาที่แท้จริง
“นี่ไม่ใช่โรงเรียนมัธยมปลายนะ เฮคเตอร์” เจอรัลด์ตวาด “เราเป็นมืออาชีพกัน แล้วเราก็จะไม่ช่วยกันคนละเล็กคนละน้อยอะไรทั้งนั้น” เขาส่ายศีรษะล้านเลี่ยนเป็นมันของตัวเองตามด้วยเสียงพ่นลมอย่างดูถูกอีกครั้ง
เฮคเตอร์หุบปากสนิท
คาเบียร์แทรกขึ้นอีก “ผมจะส่งรายชื่อคนที่เจฟฟ์รวบรวมมาให้นะครับ ลิน่า”
ฉันส่ายหน้าอีกหน รู้สึกได้ว่าแก้มร้อนเข้าไปใหญ่พลางห้ามตัวเองไว้ไม่ให้พูดอะไรใส่เพื่อนร่วมงานซึ่งฉันอาจจะมานึกเสียใจทีหลัง
“อ้อ” คาเบียร์เสริม “เจฟฟ์มีไอเดียสำหรับบริการอาหารจัดเลี้ยงอีกสองสามอย่างด้วย มันจะอยู่ในอีเมลแยกต่างหากที่ผมจะส่งให้คุณเช่นกันนะครับ แต่เขาอยากให้คุณทำรีเสิร์ชเรื่องนั้นอีกนิดหน่อย อาจจะคิดเป็นธีมไปเลย เขาบอกว่าคุณจะรู้ว่าต้องทำยังไง”
ริมฝีปากฉันเผยอสบถเงียบๆ ด้วยคำที่จะทำให้คุณยายดึงหูฉันไปโบสถ์แน่ๆ
ฉันจะรู้ว่าต้องทำยังไงงั้นเรอะ ฉันจะไปรู้ได้ยังไง
ฉันเอื้อมไปหยิบปากกามาถือไว้ด้วยสองมือเพื่อเค้นความหงุดหงิดพลุ่งพล่านที่เพิ่มมากขึ้นออกไปบ้าง ก่อนจะหายใจเข้าลึกๆ
“ฉันจะไปคุยกับเจฟฟ์เอง” ฉันพูดลอดไรฟันที่ขบกันแน่นเป็นรอยยิ้มเกร็งๆ “ปกติฉันคงไม่ไปกวนเขาหรอก แต่…”
“คุณช่วยหยุดทำให้พวกเราเสียเวลาสักทีได้ไหม” เจอรัลด์ขัด ทำให้เลือดบนหน้าฉันทิ้งดิ่งลงไปที่เท้า “คุณไม่ต้องคุยเรื่องนี้กับเจ้านายของเราก็ได้” นิ้วอวบๆ ของเจอรัลด์โบกไปมาในอากาศ “เลิกหาข้ออ้างแล้วลงมือทำเสียที คุณยิ้มและทำตัวเป็นมิตรเป็นพิเศษได้ทั้งวันไม่ใช่เรอะ”
คำว่า ‘เป็นพิเศษ’ และ ‘เป็นมิตร’ สะท้อนก้องอยู่ในหัวขณะที่ฉันจ้องเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง