The Spanish Love Deception แผนลวงสู่ห้วงรักแบบฉบับสเปน
ทดลองอ่าน The Spanish Love Deception แผนลวงสู่ห้วงรักแบบฉบับสเปน บทที่ 3
ฉันล็อกหน้าจอโทรศัพท์และวางคว่ำลงบนโต๊ะ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกพลัง
ได้เวลาเปิดงานแล้ว
ภาพบราวนี่ช็อกโกแลตผุดขึ้นมาในหัวฉัน
…จู่โจมฉัน
ไม่นะ ลิน่า
การคิดถึงบราวนี่หรืออาหารใดก็แล้วแต่ไม่ได้ช่วยอะไร ฉันจำเป็นต้องทำให้ตัวเองเชื่อว่าฉันไม่หิว
“ฉันไม่หิว” ฉันพูดออกมาดังๆ พลางเกล้าผมสีน้ำตาลเข้มเป็นมวย “ท้องฉันอิ่ม แน่นไปด้วยของอร่อยๆ ทุกชนิด อย่างทาโก้ หรือพิซซ่า หรือบราวนี่ กาแฟกับ…”
ท้องฉันส่งเสียงโครกคราก ไม่ไยดีต่อการฝึกสร้างมโนภาพของฉันแม้แต่น้อย ทั้งยังรุกล้ำเข้ามาในสมองของฉันด้วยความทรงจำจากร้านอะราวนด์เดอะคอร์เนอร์ กลิ่นหอมกรุ่นของเมล็ดกาแฟอบ รสชาติแรกที่โจมตีเข้ามาหลังกัดบราวนี่ที่ทำจากช็อกโกแลตสามชนิดเข้าไปหนึ่งคำ เสียงอุ่นนมด้วยไอน้ำของเครื่องทำกาแฟ
เสียงบ่นจากท้องจอมเอะอะของฉันดังขึ้นมาอีกรอบ
ฉันถอนหายใจ ปัดภาพในหัวเหล่านั้นออกไปอย่างไม่เต็มใจนักและม้วนแขนเสื้อคาร์ดิแกนตัวบางที่ฉันต้องใส่เวลาอยู่ในตึกนี้ขึ้น ต้องขอบคุณแอร์ที่เปิดเสียสุดในช่วงหน้าร้อน
“โอเค ท้องจ๋า ช่วยฉันหน่อยนะ” ฉันพึมพำกับตัวเองราวกับถ้อยคำพวกนั้นจะสามารถสร้างความแตกต่างได้จริง
“พรุ่งนี้ฉันจะพาเราไปอะราวนด์เดอะคอร์เนอร์นะ ส่วนตอนนี้เธอต้องอยู่เงียบๆ และปล่อยให้ฉันทำงานก่อน โอเคไหม”
“โอเค”
เสียงนั้นก้องสะท้อนอยู่ในห้องทำงาน ประหนึ่งท้องของฉันเป็นคนตอบ
แต่ฉันไม่ได้โชคดีขนาดนั้น
“ประหลาดอยู่นะ” เสียงทุ้มต่ำเสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้ง “แต่ผมเดาว่ามันก็เข้ากับบุคลิกของคุณดี”
ฉันหลับตาลง ไม่จำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นก็รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังโทนเสียงเข้มนั้น
ยายบ้า โรซาลิน เกรแฮม เธอเรียกเทพปีศาจตนนี้เข้ามาในห้องทำงานของฉัน เธอจะต้องชดใช้ด้วยช็อกโกแลต
ฉันสบถเสียงแผ่ว แน่นอนว่าเขาต้องเป็นคนที่ได้ยินฉันกระตุ้นพลังตัวเองอยู่แล้ว ฉันบังคับใบหน้าไม่ให้แสดงอารมณ์ใดๆ ก่อนเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะ
“ประหลาดงั้นเรอะ ฉันชอบคิดว่ามันน่ารักมากกว่านะ”
“ไม่เลย” เขาตอบอย่างรวดเร็ว เร็วเกินไปด้วยซ้ำ “เวลาคุณพูดเกินคำสองคำ มันก็ออกจะน่ากลัวนิดหน่อย นี่คุณพูดกับตัวเองเป็นประโยคๆ เลย”
ฉันคว้าสิ่งที่แรกที่เจอบนโต๊ะ สิ่งนั้นคือปากกาไฮไลต์แท่งหนึ่ง ฉันสูดหายใจเข้าแล้วก็ออก
“ขอโทษนะ แบล็กฟอร์ด แต่ฉันไม่มีเวลามานั่งจับผิดนิสัยประหลาดๆ ของฉันตอนนี้หรอก” ฉันว่าพลางชูปากกาไฮไลต์ขึ้น “คุณต้องการอะไรหรือเปล่า”
ฉันมองดูเขาขณะที่เขายืนอยู่ใต้กรอบประตูห้องทำงานของฉันโดยมีแล็ปท็อปเหน็บอยู่ใต้แขน คิ้วสีเข้มข้างหนึ่งของเขาเลิกขึ้น
“อะไรคืออะราวนด์เดอะคอร์เนอร์” เขาสงสัย เริ่มเดินมาทางฉัน
ฉันหายใจออกช้าๆ เมินคำถามนั้น และจ้องมองขายาวๆ ของเขาก้าวเข้ามาใกล้โต๊ะ จากนั้นฉันก็ต้องมองดูเขาเดินอ้อมมาหยุดอยู่ทางด้านซ้ายมือ
ฉันหมุนเก้าอี้ทำงานหันไปเผชิญหน้ากับเขา “ขอโทษนะ แต่มีอะไรให้ฉันช่วยไหม”
สายตาของเขาเลื่อนไปยังหน้าจอแล็ปท็อปด้านหลังฉัน ร่างใหญ่ของเขาโน้มลงมา
ฉันเอนหลังบนเก้าอี้เมื่อตระหนักว่าร่างกายของเขาอยู่ใกล้หน้าของฉันแค่ไหน และมันดูใหญ่กว่าเดิมขนาดไหนเมื่ออยู่ในระยะประชิดเช่นนี้ “นี่” คำนั้นเปล่งออกมาด้วยเสียงสั่นเครือเกินกว่าที่ฉันจะอยากให้มันเป็น “คุณกำลังทำอะไรน่ะ”
เขาวางมือซ้ายลงบนโต๊ะของฉันและส่งเสียงฮึมฮัม เสียงแผ่วค่อยนั้นฟังดูใกล้พอๆ กับตัวเขานั่นแหละ ตรงหน้าฉันเลย
“แบล็กฟอร์ด” ฉันเรียกช้าๆ พลางมองดูสายตาของเขาไล่อ่านสไลด์พาวเวอร์พ้อยต์บนหน้าจอแล็ปท็อปของฉัน มันเป็นตารางคร่าวๆ ที่ฉันทำไว้สำหรับงานเปิดบ้านอินเทค
ฉันรู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ แต่ฉันไม่รู้ว่าเพราะอะไร หรือทำไมเขาถึงเมินฉัน…นอกเหนือจากความจริงที่ว่าเขาพยายามทำตัวทุเรศที่สุดกับฉันน่ะนะ
“แบล็กฟอร์ด ฉันกำลังพูดกับคุณอยู่นะ”
เขาส่งเสียงฮึมฮัมอีกครั้ง จมอยู่ในห้วงความคิด ไอ้เสียงบ้านั่นฟังดูแผ่วเบาและสมกับเป็นชายเสียเหลือเกิน
และน่ารำคาญด้วย ฉันเตือนตัวเอง
ฉันกลืนก้อนที่จู่ๆ ก็ผุดขึ้นในลำคออย่างน่าอัศจรรย์ลงไป
จากนั้นในที่สุดเขาก็พูดขึ้น “คุณมีเท่านี้เองเรอะ”
เขาวางแล็ปท็อปของตัวเองไว้ข้างเครื่องของฉันบนโต๊ะอย่างใจลอย
ดวงตาฉันหรี่ลง
“แปดโมง พบปะทักทาย” แขนล่ำหนาข้างหนึ่งพาดผ่านหน้าฉันไปชี้ที่หน้าจอ
ฉันเบียดตัวเองแนบชิดสนิทแน่นกับพนักเก้าอี้พลางมองดูกล้ามต้นแขนของเขาขยับอยู่ใต้เนื้อผ้าเสื้อเชิ้ตเรียบๆ ที่เขาสวมอยู่
แอรอนอ่านออกเสียงสิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอฉันต่อพร้อมกับชี้นิ้วไปด้วยในทุกข้อ “เก้าโมง กล่าวแนะนำกลยุทธ์ทางธุรกิจของอินเทค”
สายตาฉันเลื่อนขึ้นไปถึงไหล่ของเขา
“สิบโมง พักดื่มกาแฟ…จนถึงสิบเอ็ดโมง นั่นต้องใช้กาแฟปริมาณมหาศาลแน่ สิบเอ็ดโมง กิจกรรมก่อนมื้อเที่ยง ไม่ได้ลงรายละเอียด”
ฉันรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเมื่อสังเกตเห็นว่าท่อนแขนของเขาเต็มแน่นอยู่ในแขนเสื้ออย่างพอดิบพอดีชนิดที่ว่าฟิตเป๊ะขนาดไหน กล้ามเนื้อของเขาแนบสนิทกับเนื้อผ้าบางๆ และไม่เหลือพื้นที่ให้จินตนาการมากนัก
“เที่ยง พักรับประทานมื้อกลางวัน…จนถึงบ่ายสองโมง งานเลี้ยงใหญ่เลยนะเนี่ย โอ๊ะ แล้วก็มีพักดื่มกาแฟอีกรอบตอนบ่ายสามโมงด้วย” แขนที่ฉันเพ่งสมาธิจ้องอยู่นั้นหยุดชะงักกลางอากาศก่อนจะทิ้งตัวลง
ฉันหน้าแดงพลางเตือนตัวเองว่าฉันไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อจ้องเขาตาค้างหรือกล้ามเนื้อที่ฉันสังเกตเห็นภายใต้เสื้อผ้าอันน่าเบื่อของเขา
“นี่เลวร้ายกว่าที่ผมคิดเสียอีก ทำไมคุณไม่พูดอะไรเลย”
ฉันหลุดจากภวังค์ เงยหน้าขึ้นมองเขา “ขอโทษที อะไรนะ”
แอรอนเอียงคอ แต่แล้วก็ดูเหมือนจะมีบางอย่างสะดุดตาเขาเข้า สายตาฉันมองตามมือของเขาที่เอื้อมผ่านข้ามโต๊ะฉันไป
“งานแบบนี้” เขาเอ่ยออกมา จากนั้นก็หยิบปากกาขึ้นมาด้ามหนึ่งท่ามกลางกองปากกาที่ฉันวางไว้เกลื่อนกลาด “คุณไม่เคยจัดมาก่อน แล้วก็ดูจะไม่รู้ว่าต้องทำยังไง” เขาหย่อนมันลงในที่ใส่ปากการูปต้นกระบองเพชรของฉัน
“ฉันมีประสบการณ์กับเวิร์กช็อปนิดหน่อย” ฉันงึมงำขณะมองตามนิ้วของเขาซึ่งหยิบปากกาด้ามที่สองขึ้นมาแบบเดิม “แต่ก็แค่จัดให้เพื่อนร่วมงานเท่านั้น ไม่เคยจัดให้ว่าที่ลูกค้า” จากนั้นก็ด้ามที่สาม “ขอโทษนะ คุณคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย”
“โอเค” เขาตอบเรียบๆ พลางคว้าดินสอแท่งโปรดของฉันที่เป็นสีชมพูมีขนนกสีสดใสสีเดียวกันอันหนึ่งติดอยู่ด้านบน เขามองมันแปลกๆ คิ้วทั้งสองข้างเลิกขึ้น “ไม่ได้เพอร์เฟ็กต์ แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นล่ะนะ” เขาใช้ดินสอชี้มาที่ฉัน “นี่น่ะ ถามจริง”
ฉันกระชากมันมาจากมือของเขา “มันช่วยให้ฉันอารมณ์ดีขึ้น” ฉันใส่มันลงในที่ใส่ปากกา “ขัดรสนิยมของคุณหรือไง คุณโรบอต”
แอรอนไม่ตอบ มือของเขากลับเอื้อมไปหาแฟ้มสองแฟ้มที่ฉันตั้งซ้อนกันไว้…โอเค ก็ได้ ฉันโยนๆ มันไว้ตรงไหนสักแห่งทางขวามือของฉัน
“ผมรู้จักพวกงานทำนองนี้” เขาว่า ก่อนหยิบแฟ้มขึ้นมาจัดเรียงให้ตรงอยู่บนมุมโต๊ะของฉัน “ผมเคยจัดอยู่สองสามงานก่อนมาทำงานที่อินเทค” ตามด้วยการเอื้อมไปหาสมุดแพลนเนอร์ของฉันซึ่งวางคว่ำอยู่ในกองอีเหละเขละขละที่ฉันเริ่มจะตระหนักแล้วว่าเป็นพื้นที่ทำงานของฉันเอง เขาถือมันไว้ในมือขนาดเท่าอุ้งมือสัตว์นั้น “เราแค่ต้องลงมือให้เร็ว มีเวลาวางแผนไม่มากแล้ว”
เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยว
“เรา?” ฉันคว้าสมุดแพลนเนอร์ของตัวเองมาจากมือของเขา “ไม่มีเราอะไรทั้งนั้น” ฉันแค่นเสียง “แล้วคุณก็ช่วยเลิกยุ่งกับข้าวของของฉันสักทีได้ไหม นี่คุณกำลังพยายามทำอะไรอยู่เนี่ย”
มือที่อยู่ไม่สุขของเขาขยับอีกครั้ง คราวนี้อ้อมไปหลังเก้าอี้ แอรอนเกือบหนีบฉันไว้ระหว่างโต๊ะกับเก้าอี้แล้วขณะที่ศีรษะของเขาอ้อยอิ่งอยู่เหนือหัว อีกทั้งยังคอยสอดส่ายสายตามองดูข้าวของของฉัน
ฉันรอคอยคำตอบพลางมองดูโครงหน้าของเขาและพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่รับรู้ถึงไออุ่นที่ฉันรู้สึกได้ว่าแผ่กรุ่นมาจากตัวเขา
“คุณไม่มีทางโฟกัสได้เลย โต๊ะรกขนาดนี้” ในที่สุดเขาก็บอกฉันด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ผมเลยกำลังจัดใหม่”
ปากฉันอ้าค้าง “ฉันโฟกัสได้ปกติดีจนกระทั่งคุณเข้ามานี่แหละ”
“ผมขอดูรายชื่อผู้เข้าร่วมงานที่เจฟฟ์ร่างมาให้หน่อยได้ไหม” นิ้วของเขาลอยอยู่เหนือปุ่มบนแป้นพิมพ์แล็ปท็อปของฉัน ก่อนเปิดหน้าต่างขึ้นมาหน้าหนึ่ง
ระหว่างนั้นฉันก็รู้สึกว่าร่างกายเริ่ม…อุ่นขึ้น อึดอัด แต่อย่างน้อยเขาก็เลิกแตะต้องข้าวของของฉันล่ะนะ
“โอ้ นี่ไง” เขาดูเหมือนกำลังกวาดตาอ่านเอกสาร ขณะที่ฉันทำเพียงแค่จ้องมองใบหน้าของเขาพร้อมกับเริ่มรู้สึกทนไม่ไหวกับความใกล้ชิดนี้
พระเจ้า
“เอาล่ะ” เขาว่าต่อ “คนไม่เยอะเท่าไร ดังนั้นอย่างน้อยก็ดูแลเรื่องอาหารจัดเลี้ยงได้ค่อนข้างง่ายหน่อย ในส่วนของ…แผนงานที่คุณเตรียมมา แบบนั้นใช้ไม่ได้หรอก”
ฉันทิ้งมือลงบนตักพลันรู้สึกว่าความสะพรึงแผ่ซ่านอยู่ในท้อง ชวนให้ฉันสงสัยขึ้นมาว่าฉันจะจัดการเรื่องนี้ให้ลุล่วงได้อย่างไร
“ฉันไม่ได้ขอความเห็นของคุณ แต่ขอบคุณที่แจ้งให้ทราบ” ฉันเอ่ยอย่างอ่อนแรงพลางเอื้อมไปหาแล็ปท็อปแล้วดึงมันเข้ามาใกล้ขึ้น “ทีนี้ ถ้าคุณไม่ว่าอะไร ฉันจะกลับไปทำต่อล่ะ”
แอรอนก้มลงมองพอดีกับที่ฉันช้อนตาขึ้นมองเขา
เขามองมาทั่วหน้าฉันอย่างค้นหาอยู่ชั่วแวบหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นเวลาหนึ่งนาทีเต็ม…ที่แสนอึดอัด
เขาก้าวถอยไปทางด้านหลังแล้วโผล่มาทางด้านข้างของฉันอีกข้างหนึ่ง เขาโน้มตัวลง ท่อนแขนอันกำยำทั้งสองข้างเท้าโต๊ะไว้ ซึ่งฉันอาจจะจ้องนานไปชั่ววินาที แล้วเขาก็เปิดแล็ปท็อปของตัวเอง
“แอรอน” ฉันเรียกเขา โดยหวังว่ามันจะเป็นการเรียกครั้งสุดท้ายในคืนนี้ “คุณไม่จำเป็นต้องช่วยฉันหรอก ถ้าคุณกำลังพยายามทำแบบนั้นอยู่นะ” ท่อนสุดท้ายนั้นฉันกระซิบงึมงำ
ฉันเลื่อนเก้าอี้เข้าหาโต๊ะพลางมองดูเขาพิมพ์พาสเวิร์ดของตัวเอง พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่โฟกัสไปที่ไหล่กว้างน่าโมโหนั่นซึ่งอยู่ในระยะสายตาฉันพอดีขณะที่เขาโน้มตัวอยู่เหนือโต๊ะไม้
สวรรค์โปรด ฉันต้องหยุด…มองดูเขาเสียที