ทดลองอ่าน They Both Die at the End บทที่ 9 – บทที่ 10 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน They Both Die at the End บทที่ 9 – บทที่ 10 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

มาเทโอ

3:42 .

เสียงเคาะประตูดังขึ้น แล้วผมก็หยุดเดินไปมา

ความกังวลต่างๆ โถมใส่ในคราวเดียว ถ้าคนที่เคาะไม่ใช่รูฟัสล่ะ ถึงจะไม่ควรมีใครมาเคาะห้องผมดึกดื่นป่านนี้ก็เถอะ ถ้าคนที่เคาะเป็นรูฟัสแต่เขาพาแก๊งโจรหรืออะไรแบบนั้นมาด้วยล่ะ ถ้าเป็นพ่อล่ะ พ่ออาจไม่ได้บอกผมว่าตื่นแล้วเพื่อจะได้มาเซอร์ไพรส์ผม…อารมณ์แบบปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นในวันสุดท้ายอย่างที่เห็นในหนังช่องไลฟ์ไทม์น่ะ

ผมเดินไปที่ประตูช้าๆ ดันที่ปิดตาแมวขึ้น ก่อนจะหรี่ตาดูรูฟัสที่จ้องตรงมาที่ผม ถึงจะรู้ว่าเขามองไม่เห็นก็เถอะ

“ฉันเอง รูฟัส” เขาพูดจากอีกฝั่ง

ผมหวังว่าจะมีแค่เขาคนเดียวจริงๆ ขณะดึงสายโซ่ออกจากช่อง ผมเปิดประตูออกแล้วเจอกับรูฟัสเวอร์ชั่นสามมิติตรงหน้า ไม่ใช่คนที่ผมเห็นผ่านวิดีโอคอลล์หรือว่าตาแมว เขาใส่เสื้อฟลีซสีเทากับกางเกงบาสเกตบอลขาสั้นสีฟ้าทับกางเกงรัดรูปของอดิดาส เขาพยักหน้าให้ ไม่ยิ้มหรืออะไรเลย แต่ก็ยังให้ความรู้สึกเป็นมิตรอยู่ดี ผมโน้มตัวไปข้างหน้า ใจเต้นกระหน่ำ ก่อนจะแอบส่องโถงทางเดินเพื่อดูว่าเขาซ่อนเพื่อนไว้ตรงผนังเพื่อรุมทำร้ายผมแล้วปล้นเอาของที่มีอยู่น้อยนิดไปรึเปล่า แต่ในโถงไม่มีใคร และรูฟัสกำลังยิ้ม

“ฉันอยู่ในถิ่นของนาย พวก” รูฟัสพูด “ถ้าจะมีใครที่ควรระแวง คนคนนั้นก็คือฉัน หวังว่านายไม่ได้กำลังแกล้งทำเป็นเด็กที่ถูกดูแลแบบไข่ในหินมาทั้งชีวิตนะ”

“เปล่าแกล้งนะ” ผมสัญญากับเขา “โทษที ฉันแค่…วิตกน่ะ”

“เหมือนกันนั่นแหละ” เขายื่นมือมา แล้วผมก็จับมือทักทายกับเขา มือเขาชื้นเหงื่อ “พร้อมชิ่งรึยัง นี่เป็นคำถามหลอก แหงล่ะ”

“เกือบจะพร้อมแล้ว” ผมตอบ เขามาถึงหน้าประตูบ้านผมเพื่อมาอยู่เป็นเพื่อนกัน มาพาผมไปจากที่หลบภัยเพื่อที่เราจะได้ใช้ชีวิตจนกว่าเราจะไม่มีชีวิตอีกต่อไป “ขอฉันหยิบของก่อนนะ”

ผมไม่เชิญเขาเข้ามา และเขาก็ไม่ถือวิสาสะเชิญตัวเองเข้ามาข้างในด้วย เขาเปิดประตูไว้ให้ผมจากข้างนอกตอนที่ผมไปเอาโน้ตสำหรับเพื่อนบ้านกับกุญแจ ผมปิดไฟแล้วเดินผ่านรูฟัสออกไป เขาปิดประตูตามหลังแล้วผมก็ล็อกกุญแจ รูฟัสตรงไปที่ลิฟต์ ผมเดินไปอีกทาง

“นายจะไปไหน”

“ฉันไม่อยากให้เพื่อนบ้านแปลกใจหรือกังวลถ้ามาเคาะประตูแล้วฉันไม่ตอบ” ผมหย่อนโน้ตหน้าห้อง 4F “เอลเลียตทำอาหารเพิ่มให้ฉันเพราะฉันเอาแต่กินวาฟเฟิลอย่างเดียว” ผมเดินกลับมาทางรูฟัสแล้วทิ้งโน้ตอีกใบหน้าห้อง 4A “ส่วนฌอนจะมาดูเตาที่เสียให้ แต่เขาไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นแล้ว”

“เข้าใจคิดดีนะ” เขาพูด “ฉันไม่ได้คิดจะทำอะไรแบบนี้เลย”

ผมเดินไปที่ลิฟต์แล้วเหลือบมองข้ามไหล่ไปหารูฟัส คนแปลกหน้าที่เดินตามผมมา ผมไม่รู้สึกกระวนกระวาย แต่ผมต้องระวังตัว เขาคุยกับผมเหมือนเราเป็นเพื่อนกันมานานแล้ว แต่ผมยังระแวงอยู่ ซึ่งก็ยุติธรรมดี เพราะไม่กี่สิ่งที่ผมรู้เกี่ยวกับตัวเขาคือเขาชื่อรูฟัส เขาปั่นจักรยาน เขารอดจากโศกนาฏกรรม และเขาอยากเป็นมาริโอให้ลุยจิของผม แล้วก็เขาจะตายในวันนี้เหมือนกัน

“โว้ว เราจะไม่ลงลิฟต์นะ” รูฟัสพูดขึ้นมา “เดกเกอร์สองคนลงลิฟต์ในวันสุดท้ายของพวกเขานี่คือถ้าไม่ได้อยากตายก็เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นของมุกตลกที่แป้กสุดๆ”

“ก็จริง” ผมว่า ลิฟต์น่ะอันตราย ดีสุดเราก็แค่ติดลิฟต์ แย่สุดก็อย่างที่รู้ๆ กัน โชคดีที่ผมมีรูฟัสช่วยคิดเรื่องนี้ ผมว่าเพื่อนคนสุดท้ายก็เป็นโค้ชชีวิตได้ด้วยแบบนี้แหละ “ลงบันไดกันเถอะ” ผมบอก อย่างกับเรามีทางเลือกอื่นที่จะออกไปข้างนอกอย่างนั้นแหละ อย่างการไต่เชือกที่ห้อยลงมาจากหน้าต่างโถงทางเดินหรือไม่ก็พวกสไลเดอร์ฉุกเฉินที่เขาใช้บนเครื่องบิน ผมลงบันไดสี่ชั้นเหมือนเด็กที่เพิ่งหัดใช้บันไดเป็นครั้งแรกโดยมีพ่อแม่ลงนำไปก่อนไม่กี่ขั้น…เพียงแต่ไม่มีใครจะช่วยคว้าผมไว้ถ้าผมล้ม หรือถ้ารูฟัสสะดุดมาชนผม

เราลงมาถึงล็อบบี้อย่างปลอดภัย มือผมค้างอยู่เหนือประตูทางเข้า…ผมทำไม่ได้ ผมพร้อมจะถอยกลับขึ้นไปข้างบนแต่รูฟัสเดินผ่านผมแล้วดันประตูเปิดออก อากาศชื้นช่วงปลายหน้าร้อนช่วยให้ผมผ่อนคลายขึ้นมาหน่อย ผมถึงขนาดมีความหวังว่าผม…แค่ผมคนเดียว…ขอโทษนะ รูฟัส…ว่าผมจะสามารถเอาชนะความตายได้ เป็นความรู้สึกดีไม่กี่วินาทีก่อนกลับสู่ความเป็นจริง

“ไปสิ” รูฟัสบอก เขากำลังกดดันผม แต่นี่แหละความสัมพันธ์ของพวกเรา ผมไม่อยากทำให้เราทั้งคู่ผิดหวัง โดยเฉพาะตัวผมเอง

ผมออกจากล็อบบี้แล้วหยุดเดินทันทีที่ประตูปิดลงตามหลัง ผมออกมาข้างนอกครั้งสุดท้ายเมื่อวานตอนบ่ายๆ ตอนผมกลับมาบ้านหลังจากไปเยี่ยมพ่อในวันแรงงานที่ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่การออกมาข้างนอกคราวนี้ให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป มองตึกอาคารที่ผมเติบโตมาพร้อมกับมันแต่ไม่เคยสนใจมองดูดีๆ มาก่อน ในอพาร์ตเมนต์ของเพื่อนบ้านไฟยังเปิดอยู่ ผมได้ยินเสียงครางของคู่รักด้วย มีเสียงหัวเราะลั่นของผู้ชมในรายการตลก เสียงคนหัวเราะดังออกมาจากหน้าต่างอีกบาน อาจเป็นเพราะรายการตลกเสียงดังสนั่นรายการนั้น หรือไม่ก็กำลังโดนคนรักจั๊กจี้ หรือไม่ก็ขำมุกตลกของคนที่แคร์พอจะส่งข้อความมาหาตอนดึกขนาดนี้

รูฟัสตบมือ ปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์ “เอาไปเลยสิบคะแนน” เขาเดินไปที่ราวลูกกรงแล้วปลดล็อกจักรยานสีเทาเหล็ก

“เราจะไปไหนกันเหรอ” ผมถาม ค่อยๆ เดินห่างจากประตู “เราควรมีแผนการรบนะ”

“แผนการรบส่วนใหญ่มีกระสุนกับระเบิดมาเกี่ยวด้วย” รูฟัสบอก “เรียกว่าแผนเกมดีกว่า” เขาลากจักรยานไปทางหัวมุมถนน “รายการสิ่งที่อยากทำก่อนตายน่ะไม่มีประโยชน์หรอก เพราะยังไงก็ทำให้ครบทุกอย่างไม่ได้ เราปล่อยตัวไปตามสถานการณ์ดีกว่า”

“นายดูเชี่ยวชาญเรื่องตายเนอะ”

พูดแบบนั้นออกไปคือโง่มาก ผมรู้ตัวก่อนที่รูฟัสจะส่ายหน้าซะอีก

“อืม คงงั้น” รูฟัสตอบ

“โทษที ฉันแค่…” อาการแพนิกเริ่มมาแล้ว อกผมบีบรัด หน้าร้อนจัด ผิวเนื้อกับหนังศีรษะคันยุบยิบ “ฉันยังซึมซับเรื่องที่ว่าฉันต้องใช้ชีวิตในวันที่อาจจำเป็นต้องมีรายการสิ่งที่ต้องทำก่อนตายไม่ได้น่ะ” ผมเกาหัวแล้วสูดหายใจลึก “แบบนี้มันไม่เวิร์กหรอก มันจะไม่เป็นไปตามแผนที่เราวางไว้ การที่เราอยู่ด้วยกันเป็นไอเดียที่ห่วยแตกเพราะมันเพิ่มโอกาสให้เราตายเร็วขึ้นเป็นสองเท่า เหมือนเราเป็นเขตอันตรายของเดกเกอร์ ถ้าเราเดินไปตามทางแล้วฉันสะดุดล้มหัวฟาดกับหัวดับเพลิงและ…” ผมหุบปากแล้วเบ้หน้าเพราะรู้สึกถึงอาการเจ็บปวดที่หลอนไปเองเหมือนเวลาที่คุณนึกภาพตัวเองตกลงมาหน้าคว่ำใส่รั้วเหล็กแหลมหรือโดนต่อยจนฟันหลุด

“นายจะไปทำสิ่งที่นายอยากทำก็ได้ แต่ยังไงเราก็ตายอยู่ดีไม่ว่าจะอยู่ด้วยกันหรือเปล่า” รูฟัสพูด “กลัวไปก็เท่านั้น”

“มันไม่ง่ายแบบนั้นน่ะสิ เราไม่ได้ป่วยหรือว่าแก่ตาย จะให้เราพยายามใช้ชีวิตอยู่ได้ยังไงทั้งๆ ที่รู้ว่าเราอาจโดนรถบรรทุกชนตอนข้ามถนนน่ะ”

“เราจะมองซ้ายมองขวาก่อน อย่างที่เราถูกฝึกให้ทำมาตั้งแต่เด็ก”

“ถ้ามีคนชักปืนออกมาล่ะ”

“เราจะเลี่ยงย่านที่ไม่ค่อยปลอดภัย”

“ถ้ารถไฟพุ่งมาชนเราล่ะ”

“ถ้าเราไปอยู่บนรางรถไฟในวันสุดท้ายของตัวเอง แสดงว่าเราหาเรื่องตายเองละ”

“แล้วถ้า…”

“นายจะทำแบบนี้กับตัวเองไม่ได้นะ!” รูฟัสหลับตาลงแล้วใช้กำปั้นขยี้ตาตัวเอง ผมกำลังจะทำเขาประสาท “เราจะทำแบบนี้กันทั้งวันเลยก็ได้ หรือไม่ก็อยู่ข้างนอกนี่และแบบว่า…ใช้ชีวิตน่ะ อย่าให้วันสุดท้ายของนายเสียเปล่าสิ”

รูฟัสพูดถูก ผมรู้ว่าเขาพูดถูก ไม่จำเป็นต้องเถียงต่อแล้ว “คงต้องใช้เวลาหน่อยกว่าฉันจะคิดได้แบบนาย ฉันใจกล้าขึ้นมาไม่ได้แค่เพราะรู้ว่าทางเลือกของตัวเองมีแค่ทำอะไรสักอย่างแล้วตายกับไม่ทำอะไรเลยแล้วต้องตายอยู่ดี” เขาไม่ได้เตือนผมว่าเราไม่ได้มีเวลาเหลืออยู่เยอะเท่าไหร่ “ฉันต้องไปบอกลาพ่อกับเพื่อนสนิทของฉัน” ผมเดินไปทางสถานีรถไฟใต้ดินถนนที่ 110

“ได้สิ” รูฟัสบอก “ฉันไม่มีอะไรที่ต้องทำอยู่แล้ว ฉันเพิ่งจัดงานศพไปและมันไม่เป็นไปตามแผนสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้กะจะจัดใหม่อีกรอบหรอก”

ผมไม่แปลกใจเลยที่คนที่ใช้ชีวิตอย่างห้าวหาญในวันสุดท้ายของตัวเองมีงานศพ ผมมั่นใจว่าเขามีคนให้บอกลามากกว่าสองคนแน่นอน

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” ผมถาม

“เรื่องไร้สาระน่ะ” รูฟัสไม่ขยายความต่อ

ผมกำลังมองซ้ายมองขวาเตรียมตัวข้ามถนนตอนเหลือบไปเห็นนกตายตัวหนึ่งบนพื้นถนน เงาเล็กๆ ของมันพาดทับกันสาดเรืองแสงของร้านขายของชำ นกตัวนี้โดนเหยียบ หัวของมันขาดกระเด็นไปไม่ไกล ผมคิดว่ามันน่าจะโดนรถชนแล้วโดนจักรยานทับหัวขาดอีกที…หวังว่าจะไม่ใช่ของรูฟัสนะ นกตัวนี้คงไม่ได้รับการแจ้งเตือนว่ามันจะตายคืนนี้แน่ๆ หรือไม่ก็เมื่อวาน หรือไม่ก็ตั้งแต่เมื่อวานซืน ถึงผมจะอยากจินตนาการว่าคนที่ขับชนมันอย่างน้อยก็น่าจะเห็นมันก่อนแล้วบีบแตร แต่บางทีการบีบแตรเตือนอาจไม่ได้สำคัญอะไรอยู่ดี

รูฟัสเห็นนกตัวนั้นเหมือนกัน “แย่ว่ะ”

“เราต้องเอามันออกไปจากถนน” ผมมองไปรอบๆ เพื่อมองหาอะไรมาช้อนตัวมัน ผมรู้ว่าไม่ควรจับมันด้วยมือเปล่า

“อะไรนะ”

“ฉันไม่ได้มีนิสัย ‘ยังไงก็ตายไปแล้ว งั้นเมินๆ มันไปซะเถอะ’ น่ะ” ผมบอก

“ฉันก็ไม่ได้มีนิสัย ‘ยังไงก็ตายไปแล้ว งั้นเมินๆ มันไปซะเถอะ’ เหมือนกันนั่นแหละ” รูฟัสพูด เสียงดูโกรธๆ

ผมต้องระวังคำพูดแล้วล่ะ “ฉันขอโทษ อีกที” ผมเลิกมองหาอะไรมาตักนกตัวนั้น “คืออย่างนี้ ตอนอยู่เกรดสาม ฉันกำลังเล่นอยู่ข้างนอกกลางฝนตอนที่ลูกนกตัวหนึ่งตกลงมาจากรัง ฉันเห็นตั้งแต่ต้นจนจบเลย ตอนที่มันกระโดดจากขอบรัง กางปีก แล้วร่วงลงมา ตาของมันสอดส่ายไปมาเพื่อขอความช่วยเหลือ ขามันหักจากแรงกระแทก และมันลากตัวเองไปหาที่หลบไม่ได้ ฝนเลยกระหน่ำใส่ตัวมัน”

“สัญชาตญาณของนกตัวนั้นแย่น่าดูเลยนะ ถึงได้โดดลงมาจากต้นไม้แบบนั้น” รูฟัสว่า

อย่างน้อยนกตัวนั้นก็กล้าออกจากบ้านตัวเอง “ฉันกลัวว่ามันจะแข็งตายหรือจมลงในแอ่งน้ำ ก็เลยวิ่งออกไปนั่งอยู่กับมันบนพื้น ใช้ขาตัวเองบังมันไว้น่ะ เหมือนเป็นหอคอย” แล้วลมหนาวก็เล่นงานเราทั้งคู่ ผมต้องหยุดเรียนวันจันทร์กับวันอังคารต่อมาเพราะเป็นไข้หนัก

“เกิดอะไรขึ้นต่อ”

“ฉันเองก็ไม่รู้” ผมยอมรับ “จำได้ว่าตัวเองเป็นไข้และต้องหยุดเรียน ตอนนั้นฉันน่าจะลืมไปว่าเกิดอะไรขึ้นกับนกตัวนั้น ฉันคิดถึงเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ เพราะรู้ว่าฉันไม่ได้หาบันไดมาช่วยพามันกลับขึ้นรัง รู้สึกแย่มากเลยพอคิดว่าฉันปล่อยมันให้ตายกลางฝนตรงนั้น” ผมคิดอยู่บ่อยๆ ว่าการช่วยนกตัวนั้นเป็นการทำความดีครั้งแรกของผม เป็นสิ่งที่ทำเพราะอยากช่วยสิ่งสิ่งหนึ่งเอาไว้ ไม่ใช่เพราะพ่อหรือครูคาดหวังให้ผมทำ “แต่ฉันทำอะไรที่ดีกว่าให้นกตัวนี้ได้”

รูฟัสมองผม สูดหายใจลึก ก่อนจะหันหลังแล้วลากจักรยานไปจากผม อกผมบีบรัดอีกครั้ง อาจเป็นไปได้ว่าผมมีปัญหาสุขภาพที่จะได้รู้ในวันนี้และตายเพราะโรคนั้น ผมโล่งอกพอรูฟัสจอดจักรยานแล้วเอาเท้าดันขาตั้งลง “เดี๋ยวหาอะไรมาให้จับนก” เขาพูด “อย่าแตะตัวมันนะ”

ผมดูให้แน่ใจว่าไม่มีรถขับมาตรงถนนช่วงนี้

รูฟัสกลับมาพร้อมหนังสือพิมพ์ทิ้งแล้ว เขาส่งมันมาให้ “ฉันหาได้ดีสุดแค่นี้”

“ขอบใจ” ผมใช้หนังสือพิมพ์ช้อนตัวนกกับหัวของมันขึ้นมา ก่อนจะเดินไปที่สวนของชุมชนฝั่งตรงข้ามกับสถานีรถไฟใต้ดิน มันตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างสนามบาสเกตบอลกับสนามเด็กเล่น

รูฟัสปั่นจักรยานช้าๆ ตามอยู่ข้างผม “นายจะทำยังไงกับมัน”

“ฉันจะฝังมัน” ผมเข้าไปในสวน เจอมุมหลังต้นไม้ที่อยู่ห่างจากจุดที่นักทำสวนของชุมชนปลูกไม้ผลกับดอกไม้เอาไว้และทำให้โลกเปล่งประกายขึ้นอีกหน่อย ผมคุกเข่าแล้ววางหนังสือพิมพ์ลง กังวลว่าหัวของมันจะกลิ้งออกไป รูฟัสไม่ออกความเห็นอะไร แต่ผมรู้สึกว่าจำเป็นต้องพูด “ฉันปล่อยมันทิ้งไว้ตรงถนนให้คนเอามันไปโยนทิ้งถังขยะหรือให้มันโดนรถทับซ้ำๆ ไม่ได้น่ะ”

ผมอยากให้นกที่ตายก่อนเวลาอันควรอย่างน่าเวทนาได้พักท่ามกลางชีวิตมากมายในสวนแห่งนี้ ผมถึงกับจินตนาการว่าต้นไม้ต้นนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นคนมาก่อน ว่ามีเดกเกอร์ที่ทำพิธีฌาปนกิจสักคนขอให้เอาเถ้ากระดูกของเขาใส่ลงในโกศที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติพร้อมเมล็ดต้นไม้เพื่อมอบชีวิตให้มัน

“เลยตีสี่มานิดนึงแล้ว” รูฟัสบอกผม

“ฉันจะรีบนะ”

เขาคงไม่ใช่คนประเภทที่จะเอานกมาฝัง ผมรู้ว่าคนมากมายไม่เห็นด้วยหรือเข้าใจอารมณ์นี้ เพราะถึงยังไงสำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว นกไม่ได้มีค่าอะไรเลยเมื่อเทียบกับมนุษย์ เพราะมนุษย์จริงๆ ใส่เนกไทแล้วออกไปทำงาน พวกเขาตกหลุมรักแล้วแต่งงานกัน พวกเขาจะมีลูกแล้วเลี้ยงเด็กๆ พวกนั้น แต่นกก็ทำทั้งหมดนี่เหมือนกัน พวกมันทำงาน…แต่ไม่ได้ใส่เนกไท อันนี้ผมยอม…จากนั้นก็ผสมพันธุ์ ฟูมฟักลูกของพวกมันจนแต่ละตัวบินได้ บางตัวก็กลายเป็นสัตว์เลี้ยงเพื่อให้ความบันเทิงแก่เด็กๆ เด็กๆ ได้เรียนรู้ที่จะรักและมีเมตตากับสัตว์ ส่วนนกตัวอื่นก็ใช้ชีวิตไปจนเวลาของพวกมันหมดลง

แต่อารมณ์แบบนี้เป็นอารมณ์ของมาเทโอ และนั่นหมายความว่ามันทำให้คนอื่นมองว่าผมเป็นคนแปลกๆ ผมไม่แสดงความคิดแบบนี้ออกมาให้คนอื่นรู้หรอก แม้กระทั่งพ่อกับลิเดียยังยากเลย

ผมใช้กำปั้นกดลงไปในแปลงดินได้สองครั้งพอดี ก่อนจะย้ายตัวนกกับหัวของมันจากหนังสือพิมพ์ลงไปในหลุมตอนที่แสงแฟลชสว่างวาบขึ้นข้างหลัง ความคิดแรกของผมคือไม่ใช่เพราะมีเอเลี่ยนส่งนักรบลงมาฆ่าผมหรอกนะ…โอเค ยอมรับก็ได้ว่าคิดอย่างนั้น ผมหันไปเห็นรูฟัสเล็งกล้องมือถือมาทางผม

“โทษที” รูฟัสบอก “เราไม่ได้เห็นคนเอานกมาฝังทุกวันนี่”

ผมตักดินมากลบตัวนก ลูบหน้าดินจนเรียบ ก่อนจะลุกขึ้นยืน “หวังว่าจะมีคนใจดีกับเราแบบนี้ตอนทุกอย่างจบลงนะ”

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com