everY
ทดลองอ่าน What If It’s Us บทที่ 9 – บทที่ 10 #นิยายวาย
“เคนต์ มิเชล” เขาตอบและจับมือกับดีแลน ก่อนจะจับมือกับผมอีกที
ผมหันไปหาผู้หญิงคนนั้น “ฉันเบน”
“ฉันอลีมา” เธอพูด “พวกนายตื่นเต้นมั้ย”
ดีแลนกระแอม “โอ้ แน่นอน ตื่นเต้นมากเลยที่จะได้ต่อยอดความรู้เรื่องโลกสมัยใหม่ ยุคโบราณ และกรีก ฉันล่ะอยากตั้งชื่อลูกชายว่าอคิลีสเพราะฉันคิดว่าความฉิบหายน่ะเป็นบทเรียนที่ดี”
ผมไม่…
ผมแค่…
เหมือนบางครั้งดีแลนก็พยายามจะดีแลนให้สุดจนเกินตัวเองไปเลย
“ฟังดูน่าสนุกกว่าจริยศาสตร์ รัฐศาสตร์ กับเศรษฐศาสตร์นะ” เคนต์พูด “สนุกล่ะงานนี้” ดีแฮะ เขาไม่ทะนงตัวถึงขนาดที่คิดว่าวิชาเอกของตัวเองน่ะน่าประทับใจ ได้คะแนนความเท่ไปเต็มๆ “นายล่ะชอบอะไร”
ให้ตายเถอะ แก้มผมแดงขึ้นมาหน่อยตอนที่เขาถามผมด้วยท่าทางแบบนั้น แล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่าผมไม่รู้เลยว่าที่เยลเขามีคอร์สอะไรบ้างหรือมหา’ลัยเขาสอนอะไรกัน ผมยังไม่ขึ้นไฮสกูลปีสุดท้ายและยังไม่เคยคิดไปถึงขนาดนั้น งั้นก็ว่าไปตามตรงเลยละกัน “ฉันชอบงานเขียนน่ะ”
“เหมือนกัน!” เคนต์พูด “เคยชอบน่ะ อย่าล้อนะ แต่ฉันเคยเขียนแฟนฟิคหลายเรื่องเลย”
“โอ้ เบนไม่มีทางล้อนายเรื่องนั้นหรอก” ดีแลนพูด
“ฉันไม่ใช่เงือกน้อยผจญภัยนะ ฉันพูดเองได้” ผมพูดแบบเค้นเสียงหัวเราะ แบบ ฮ่าๆๆๆ หุบปากซะ ผมหันกลับไปหาเคนต์ “นายเขียนแฟนฟิคอะไรเหรอ”
“โปเกมอน” เคนต์ตอบ เขาหน้าเหยนิดหนึ่งเหมือนคิดว่าผมจะล้อเขา เขามีลักยิ้มด้วยแบบโอ้โห “ฉันรู้ว่ามันไร้สาระ แต่มันเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของฉันระหว่างโตขึ้นมาเลยนะ”
“ไม่ไร้สาระหรอก” อลีมาบอก
“ไม่เลย ฉันเคยขอร้องให้พ่อกับแม่พาฉันออกไปข้างนอกจะได้ไปจับเซนิกาเมะ”
“ฉันชอบปิกาจู” เคนต์พูด
“ปิกาจูนี่รักเลย” ดีแลนบอก
ผมดูไม่ออกแล้วว่าดีแลนคือคนช่วยจีบหรือคู่แข่งของผมกันแน่ ผมส่งสายตาแบบ เฮ้ ไสหัวไปซะดีมั้ย และคราวนี้เขาเข้าใจด้วย
ดีแลนหันไปหาอลีมา “เธอชอบทำอะไรแก้เบื่อเหรอ ใช้อะไรเป็นยาแก้เครียด ไม่ได้หมายถึงยาจริงๆ นะ เว้นแต่ว่ายาจริงๆ เป็นตัวเร่งของเธอ ไม่ได้หมายถึงตัวเร่งแบบในยานะ…”
ขอโทษจากใจจริงเลยนะอลีมา แต่ผมรู้สึกถูกชะตากับเคนต์ และบางทีผมอาจจะมาที่นี่เพื่อตามหาคนที่ไม่โผล่มาและกลับไปพร้อมใครอีกคนที่อาจจะดีกว่าสำหรับผมก็ได้
“แล้วฉันจะไปหาอ่านแฟนฟิคปิกาจูนี่ได้ที่ไหนเหรอ” ผมถาม
“มันหายไปนานแล้วล่ะ ทำลายไปแล้ว ฉันโยนมันลงปล่องภูเขาไฟแล้วโยนภูเขาไฟลูกนั้นลงปล่องภูเขาไฟอีกที” ถ้าเสียงหัวเราะเบาๆ ของเคนต์จะมีเสน่ห์ขนาดนี้ งั้นผมก็ทนรอฟังเสียงหัวเราะของเขาจริงๆ ไม่ไหวแล้ว “นายโตแถวไหนเหรอ”
“อัลฟาเบ็ตซิตี้” ผมพูด
“ไม่จริงน่า อยู่ใกล้ฉันเลย ฉันอยู่ห่างจากยูเนียนสแควร์ไปสองช่วงตึก”
โอเค แบบนี้ค่อยเหมือนจักรวาลยื่นมือมาช่วยจริงๆ บ้านเราอยู่ห่างกันในระยะสิบห้านาที แถมตอนนี้เราได้เจอกันแล้วด้วย
“พ่อฉันเป็นผู้ช่วยผู้จัดการที่ดเวนรี้ดตรงข้ามถนนของยูเนียน” ผมพูด ผมภูมิใจในตัวพ่อผมนะ แต่ไอ้พวกเฮงซวยที่โรงเรียนบางคนดูถูกครอบครัวผมเพราะพ่อแม่ผมไม่ได้ทำงานที่ ‘เจ๋งกว่านี้’ แต่ดีแลนก็ใช้กำลังหุบปากพวกเขาซะหมด มันรู้สึกดีนะที่ได้พูดเรื่องนี้ออกมาเลยเผื่อว่าเคนต์เป็นพวกหัวสูง
“ฉันไปร้านนั้นตลอดเลย ฉันมีหน้าที่ทำอาหารวันอังคารกับวันพฤหัสน่ะ เลยต้องไปซื้อของที่นั่น”
“แต่ร้านโฮลฟู้ดส์อยู่ห่างไปแค่ช่วงตึกเดียวเองนะ” ผมบอก ดูจากรองเท้าผ้าใบกับเสื้อของเขาแล้ว ครอบครัวของเขาน่าจะจ่ายเงินซื้อของแพงกว่านี้ได้
“แถวยาวเป็นไมล์ตลอดเลยน่ะสิ แถมของที่จะเอามาทำอาหารสเปนแบบเร็วๆ ได้ก็อยู่ที่ดเวนรี้ด” เคนต์พูด
“โอ้ เจ๋งเลย นายเป็นคนเปอร์โตริโกรึเปล่า หรือ…”
“ใช่” เคนต์บอกแล้วยิ้มอีกครั้ง ผมยังยืนยันไม่ได้ว่าเขาชอบผู้ชายรึเปล่า แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็ไปได้สวยล่ะนะ
“ฉันก็เหมือนกัน! ทุกคนชอบคิดว่าฉันเป็นคนขาว แย่มากเลย” ผมพูด “มันน่ารำคาญนะที่ต้องคอยอธิบายตลอด”
เคนต์กัดริมฝีปากและพยักหน้า “อย่างน้อยก็ไม่มีคนคอยเดินตามนายในร้านขายของชำเหมือนนายพยายามจะขโมยอะไรสักอย่าง และฉันรู้เลยว่าไม่มีใครถามว่านายเข้าเยลเพราะอยากได้โควตาคนผิวสีรึเปล่า นั่นน่ะแย่จริง”
ผมมองไปทางอื่นเพราะ ว้าว ถึงเคนต์จะไม่ได้เขวี้ยงหมัดมา แต่ผมก็รู้สึกเหมือนโดนต่อยอยู่ดี “โทษที ฉัน…” ความเงียบปกคลุมระหว่างเรา การต้องคอยบอกคนอื่นว่าผมเป็นคนเปอร์โตริโกมันไม่ใช่ปัญหาเลยพอเทียบกับสิ่งที่เคนต์ต้องเจออยู่ตลอด ผมแม่งโคตรเฮงซวย “ฉันไปช่วยอลีมาจากดีแลนดีกว่า”
“โอเค ไว้เจอกันนะเบน”
ไม่ได้เจอกันหรอก และแบบนั้นคงดีแล้วล่ะ
ผมเดินไปหาดีแลนและคว้าแขนเขา “ขอเราคุยกันแป๊บหนึ่งนะ” ผมพูดแล้วลากเขาออกมา “ฉันอยากกลับแล้ว”
“ล้อเล่นป่ะเนี่ย ฉันคิดผิดเองที่บอกว่าเขามีออร่าแบบตอนเช้า เคนต์น่ะเป็นพวกตอนเย็นแบบเพียวๆ เลย เขาอยากให้นายพาไปห้องน้ำแล้วจับปิกาจูกัน”
“ฉันไม่เข้าใจเลยว่าที่นายพูดน่ะมันหมายความว่ายังไง เราต้องคุยกันเรื่องวิธีมีเซ็กซ์ระหว่างผู้ชายด้วยกันเองหน่อยละ” ผมส่ายหน้า “นี่ไม่ใช่ที่ของฉัน ฉันสร้างอนาคตที่เยลหรือกับเคนต์หรือกับอาร์เธอร์ไม่ได้หรอก ฉันพอแล้ว”
“นายไม่ยุติธรรมกับตัวเองเลย” ดีแลนพูด
“คงงั้น แต่อย่างน้อยฉันก็ซื่อสัตย์กับตัวเอง”
ผมจ้ำอ้าวไปที่บันไดแล้วตรงกลับลงไปยังสวน
เสียเวลาชะมัด ไม่อยากเชื่อเลยว่าเราจะทำแบบนี้ อย่างกับอาร์เธอร์จะมาที่นี่จริงๆ อย่างนั้นแหละ ผมโง่เองที่คิดว่าจักรวาลมีแผนการใหญ่อยู่ อย่างเดียวที่ผมรู้ตอนนี้คือผมแคร์มากพอที่จะถ่อมาถึงที่นี่ และผมกำลังเดินหนีออกมาโดยที่ไม่รู้เลยว่าจะเอายังไงต่อกับอนาคต ผมรู้แค่ว่าตัวเองวนกลับมาที่จุดเริ่มต้นโดยที่ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนต่อ
ศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม
ผมไม่มีสมาธิเล่นแองกรี้เบิร์ดส์เลยพอได้ยินเสียงฮัดสันกับแฮเรียตหัวเราะตอนกำลังถ่ายรูปเซลฟี่กัน
“ถุงใต้ตาฉันนี่มัน…” ฮัดสันหาคำมาอธิบายไม่ได้
“เหมือนไปเล่นมวยปล้ำในกรงมาใช่มั้ย” แฮเรียตพูด เธอปัดผมข้ามไหล่แล้วยืดอกขึ้นมา “ลองทำหน้าตลกๆ สิ คนเขาจะได้ไม่สังเกตหน้าตาอิดโรยของนาย”
“ขอบใจที่สร้างความมั่นใจให้นะ”
“ฉันก็แค่พูดตามความจริง นายต้องนอนหลับพักผ่อนเยอะกว่านี้นะ” แฮเรียตพูด
การนอนหลับพักผ่อนดูไม่สำคัญเท่าไหร่สำหรับคนที่ใช้ฟิลเตอร์แต่งรูปเป็นบ้าเป็นบ้าหลังอย่างเธอ แต่แฮเรียตจะทำอะไรบนอินสตาแกรมมันก็เป็นกงการของเธอ…เป็นกงการจริงๆ นะ มีคนติดต่อให้เธอโฆษณาน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพที่เธอไม่ชอบด้วยซ้ำเพราะกินแล้วปวดท้อง แต่นั่นก็ไม่หยุดเธอจากการได้เงินสองร้อยเหรียญต่อรูปอยู่ดี แฮเรียตเคยตั้ง #แฟนหนุ่ม กับดีแลนเอาไว้ลงรูปเธอแต่งหน้าให้เขาแบบลงคอนทัวร์ตรงโหนกแก้มบ้าง ทาอายแชโดว์บ้าง ดีแลนชอบมากเพราะเขาชอบได้รับความสนใจ แฮเรียตภูมิใจกับรูปพวกนั้นมากจนเธอไม่ลบรูปทิ้งถึงจะเลิกกับเขาแล้วก็ตาม เวลาแฮเรียตแท็กผมในรูปจะเป็นอะไรที่บ้ามาก จะมีคนมากดติดตามผมเป็นสิบๆ คน แต่พวกเขาจะค่อยๆ เลิกติดตามผมไปเพราะพวกเขาไม่สนภาพถ่ายงานกราฟิตี้เจ๋งๆ ที่ผมเจอตามห้องน้ำในเมืองหรือรูปที่ผมถ่ายกับฮัดสันหรอก
“รูปแบบนั้นแย่กว่าอีก” ฮัดสันพูดหลังจากลองพยายามดูอีกรอบ “วันนี้หน้าฉันไม่โอเค ช่างมันเถอะ”
ฮัดสันเคร่งกับตัวเองแบบนี้ตลอด
“ลองอีกรูปเถอะน่า” แฮเรียตพูด “ทำหน้าตลกๆ”
“จัดไป หัวหน้า”
ฮัดสันเอนตัวไปข้างหน้า เขายกกำปั้นไว้ใต้คางและมองออกไปบนท้องฟ้าเหมือนเขาเพิ่งมีโมเมนต์ระดับมหากาพย์และตอนนี้พร้อมแล้วที่จะสร้างโลกขึ้นมาใหม่ แฮเรียตส่งจูบให้ใครก็ไม่รู้ไปอีกทาง แล้วพวกเขาก็เช็กรูปกัน
“ชอบอ่ะ” แฮเรียตพูด “ต้องคิดแคปชั่นก่อน”
“เดี๋ยวนะ” ฮัดสันพูด
“นายดูฮอตจะตาย”
“ไม่ใช่” ฮัดสันซูมรูปแล้วทั้งคู่ก็หันมา
และจ้องผม
สงสัยผมจะติดเข้าไปในเซลฟี่ของพวกเขา รูปเซลฟี่ที่ใช้ได้รูปเดียวของพวกเขา และแน่นอนว่าในรูปผมกำลังจ้องพวกเขาอยู่แทนที่จะทำเป็นเล่นมือถือสบายๆ ฮัดสันส่ายหน้าและมองไปทางอื่น หน้าผมแดงขึ้นมา ผมกลับมาเล่นแองกรี้เบิร์ดส์และสนแต่เรื่องของตัวเอง
อย่างน้อยผมก็พยายามน่ะนะ ผมยังมีหูอยู่นี่นา
“เขาก็ดูดีนะ ต้องยอมรับเลย” แฮเรียตพูด
“ไม่ เธอไม่จำเป็นต้องยอมรับเรื่องนั้น” ฮัดสันกระชิบแบบฉุนๆ
อีกหนึ่งเดือนผมก็จะเป็นอิสระจากขุมนรกนี่
ผมเดินเข้าไปในร้านกาแฟดรีมแอนด์บีนและเห็นดีแลนนั่งรออยู่ตรงที่นั่งติดหน้าต่าง
“บิ๊กเบน เข้ามาในออฟฟิศฉันได้เลย” ดีแลนพูดแล้วยกเป้ออกจากเก้าอี้ให้ผมนั่ง
“ออฟฟิศนายควรมีโต๊ะที่ใหญ่กว่านี้นะ”
“จะมีโต๊ะไปทำไมในเมื่อมีวิวสวยขนาดนี้” ดีแลนผายมือไปนอกหน้าต่าง
“ขยะวางถมกันเนี่ยนะ” ตั้งสามถุง วิวจากห้องนอนฮัดสันยังดีกว่าอีก เห็นแต่กำแพงอิฐ
“อยากดื่มอะไรมั้ย คนของฉันจัดการให้นายได้”
“นายเป็นลูกค้าประจำ ไม่ใช่เจ้าของร้าน”
“ทำไมนายใจร้ายจัง เบน”
“สรุปให้เร็วๆ เลยนะ ฉันต้องเรียนเสริมฤดูร้อนกับแฟนเก่า และฉันคิดว่าจะได้เจอหนุ่มน่ารักอีกครั้งเมื่อวานนี้แต่ก็ไม่ได้เจอ ชีวิตมันห่วย”
เมื่อคืนผมนอนไม่ค่อยหลับเพราะมัวแต่นึกถึงฮัดสันกับอาร์เธอร์ ผมนึกถึงฮัดสันเพราะผมไม่อยากเจอเขาที่โรงเรียนอีก ผมนึกถึงอาร์เธอร์เพราะรู้ตัวแล้วว่าผมเป็นคนทำเรื่องทุกอย่างพังที่หนีออกมาแบบนั้น ก่อนที่ซาแมนธาจะเข้ามาช่วยผมเมื่อวาน ผมไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้เจอเขาอีกจริงๆ ที่นี่คือนิวยอร์กและผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย แล้วคราวนี้ซาแมนธาก็บอกว่าเธอเป็นเหมือนแนนซี ดรูว์แล้วผมก็มีความหวังขึ้นมา การไปที่กลุ่มนัดรวมตัวของเยลถือว่าเดินเกมได้ฉลาด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรอยู่ดีนอกจากความรู้สึกของผมที่อยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่หวังไว้ คือได้เจออาร์เธอร์และดูว่าเรื่องระหว่างเราจะออกมาเป็นยังไง
“หน้าตาแบบนายน่ะโสดได้ไม่นานหรอก” ดีแลนยักคิ้วยึกยัก
ผมไม่อยู่ในอารมณ์จะจีบใครตอนนี้
“ฉันรู้สึกเหมือนถูกลงโทษที่ตัวเองอยากมีความสุขเลย” เหมือนชีวิตของผมคงจะโอเคดีถ้าผมให้โอกาสครั้งที่สองกับฮัดสัน อะไรๆ อาจจะดีกว่านี้ก็ได้ถ้าผมทำอย่างนั้น
“บางทีนายอาจจะแค่เป็นพวกดวงซวยในวันศุกร์สิบสาม”
“อย่างน้อยก็ยังมีดูหนังมาราธอนของเราอยู่”
ดีแลนเงียบไปแป๊บหนึ่ง “มาราธอนที่ไม่มีซาแมนธา”
“ฉันมั่นใจว่าเดี๋ยวเธอก็ทักนายมา” ผมไม่มั่นใจหรอก เธอไม่ส่งข้อความหาเขาเลยตั้งแต่เมื่อคืน
ผมไม่ได้อยากเป็นคนแบบนั้นนะ แต่ถ้าจะบอกว่าผมไม่รู้สึกโล่งใจเลยที่ดีแลนกับซาแมนธาไม่ได้ลงเอยกันก็คงไม่ต่างจากโกหก อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิด ผมอยากให้เขามีความสุข เขาคือเพื่อนรักสุดซี้ของผม แต่ขอโทษเถอะ เขาเป็นเพื่อนสนิทที่ห่วยมากเวลามีแฟน เหมือนแฟนของเขาคือหัวข้อเดียวในโลกใบนี้ และผมรู้สึกเหมือนตัวเองไม่สามารถเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมให้เขารับรู้ได้เลย นี่อาจจะเป็นนิสัยเสียของผมก็ได้ แต่ผมน่ะ ไม่รู้สิ รู้สึกหวั่นใจและไร้ค่าทุกครั้งที่เขาเริ่มชอบสาวคนใหม่ พ่อเคยถามว่าผมแอบชอบดีแลนรึเปล่า ซึ่งไม่ใช่เลย ดีแลนน่ะสุดยอดและผมจะกระโดดถีบยอดหน้าใครก็ตามเพื่อเขา ผมแค่คิดถึงเขาเวลาเขาคบกับใครน่ะ และผมก็ไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองสำคัญเฉพาะเวลาที่เขาโสด
ผมคอแห้ง เลยลุกไปที่เคาน์เตอร์บาร์ ระหว่างเทน้ำฟรีลงในแก้วพลาสติก ผมดูบอร์ดติดประกาศที่มีใบปลิวรับสมัครนักศึกษาฝึกงานเต็มไปหมด โปสเตอร์ต่อต้าน เบอร์โทรศัพท์ ประกาศรับสมัครคนพาหมาไปเดินเล่น โฆษณานู่นนี่นั่น และ…
หน้าผม
หน้าผมอยู่บนบอร์ดติดประกาศ
น้ำไหลจนล้นแก้วแต่ผมไม่มีจิตสำนึกหรือมารยาทมากพอที่จะรีบเช็ดมันเพราะหน้าผมอยู่บนบอร์ดติดประกาศ
ผมไปทำอะไรเหรอ ทำไมถึงมีใครต้องการตัวผม เดี๋ยว ไม่สิ มันไม่ใช่ภาพที่ตำรวจร่างขึ้นมาหรือภาพมัวๆ ที่ถ่ายจากกล้องวงจรปิด หน้าผมถูกตัดมาจากรูปที่ผมปาหิมะใส่หน้าฮัดสัน เขาเป็นคนทำเหรอ ผมเกือบเรียกดีแลนแล้ว แต่ยังพูดไม่ออกเพราะมันมีโน้ตอยู่ด้วย
นายใช่ผู้ชายจากที่ทำการไปรษณีย์รึเปล่า
ตอนนี้ฉันประหม่ามากเลย และก็ไม่อยากจะเชื่อด้วยว่าฉันกำลังทำแบบนี้ แต่เอาล่ะ
พวกเราคุยกันแป๊บหนึ่งที่ที่ทำการไปรษณีย์ในเล็กซิงตัน
ฉันคือคนที่ใส่เนกไทลายฮอตดอก ส่วนนายกำลังจะส่งของคืนให้แฟนเก่า
ฉันชอบเสียงหัวเราะของนายมากเลย ตอนนั้นน่าจะขอเบอร์นายไว้
อยากให้โอกาสฉันอีกสักครั้งมั้ย จักรวาล
อืม
ใจผมเต้นรัวเพราะจักรวาลกำลังแกล้งผมเล่นอยู่แน่ๆ
ผมดึงประกาศแผ่นนั้นออกจากหมุดติดกระดาน นี่มันหน้าผมชัดๆ โน้ตนี่เขียนถึงผม ผมควรมาเจอมัน
ผมเพิ่งเจอมัน
นี่…นี่ไม่ได้กำลังเกิดขึ้นจริงหรอก ใช่แล้ว มันไม่ได้เกิดขึ้นจริง
ผมเดินกลับไปหาดีแลนอย่างฉุนๆ “เล่นมุกตลกปัญญาอ่อนอะไรของนายเนี่ย”
“หา มุกตลกฉันไม่ปัญญาอ่อนสักหน่อย”
“อย่าแกล้งโง่”
ดีแลนเอากระดาษไปอ่าน “เดี๋ยวนะ เชี่ย”
“ไม่ใช่นายจริงๆ เหรอ”
“เบน เพื่อน ไม่ใช่ฉัน” ดีแลนมองตาผม เขาไม่ได้หัวเราะ “มันติดอยู่ตรงไหน”
“เคาน์เตอร์บาร์ ตรงบอร์ดติดประกาศ เขาคงรู้ว่าต้องมาติดที่นี่เพราะตอนนั้นฉันใส่เสื้อดรีมแอนด์บีน”
“ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก! โธ่เอ๊ย ซาแมนธาคงโมโหแน่ที่เธอไม่ได้เป็นคนแก้ปัญหาให้นาย แต่เธอต้องดีใจกับนายอยู่แล้ว ฉันมั่นใจ” เขาคว้าไหล่ผม “นี่แหละ มันเกิดขึ้นแล้ว นายจะติดต่อเขาไปใช่มั้ย สุดยอดเลยว่ะ ฮอลลีวูดจะเอาเรื่องของพวกนายไปทำเป็นหนัง แล้วก็มีภาคต่อรุ่นลูกของพวกนายในเน็ตฟลิกซ์”
“แต่มันเป็นไปได้ยังไง ฉันงงแล้วเนี่ย เขาไปเอารูปนี่มาได้ยังไง น่าขนลุกนะเว้ย เขาแอบตามฉันเหรอ จะล่อฉันไปติดกับรึเปล่า”
“งั้นนายต้องนัดเจอเขาในที่สาธารณะ พกเครื่องช็อตไฟฟ้าไปด้วย”
“ฉันแค่…มันไม่ได้เกิดขึ้นจริงหรอก ฉันเจอหนุ่มน่ารักตลอดอยู่แล้ว”
“แล้วเคยได้เจอพวกเขาอีกมั้ย”
“ไม่”
ดีแลนโบกโน้ตแผ่นนั้นไปมา “บิ๊กเบน ชีวิตนายเพิ่งจะง่ายขึ้นมานะ อย่าคิดเยอะ ไม่มีใครเขาอยากดูซีรี่ส์เน็ตฟลิกซ์มาราธอนเกี่ยวกับคนที่ไม่ทำอะไรเลยหรอกนะ ต่อให้รอยยิ้มกับรอยกระของนายจะน่ารักแค่ไหนก็เถอะ”
ผมจ้องอีเมลที่อยู่บรรทัดล่างสุดของกระดาษ
ผมคงไม่ใช่พวกดวงซวยในวันศุกร์สิบสามสินะ
ผมคือผู้ชายจากที่ทำการไปรษณีย์
และอาร์เธอร์ก็ตามหาผมเหมือนกัน
เรายังไม่พร้อมจะเปิดชัคกี้ ดีแลนกับผมนั่งอยู่บนเตียง เขานั่งเล่นมือถือและทรมานตัวเองโดยการส่องเฟซบุ๊กของซาแมนธา ส่วนผมหยุดจ้องโน้ตจากดรีมแอนด์บีนไม่ได้ ผมหยิบมันกลับมาจากบอร์ดติดประกาศด้วยเพราะไม่มีใครต้องการรูปถ่ายหน้าผมหรอก ผมพิมพ์ที่อยู่อีเมลลงในมือถือแล้ว แต่ช่องใส่ข้อความยังว่างเปล่า
“นายต้องช่วยฉันนะ ดี ฉันควรเขียนยังไง”
“ใช้ไอ้จ้อนของนายเขียนสิ บิ๊กเบน”
“เราเลิกกันถ้านายไม่ช่วยฉันเขียนข้อความดีๆ ให้อาร์เธอร์”
“ก็ได้ โอเค ถ้านายไม่ใช้ไอ้จ้อนเขียน ก็ใช้ใจเขียนเอา น่าจะเป็นอีกวิธีที่สมเหตุสมผลนะ”
“การใช้ไอ้จ้อนเขียนมันไม่ใช่วิธีที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว”
“กล้าพูดนะ”
ถ้าคุณปล่อยให้ดีแลนพูดไปเรื่อยๆ นานพออย่างที่ผมทำ เขาจะคิดอะไรที่คนธรรมดาทั่วไปน่าจะคิดออกทันทีได้ อย่างเช่นการใช้ใจพูดเนี่ย
ผมเลือกเขียนข้อความเรียบๆ และบอกสิ่งที่ผมรู้สึกมาตลอดตั้งแต่เห็นหน้าตัวเองบนบอร์ดติดประกาศ นี่คือเรื่องจริงใช่มั้ย