เส้นทางเข้าสู่สำนักหานซาน บริเวณเชิงเขาของเขายอดประมุขมีป่าสนหนาทึบอยู่ผืนหนึ่ง
ยามเช้าหมอกขาวกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าคล้อยเคลื่อนลอยละล่องอยู่ท่ามกลางสนเขียวสูงระฟ้า เสียงอ่านหนังสือดังก้องลอยออกมาจากป่าลึก ที่เชิงเขาไม่หนาวสะท้านเหมือนบนยอด สัตว์ตัวน้อยปรากฏกายให้เห็นอยู่กลางป่า เสียงแมลงเสียงนกร้องระคนอยู่กับเสียงอ่านหนังสือ
นกกระจอกฝูงหนึ่งกระโดดโลดเต้นไปมาอยู่บนกิ่งไม้ เมิ่งเสวี่ยหลี่มองดูขนเล็กละเอียดบนตัวของพวกมัน รู้สึกว่านกเหล่านี้ต้องอบอุ่นมากแน่ๆ
“อาวุโสเมิ่ง ด้านหน้าคือวิหารถกสัจธรรม” ผู้รับใช้หนุ่มที่อยู่ข้างกายเขากล่าว “เหล่าสานุศิษย์กำลังศึกษาตำราเช้า คาบเรียนเช้ายังไม่เริ่ม”
เมิ่งเสวี่ยหลี่พยักหน้าเกรงใจ “ขอบคุณ รบกวนเจ้านำทางแล้ว”
เส้นทางเล็กๆ ที่ปูไว้ด้วยกรวดสีขาวลัดเลาะผ่านป่าสนเชื่อมต่อไปยังวิหารถกสัจธรรม ห้องเรียนแต่ละห้องตั้งอยู่ที่ปลายทาง กระเบื้องดำกำแพงขาวเส้นสายสะอาดสะอ้านเรียบง่ายปรากฏชัดอยู่ท่ามกลางป่าสน เป็นลีลาท่วงทำนองของหานซานมาแต่ไหนแต่ไร
ผู้ที่เข้ามาศึกษาส่วนใหญ่ล้วนเป็นศิษย์นอก หากผ่านการประเมินพวกเขาก็จะสามารถคำนับอาจารย์ฝากตัวเป็นศิษย์ เดินขึ้นบันไดหยกสูงชันทะลุม่านเมฆไปพบกับหานซานที่แท้จริงได้
เมิ่งเสวี่ยหลี่กลับต่างออกไป นับแต่หานซานก่อตั้งสำนัก เขาก็เป็นผู้อาวุโสเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่เคยมาสอน หากแต่มาศึกษา
เพราะด้วยฐานะคู่ร่วมบำเพ็ญของจี้เซียว ทำให้อาวุโสของเขาสูงกว่าผู้อาวุโสที่มาสอนเหล่านั้นกว่าครึ่ง
ยามนั้นครั้นผู้รับใช้หนุ่มส่งเขาเข้าถึงห้องเรียน จู่ๆ เสียงอ่านหนังสือที่เคยดังก้องก็หยุดชะงัก สายตาอยากรู้อยากเห็นคู่แล้วคู่เล่าล้วนจับจ้องอยู่บนร่างของเมิ่งเสวี่ยหลี่
เหล่าสานุศิษย์สวมใส่อาภรณ์นักพรตสีขาวของทางสำนัก มีเพียงเขาเท่านั้นที่อยู่ในอาภรณ์สีม่วง ทับด้วยเสื้อคลุมตัวนอกสีเงิน ข้างกายยังมีผู้รับใช้ที่เป็นศิษย์ฝ่ายในคอยช่วยจัดโต๊ะจัดเก้าอี้ให้ แค่ดูก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ศิษย์ธรรมดาทั่วไป
ผู้รับใช้กล่าว “อะแฮ่ม ท่านผู้นี้คือผู้อาวุโสแห่งยอดเขาฉางชุน สหายร่วมศึกษาของพวกเจ้าใน…วันหน้า แสดงคารวะต่อผู้อาวุโส”
“อา! ที่แท้เขาก็คือเมิ่งเสวี่ยหลี่! คู่ร่วมบำเพ็ญของอริยกระบี่! เขามาที่นี่ด้วยเหตุใดกัน”
“ได้ยินว่ามาศึกษา…”
“ไม่ใช่ว่าปีหน้าเขาต้องเข้าแดนสนธยาฮั่นไห่แล้วหรือไร ตอนนี้เพิ่งจะมาฟังพื้นฐานเนี่ยนะ?”
“งดงามยิ่งนัก!”
ยามนี้อาวุโสผู้สอนยังไม่มา ด้วยไร้ผู้ควบคุมบรรดาสานุศิษย์ทั้งหลายจึงรวมกลุ่มขยิบหูขยิบตา กระซิบกระซาบพูดคุย เสียงทักทายจ้อกแจ้กวุ่นวายดังอยู่ห่างๆ
“ยินดีที่ได้พบอาวุโสเมิ่ง”
“อาวุโสเมิ่งยินดีที่ได้รู้จัก”
ผู้รับใช้หนุ่มกระอักกระอ่วนเล็กน้อย มองดูเมิ่งเสวี่ยหลี่ด้วยสายตาเป็นกังวล “พวกศิษย์น้องไม่รู้จักธรรมเนียม”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ไม่รู้สึกอึดอัดแม้แต่น้อย เขายิ้มตอบ “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน ไม่เป็นไร วันหน้าพบเจอข้าหาต้องแสดงคารวะอันใดไม่”
นับแต่ขึ้นเขาหานซานมา เขาก็เห็นแต่เจ้าสำนักกับผู้อาวุโสประมุขยอดเขาทั้งหลายแต่ละคนล้วนสุขุมรอบคอบ นักพรตน้อยก็ขี้ขลาดระแวดระวัง เด็กหนุ่มที่กระฉับกระเฉงเต็มไปด้วยชีวิตชีวาเช่นนี้เขาไม่ได้พบพานนานแล้ว
ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ยิ่งดังขึ้น คนที่ใจกล้าหน่อยถึงกับอยากชวนเขาพูดคุย จู่ๆ ศิษย์ที่นั่งพิงอยู่ข้างหน้าต่างก็ลุกขึ้นยืน สองตาจ้องมองไปข้างนอก ปากก็ร้องตะโกน “มาแล้วๆ!”
จู่ๆ ก็มีคนวิ่งไปที่ข้างหน้าต่าง “มาแล้วจริงๆ!” ก่อนจะวิ่งตื๋อออกนอกประตูไปอย่างรวดเร็ว
ศิษย์คนอื่นๆ ต่างพุ่งพรวดไปทันที กระดาษพู่กันปลิวว่อน ตั่งโต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาด จู่ๆ ทั้งห้องเรียนก็กลับกลายเป็นว่างเปล่า
เมิ่งเสวี่ยหลี่ยื่นหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง เด็กแต่ละห้องต่างกรูกันออกมา มุ่งหน้าตรงไปทางเดียวกันเป็นขบวนขนาดใหญ่ ระคนไปด้วยเสียงจ้อกแจ้กจอแจ หานซานที่เคยสงบเงียบพลันคึกคักขึ้นมาราวกับตลาด
เห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น เมิ่งเสวี่ยหลี่ก็คิดในใจ หรือมีคนเอาเงินทองมาโปรยเล่น
ผู้รับใช้หนุ่มเองก็ไม่เข้าใจ เขาขวางศิษย์คนหนึ่งไว้แล้วเอ่ยปากถามสองประโยคก่อนจะกลับมารายงาน
“เมื่อหลายวันก่อน พวกศิษย์พี่สามลงจากยอดเขาจ้งปี้ไปรับศิษย์ พวกเขาพาศิษย์น้องคนหนึ่งกลับมา เป็นร่างสถิตวิญญาณกระบี่แต่กำเนิด ว่ากันว่าหน้าตาหล่อเหลาไม่เบา นับแต่ศิษย์น้องคนนั้นเข้าเขามา สานุศิษย์ในวิหารถกสัจธรรมก็ต่างตั้งตารอเขามาเข้าร่วมเรียน ในที่สุดก็มาแล้ว” ผู้รับใช้หนุ่มพยักพเยิดหน้าไปทางฝูงชน “ทุกคนต่างเฮโลไปที่นั่นกันหมดแล้ว” ศิษย์นอกเหล่านี้ต่างอายุยังน้อยเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา อยากรู้อยากเห็น
เมิ่งเสวี่ยหลี่พยักหน้า
ผู้รับใช้เองก็อยากไปดูด้วยเช่นกัน แต่กลับเห็นเมิ่งเสวี่ยหลี่ไม่มีทีท่านึกสนใจแม้แต่น้อย จึงเอ่ยว่า “อาวุโสเมิ่งคงไม่รู้ คนผู้นั้นจัดว่าเป็นคนที่ยากจะพบพานได้ในช่วงร้อยพันปี มีพรสวรรค์เช่นเดียวกับจี้เซียวเจินเหริน ข้าไปดูเป็นเพื่อนท่านดีหรือไม่”
เมิ่งเสวี่ยหลี่แอบยิ้ม เฉกเดียวกับจี้เซียวอย่างนั้นหรือ
เป็นไปได้อย่างไร
“ไม่ล่ะ”
โปรดติดตามตอนต่อไป…