บทที่ 12 กินเมล็ดสนหรือไม่
อวี๋ฉี่ซูหันหน้ากลับไป ไม่พูดอะไรกับเขาอีก
ตลอดทั้งวันแม้เมิ่งเสวี่ยหลี่จะไม่ได้มีโอกาสเห็นหน้าค่าตาของศิษย์น้องที่มาใหม่รายนั้น แต่เขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายชื่อเซียวถิงอวิ๋น สุขภาพมิสู้แข็งแรง ใบหน้าไม่ธรรมดา มิค่อยพูดจา
หากมิใช่เพราะอีกฝ่ายเบี่ยงเบนความสนใจของทุกคนไป วันนี้ผู้ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ย่อมไม่แคล้วเป็นคู่ร่วมบำเพ็ญของจี้เซียวที่มาเข้าเรียนวิชาพื้นฐานอย่างเขาแน่
เหล่าสานุศิษย์ในวิหารถกสัจธรรมล้วนมีชาติกำเนิดแตกต่าง บ้างก็มาจากตระกูลผู้บำเพ็ญพรตเหมือนอย่างอวี๋ฉี่ซูที่ขนานนามตัวเองยาวยืด บ้างก็มาจากชนบทไม่เคยเข้าสำนักศึกษา ไม่รู้จักหนังสือ
ในป่าสนห้องเรียนหกห้องเรียงรายต่อกันเป็นแถวหน้ากระดาน เมิ่งเสวี่ยหลี่อยู่ห้องหนึ่ง ส่วนศิษย์น้องเซียวนั้นถูกแยกอยู่ห้องสี่
“ข้าว่าอีกไม่นานเขาก็จะถูกย้ายมาเรียนร่วมกับพวกเรา” นักเรียนห้องหนึ่งกล่าว
สำหรับเมิ่งเสวี่ยหลี่แล้วการเข้าเรียนนับเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ เขาอ่านตำราเขียนหนังสืออยู่กับพวกเด็กหนุ่ม ฟังอาวุโสผู้สอนอธิบายคัมภีร์เต๋า รวมถึงลุกขึ้นตอบคำถาม
หลังการสอนเสร็จสิ้นก็มาถึงขั้นตอนตอบคำถาม ซึ่งเป็นช่วงที่ทุกคนเฝ้ารอที่สุด ขณะเดียวกันก็เป็นช่วงเวลาที่น่ากลัวที่สุดด้วยเช่นกัน
อาวุโสผู้สอนนั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย เขาช้อนตาขึ้นช้าๆ “ถามมา!”
ห้องเรียนเงียบสงัดไปชั่วขณะ จู่ๆ คนคนหนึ่งก็ลุกขึ้นยืนแสดงคารวะ “ท่านอาจารย์ ตอนข้านั่งสมาธิ รู้สึกว่าตัวเองเหมือนกำลังลอยอยู่บนฟ้า เหาะข้ามสำนักหานซานไปอยู่เหนือทะเลหนานไห่ เช่นนี้หมายความว่าข้าบรรลุมรรคาแล้วใช่หรือไม่”
อาวุโสผู้สอนสบถ “เหลวไหล เจ้าตกเข้าสู่บ่วงอาสวะแล้ว! ภาพฝันลวงหลอกใจคน รีบตื่นให้ไว!”
ขณะที่ศิษย์คนนั้นนั่งลงด้วยความขัดเขินก็มีคนอีกคนลุกขึ้นยืน “ท่านอาจารย์ ทุกครั้งตอนนั่งสมาธิ ข้าสงบนิ่งได้ไม่เกินหนึ่งเค่อก็รู้สึกว่าทั่วร่างร้อนรุ่มเกินทน ต้องทำเช่นไรถึงจะนั่งสมาธิได้ตลอดทั้งคืนเช่นผู้อื่น”
อาวุโสผู้สอนตวาด “คิดอ่านฟุ้งซ่าน จิตใดเลยจะสงบได้! คืนนี้ไปคัด ‘คัมภีร์สำนึกถูกผิด’ มายี่สิบจบ!”
เสียงรับปากดังขึ้นติดๆ
คำถามมากมายจำพวกต้องทำเช่นไรถึงจะสามารถรับรู้ถึงไอทิพย์ที่ลอยคล้อยเคลื่อนอยู่ยังแดนมนุษย์ได้ ต้องทำเช่นไรถึงจะนั่งสมาธิยาวนานจนเข้าสู่ภาวะสงบนิ่งได้ล้วนแต่เป็นเรื่องน่าปวดหัวสำหรับเหล่าสานุศิษย์ห้องหนึ่งในเวลานี้ที่สุด
ไม่ว่าเรื่องใดเริ่มต้นล้วนยากลำบาก การบำเพ็ญเพียรก็เช่นกัน นับแต่ดึงปราณเข้าร่างจนถึงช่วงฝึกปราณขั้นหนึ่ง ทุกคนทำได้ก็แต่เพียงสำรวจทดลองดู
“ศิษย์ใคร่ขอถาม หลังไอทิพย์เข้าสู่ร่างจนเต็ม กลายเป็นพลังปราณครอบคลุมทั่วร่าง ความรู้สึกในยามนั้นแท้จริงแล้วเป็นเช่นไร”
อาวุโสผู้สอนลังเล ผ่านมานานถึงเจ็ดสิบปี ความรู้สึกลุ่มลึกเช่นนั้นเขาลืมมันไปนานแล้ว
“วันนี้ยังมีใครมีคำถามอีกหรือไม่”
สานุศิษย์แต่ละคนต่างมองหน้ากันไปมา ไม่มีใครตอบ
“ดูท่าคงไม่มีแล้ว” อาวุโสผู้สอนเคลื่อนสายตามาหยุดอยู่ที่เมิ่งเสวี่ยหลี่ ท่าทางอบอุ่นอ่อนโยนเล็กน้อย “อาวุโสเมิ่ง ท่านยินดีอธิบายคำถามสุดท้ายนั่นหรือไม่”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ขานตอบ “ได้ขอรับ ท่านอาจารย์”
อาวุโสผู้สอนพยักหน้าพึงพอใจ สามปีก่อนเมิ่งเสวี่ยหลี่ดึงปราณเข้าร่าง ยามนี้ฝึกปราณสมบูรณ์พร้อมเหมาะที่จะพูดเรื่องความรู้สึกกับสานุศิษย์เหล่านี้ที่สุด
เมิ่งเสวี่ยหลี่อธิบาย “หลังไอทิพย์เข้าร่างจนเต็ม ความรู้สึกจะเหมือนไอหมอกยามเช้าลอยละล่องอยู่กลางป่า ตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า ไอหมอกกลายเป็นน้ำค้างบนใบหญ้า เฉกเช่นไอทิพย์ควบแน่นกลายเป็นพลังปราณ”
อาวุโสผู้สอนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มพยักหน้า “เหมาะแล้ว” พูดจบเขาก็ก้าวเท้าเดินออกจากห้องเรียนไป “เลิกได้”
เหล่าสานุศิษย์ที่อยู่ในห้องกลับไม่มีใครเดินตามออกไป เด็กหนุ่มที่เป็นคนตั้งคำถามเอ่ยปากร้อนรน “ไอทิพย์เหมือนไอหมอกที่ไม่อาจจับต้อง พลังปราณกลับเหมือนน้ำที่มีรูปร่าง?”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ตอบ “ประมาณนั้น พลังปราณไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือด เหมือนกระแสธารไหลเซาะทางน้ำ”
สานุศิษย์ทุกคนต่างคล้ายเข้าใจอะไรได้บางอย่าง
เมิ่งเสวี่ยหลี่พูดต่อ “เข้าสู่ภาวะสงบนิ่งก็คล้ายกับตอนกำลังจะตื่นจากฝัน รับรู้ถึงโลกภายนอกได้รางๆ แต่กลับบอกตัวเองว่าฟ้ายังไม่สว่าง ขอนอนต่ออีกสักครู่”
ศิษย์ที่ถูกสั่งให้คัดคัมภีร์เต๋ายี่สิบจบพูดด้วยความลิงโลดยินดี “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ คืนนี้ข้าจะกลับไปลองดู”
เห็นเมิ่งเสวี่ยหลี่ท่าทางอบอุ่นอ่อนโยนเช่นนั้น จากที่หวาดกลัวอาวุโสผู้สอนจนไม่กล้าถามคำถาม ยามนี้พวกเขากลับพากันขอคำชี้แนะจากเมิ่งเสวี่ยหลี่
คำถามใดหากเมิ่งเสวี่ยหลี่รู้ก็ล้วนตอบทุกคำถาม
อวี๋ฉี่ซูในอาภรณ์ผ้าดิ้นอ้าปากคล้ายมีอะไรอยากจะถามเช่นกัน แต่สุดท้ายกลับทำเพียงเดินจากไปเงียบๆ