everY
ทดลองอ่าน กระบี่คู่หานซาน เล่มที่ 1 บทที่ 12 #นิยายวาย
เช้าวันที่สอง เมิ่งเสวี่ยหลี่เข้าป่าสนเพียงลำพัง มุ่งหน้าตรงไปยังวิหารถกสัจธรรม
ไม่รู้เด็กหนุ่มในอาภรณ์ผ้าดิ้นมายืนอยู่ข้างทางเดินเล็กๆ ที่ปูลาดด้วยหินสีขาวนานเท่าใดแล้ว นอกเสื้อคลุมหรูหรางดงามเปียกชื้นด้วยไอหมอกหนาวเหน็บ ตาปรือคล้ายง่วงนอน
ที่แท้ก็อวี๋ฉี่ซู
เมิ่งเสวี่ยหลี่ยิ้ม “เจ้ารอข้าอยู่งั้นหรือ”
อวี๋ฉี่ซูพยักหน้าคล้ายมีเรื่องกลัดกลุ้ม แต่ไม่ว่าเช่นไรเขาก็ไม่ยอมปริปาก ทำเพียงเดินขึ้นหน้าไปพร้อมกับเมิ่งเสวี่ยหลี่เงียบๆ
ใกล้ถึงวิหารถกสัจธรรม ชายคาสีดำปรากฏให้เห็นอยู่รางๆ หลังพุ่มสน ในที่สุดอวี๋ฉี่ซูก็พูดออกมา “เจ้าไม่เหมือนกับที่ข้าคิด”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ล้วงเอาเมล็ดสนถุงเล็กๆ ออกมาถุงหนึ่ง กินพลางฟังพลาง “ไม่เหมือนตรงที่ใด”
“ชื่อเสียงของเจ้าในโลกผู้บำเพ็ญพรตนอกเขาหานซานแย่เสียยิ่งกว่าแย่ พวกเขาล้วนบอกว่าเจ้า…” ต่อหน้าเมิ่งเสวี่ยหลี่เช่นนี้ เขาไหนเลยจะพูดออก “เอาเป็นว่าเขาว่าเจ้าไม่ดีก็แล้วกัน”
ก่อนหน้านี้แม้เขาจะไม่เคยพูดออกมา แต่ก็เชื่ออยู่ลึกๆ
เมิ่งเสวี่ยหลี่เอ่ยขึ้น “ความชมชอบพื้นๆ ธรรมดา หยิ่งทะนงถือตนว่าเป็นที่เอ็นดู ใช้มารยาล่อลวงใจคน ไม่มีคุณธรรมความประพฤติไม่คู่ควร?”
“ยังมีแย่กว่านั้นอีก”
“อืม ข้ารู้”
อวี๋ฉี่ซูรู้สึกผิดคาด “เจ้าไม่โกรธ?”
“โกรธอะไร ข้าพำนักอยู่บนยอดเขาฉางชุน มีกินมีดื่มไม่ต้องทำงาน” เมิ่งเสวี่ยหลี่พูดอย่างไม่ใส่ใจ “เช่นนั้นก็นับว่าได้รับประโยชน์ใหญ่หลวงแล้ว ปล่อยให้ผู้อื่นได้พูดบ้างสักสองสามประโยคจะเป็นไรไป”
อวี๋ฉี่ซูคิด หรือว่าทุกวันตื่นนอนขึ้นมาแค่บอกกับตัวเองว่า ‘คู่ร่วมบำเพ็ญของข้าคือจี้เซียว’ เท่านั้นก็สามารถลืมเรื่องกลัดกลุ้มทั้งมวลได้แล้ว?
หากคนที่ถูกชาวบ้านนับพันหมื่นเฝ้าเหยียดหยามดูแคลนเป็นตัวเอง เขาคงไม่มีทางวางตัวงามสง่าเช่นนี้ได้ เกรงว่าทุกวันคงได้แต่กลัดกลุ้มเป็นทุกข์ เฝ้าคิดหาวิธีพิสูจน์ตนเอง
เมิ่งเสวี่ยหลี่แบมือ “กินเมล็ดสนหรือไม่”
เขาไม่คุ้นเคยกับการกินอาหารตามลำพังแล้วปล่อยให้คนอื่นจ้องมอง ดังนั้นทุกครั้งเวลานักพรตน้อยมารายงานข่าวให้เขาฟัง เขาจึงมักถามประโยคนี้อยู่เสมอ
ทว่าในสายตาของเด็กหนุ่มอย่างอวี๋ฉี่ซู นี่คือการแสดงน้ำใจ เป็นการสื่อสารให้รู้ถึงความต้องการเป็นสหาย
เด็กหนุ่มในอาภรณ์ผ้าดิ้นนิ่งเงียบ สีหน้าซับซ้อนหลากหลาย สุดท้ายเขาก็พูดอย่างจริงจัง “กิน!”
ชื่อเสียงเรื่องความสามารถในการไขข้อข้องใจของเมิ่งเสวี่ยหลี่ขจรขจายออกไป สานุศิษย์ในห้องเรียนข้างๆ เองก็เริ่มมาขอคำชี้แนะจากเขา
จากผู้อาวุโสไม่เอาไหน จู่ๆ ก็กลายเป็นนักเรียนชั้นยอดคนหนึ่ง
“อาวุโสเมิ่ง ข้าเอาผลไม้เชื่อมมาให้ท่าน”
“อาวุโสเมิ่ง ข้าวานให้คนซื้อเมล็ดแตงเคล้ามันปูจากตลาดที่เชิงเขามาให้!”
เพื่อแสดงน้ำใจ สานุศิษย์ทั้งหลายจึงมักส่งขนมของขบเคี้ยวต่างๆ นานามาให้เขา บ้างก็ใส่ไว้ในถุงผ้าดิ้นเล็กๆ บ้างก็ใช้กระดาษไขห่อ
ชีวิตบนวิถีของการเรียนรู้ของเมิ่งเสวี่ยหลี่นับว่าน่าอภิรมย์ยิ่ง
เขานั่งอยู่ในห้องเรียนพลางครุ่นคิด ผู้บำเพ็ญพรตในแต่ละช่วงล้วนมีการเสาะแสวงหาแตกต่างกันไป
แรกย่างเข้าสู่ประตูเซียน ผู้บำเพ็ญพรตทั้งหลายต่างรีบเร่งยกระดับความสามารถ เรียนรู้ทักษะเอาตัวรอดสองสามอย่างถึงจะสามารถหลีกเลี่ยงการถูกผู้อื่นรังแกได้ ทว่าพออายุมากขึ้น สภาวะของการฝึกฝนไต่ขึ้นไปถึงระดับคอขวด ครั้นเห็นว่าโอกาสบรรลุหมดหวังก็จะหันกลับมารับสานุศิษย์รุ่นหลังหมายให้สืบทอดทักษะความสามารถต่อ
แม้นโชคดีบรรลุเป็นผู้เข้มแข็งได้ก็ย่อมสามารถปกป้องแบกรับสำนัก สร้างความผาสุกให้กับผู้คนหมื่นพัน
หากเป็นเหมือนจี้เซียวที่ยากพบพานคู่ต่อกร เช่นนั้นการเสาะแสวงหาในชีวิตนี้ก็คงเหลือเพียงประการเดียวเท่านั้น…บรรลุมรรคาขึ้นสู่แดนเซียน
ชนเผ่าอสูรบำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ก็เช่นนี้ นับแต่แรกกำเนิดสติปัญญา จนกระทั่งมีญาณอสูร หลังจากนั้นก็เอาชนะอสูรร้ายกาจจนกลายเป็นจอมอสูรของแม่น้ำภูเขาที่ใดที่หนึ่ง
แต่ก่อนสิ่งที่เมิ่งเสวี่ยหลี่เสาะแสวงหาคือควบรวมแดนอสูรเป็นหนึ่ง ตั้งตนเป็นจอมอสูร ยามนี้เขากลายเป็นมนุษย์แล้วจึงได้แต่เริ่มเรียนรู้ฝึกพลังศักยะตั้งแต่พื้นฐาน จึงไม่ต้องแปลกใจที่เชวี่ยเซียนหมิงจะหัวเราะเยาะเขาว่ายิ่งมีชีวิตก็ยิ่งถดถอย
เมิ่งเสวี่ยหลี่คิด หากให้จี้เซียวบำเพ็ญเพียรใหม่ตั้งแต่แรก ไม่รู้ว่าเขาจะบันทึกอะไรไว้ เพราะโลกทัศน์ สภาวะแห่งจิตใจ การตระหนักรู้ในมรรคาล้วนมิจางหาย
วิหารถกสัจธรรมจัดว่าดียิ่ง มีเพียงเรื่องเดียวที่เขารู้สึกไม่สบายใจนัก
“สมแล้วที่เป็นร่างสถิตวิญญาณกระบี่แต่กำเนิด มีพรสวรรค์ในการตระหนักรู้ถึงมรรคาไม่ต่างอันใดกับจี้เซียวเจินเหริน…”
ทุกครั้งที่ศิษย์น้องเซียวผู้นั้นได้รับคำยกย่องชื่นชมจากผู้อาวุโสคนใดสักคน เสียงชื่นชมไม่แคล้วต้องเลื่องลือไปทั่ววิหารถกสัจธรรม เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนเหล่านั้นมักมีคำว่า ‘ไม่ต่างอันใดกับจี้เซียวเจินเหริน’ อยู่ตลอด
เมิ่งเสวี่ยหลี่มิใคร่ยินดีฟัง
ราวกับจี้เซียวได้กลายเป็นอดีต ภายหน้าไม่ว่าใครก็สามารถขึ้นมาเทียบเขาได้
ท่าทีของอวี๋ฉี่ซูเดือดดาลรุนแรงยิ่งกว่า
เขาถือ ‘การปกป้องชื่อเสียงจี้เซียวเจินเหริน ต่อต้านการนำเอาศิษย์น้องเซียวมาเทียบเคียงกับอริยกระบี่’ เป็นเป้าหมาย ตั้งพรรคยงจี้ตั่ง แต่งตั้งตนเป็นหัวหน้าพรรค
เมิ่งเสวี่ยหลี่แอบนึกขัน ช่างโง่งมยิ่งนัก ทำตัวไม่ต่างอันใดกับโจรกระจอกนอกทำเนียบที่เพิ่งออกสู่ยุทธภพ เรียกขานตัวเองว่าปีศาจหน้าดำหน้าขาว กลุ่มอะไรสักอย่างก็ไม่ปาน
เขารีบส่ายหน้า อวี๋ฉี่ซูกลับเข้าใจผิด “ได้ๆ หัวหน้าพรรคยกให้เจ้าเป็น!”
บังเอิญสานุศิษย์กลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาผ่านข้างโต๊ะพวกเขาไป หนึ่งในนั้นพูดอย่างยินดี
“อาวุโสเมิ่งท่านรู้หรือไม่ ศิษย์น้องเซียวดึงปราณเข้าร่างแล้ว นับตั้งแต่พรุ่งนี้จะมาเรียนร่วมห้องกับพวกเรา!”
“บำเพ็ญเพียรได้รวดเร็วร้ายกาจเช่นนี้ เทียบกับจี้เซียวเจินเหรินในเวลานั้น…”
ยังไม่ทันพูดจบ เมิ่งเสวี่ยหลี่ก็หันไปบอกกับอวี๋ฉี่ซู “ตกลง ข้าเป็น!”
ด้วยเหตุนี้ ‘พรรคยงจี้ตั่ง’ จึงถือกำเนิดขึ้นเงียบๆ โดยมีสมาชิกแค่เพียงสองคน…อวี๋ฉี่ซูที่ชอบเบ้ปากเป็นนิสัยกับเมิ่งเสวี่ยหลี่ที่ดูคล้ายอบอุ่นน่าเอ็นดู
กิจกรรมภายในพรรคก็มีอยู่แค่เรื่องเดียวคือยามคนอื่นพูดถึงศิษย์น้องเซียว พวกเขาสองคนก็จะสบตากัน เผยรอยยิ้มแปลกประหลาดที่ต่างฝ่ายต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ
โปรดติดตามตอนต่อไป…