บทที่ 14 เปลวไฟร้อนระอุ
หานซานทอดตัวยาวเหยียดหมื่นหลี่ไปทางทิศใต้
ท้องฟ้ายามราตรีไม่ต่างอันใดกับหมึกสาด ไร้ดวงดาราไร้แสงจันทร์ ท่ามกลางเทือกเขาโอบล้อม ทะเลสาบกว้างใหญ่ดูราวกับบ่อน้ำขนาดยักษ์มืดดำลึกไม่เห็นก้น
ทะเลสาบแห่งนี้ชื่อ ‘ทะเลสาบจันทร์กระจ่าง’ ไม่ว่าที่นี่จะเมฆหมอกหนาหนักเพียงใด ในหนึ่งปีจะมีอยู่ครึ่งปีที่ผิวน้ำมืดมิดไร้แสงจันทร์
จันทร์กระจ่างเป็นชื่อกระบี่เล่มหนึ่ง
กระบี่ออกจากฝักเปล่งประกายดั่งแสงจันทร์ เปลี่ยนคืนค่ำประหนึ่งกลางวัน สั่นสะท้านทั่วทุกสารทิศ
ผู้เป็นเจ้าของกระบี่คืออวิ๋นซวีจื่อ เจ้าสำนักหมิงเยวี่ยหูซึ่งยามนี้กำลังนั่งต้มชาอยู่ที่ศาลากลางทะเลสาบ
ไฟแรงไม่ถึง น้ำเย็นยังไม่เดือด บนสะพานไม้ไผ่เหนือทะเลสาบมีคนผู้หนึ่งเดินอยู่
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลายืนแสดงคารวะอยู่นอกศาลา “ยินดีกับท่านอาจารย์ที่สิ้นสุดการกักตน”
อวิ๋นซวีจื่อพยักหน้าน้อยๆ “เข้ามา”
เด็กหนุ่มเดินเข้าไปในศาลา ที่แท้เขาคือจิงตี๋ศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักหมิงเยวี่ยหู เขายามนี้ควบคุมตนได้ดีไม่ต่างอันใดกับกระบี่ซ่อนคม ต่างกับตอนยั่วโมโหผู้บำเพ็ญพรตหานซานในร้านอาหารราวกับคนละคน
อวิ๋นซวีจื่อเองก็หาใช่เจ้าสำนักที่มีท่วงท่าน่าเกรงขามอีกไม่ หากเปลี่ยนเป็นอาจารย์ผู้เปี่ยมเมตตา “การเดินทางของเจ้าในครั้งนี้ มีอันใดก้าวหน้าบ้างหรือไม่”
จิงตี๋ตอบคำถาม สุดท้ายก็พูดขึ้น “ศิษย์ได้เจอเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ว่ากันว่าเป็นร่างสถิตวิญญาณกระบี่แต่กำเนิด น่าเสียดายที่เขามีใจให้หานซาน ตอนศิษย์เดินทางกลับมา ชื่อเสียงของเขาขจรขจายไปทั่วแล้ว”
น้ำในกาเริ่มเดือด พรายฟองเล็กๆ ส่งเสียงดังปุดๆ อวิ๋นซวีจื่อใส่ใบชาลงไปในน้ำ อารมณ์คึกคัก “อืม เช่นไร”
“คนจากหานซานเรียกเขาว่าผู้สืบทอดจี้เซียวเจินเหริน”
รอยยิ้มของอวิ๋นซวีจื่อจางหาย “เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้มีค่าให้เจ้าใส่ใจกระนั้นหรือ”
จิงตี๋ก้มหน้าไม่พูดไม่จา ในศาลาพลันมีแต่ความเงียบงัน
น้ำชาเดือด อวิ๋นซวีจื่อกล่าวขึ้น “อาจารย์รู้ดีว่าเจ้าหุนหันพลันแล่นจึงไม่สู้จะบังคับอะไรเจ้านัก เรื่องเหลวไหลที่เจ้าทำข้างนอก ข้าไม่อยากนึกสนใจ ยามนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญ การประลองแดนสนธยาฮั่นไห่เจ้ามีความมั่นใจกี่ส่วน”
จิงตี๋พูดอย่างทระนงองอาจ “แปดส่วนขอรับ”
“ไม่พอ!” อวิ๋นซวีจื่อน้ำเสียงขึงขัง “ก่อนแดนสนธยาฮั่นไห่จะเปิด ห้ามเจ้าลงเขาอีกเด็ดขาด!”
จิงตี๋หมอบลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว “ศิษย์จะพยายามอย่างสุดความสามารถ เอากระบี่อุษาไร้เขตขัณฑ์มามอบแก่อาจารย์ให้จงได้”
อวิ๋นซวีจื่อต้มชาต่อ “ไปได้แล้ว”
เด็กหนุ่มถอยออกจากศาลา มุ่งหน้าตรงไปที่สะพานไม้ไผ่คดโค้งเหนือผิวน้ำ เงาร่างค่อยๆ ถูกหมอกยามราตรีกลืนหายไปจนสิ้น
เตาไฟมอดดับ อวิ๋นซวีจื่อรินชาสองถ้วย สีชากำลังพอดี
มีคนพูดขึ้น “น้ำเก่าเกินไป”
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด ที่นั่งซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอวิ๋นซวีจื่อปรากฏคนผู้หนึ่งนั่งดื่มชาอยู่
บางทีเขาอาจอยู่ที่นั่นมาโดยตลอด หรือไม่ก็อาจเพิ่งมาถึง ทว่าสภาวะของจิงตี๋กลับไม่อาจรับรู้ถึงลมหายใจของคนผู้นี้เลยแม้แต่น้อย
อวิ๋นซวีจื่อถาม “อาจารย์อาคิดว่าเด็กคนนี้เป็นเช่นไร”
คนผู้นั้นนั่งอยู่ตรงจุดที่แสงเทียนส่องไปไม่ถึง เขาวางถ้วยชาลง “สามารถเป็นทหารแนวหน้าได้ แต่ยากจะรับภาระสำคัญ การประลองแดนสนธยาฮั่นไห่ข้าได้เตรียมการอีกอย่างไว้แล้ว”
อวิ๋นซวีจื่อกล่าว “ทุกสิ่งแล้วแต่อาจารย์อาจะสั่งการ ทว่าข้ามีเรื่องหนึ่งที่ไม่เข้าใจ จี้เซียวตายไปไม่นาน หานซานก็ได้ร่างสถิตวิญญาณกระบี่แต่กำเนิดเข้ามาแทนที่ โลกนี้มีเรื่องบังเอิญเช่นนี้จริงหรือ”
คนผู้นั้นยิ้ม “เป็นร่างสถิตวิญญาณกระบี่แต่กำเนิดหรือเป็นวิบากกรรมสำคัญด้วยกระนั้นหรือ”
ไม่รู้เพราะเหตุใดอวิ๋นซวีจื่อถึงราวกับยกภูเขาออกจากอก “ดูท่าจี้เซียวเจินเหรินคงตายไปแล้วจริงๆ หานซานถึงได้คิดวิธีเช่นนี้ออกมา”
หากจี้เซียวบาดเจ็บสาหัสแต่ไม่ตาย เช่นนั้นเขาย่อมต้องพยายามปิดบังร่องรอยอย่างสุดความสามารถ แอบฟื้นฟูเพียรบำเพ็ญอย่างลับๆ ตกอยู่ในสภาพอ่อนแอเช่นนั้น เขาไหนเลยจะกล้าปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน
หากหานซานรู้ข่าวของจี้เซียว พวกเขาย่อมต้องเปิดค่ายเวทคุ้มกัน ผนึกภูผาหลีกเร้น ตรึงกำลังตั้งค่ายแน่นหนา นิ่งเงียบไร้ข่าวคราว
ทว่ายามนี้เหลือก็แค่เพียงฤทธานุภาพของจี้เซียวที่จำเป็นต่อหานซานเท่านั้น
ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายสุดท้ายย่อมถูกลืมเลือน ดาวดวงใหม่ค่อยๆ ปรากฏ แน่นอน สำหรับสำนักกระบี่หานซานแล้ว วิถีขั้นตอนนี้ยิ่งช้าก็ยิ่งดี
เริ่มจากป่าวประกาศเล่นลูกไม้สร้างชื่อให้เด็กหนุ่มเป็นผู้สืบทอดของจี้เซียว ให้ผู้คนทั่วหล้ายังคงเชื่อมั่นในอนาคตของหานซาน
แม้นี่จะมิใช่วิธีการสูงส่งอันใด ทว่าก็นับได้ว่าไม่เลว
“แน่นอนว่าตายแล้ว หนึ่งร้อยยี่สิบปี…หากเขายังไม่ตาย เช่นนั้นก็ไร้เหตุผลยิ่งแล้ว”
สังหารอริยกระบี่ผู้ได้ชื่อว่าแดนมนุษย์ไร้พ่ายได้เช่นไร
จำต้องมีเวลาและความอดทนมากพอ วางแผนดำเนินการทุกย่างก้าวอย่างระมัดระวัง จงใจเล่นงานผู้มีเจตนาป้องกัน ถึงจะบรรลุเรื่องที่คล้ายไม่อาจเป็นไปได้นี้
ท่ามกลางผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกผู้บำเพ็ญพรต เพียงเพื่อจังหวะรุกฆาตนี้ เขารอมันมานานถึงร้อยยี่สิบปี
โชคดีที่ผู้บำเพ็ญพรตล้วนมีชีวิตยืนยาว ยิ่งมีชีวิตยืนนานเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งครุ่นคิดรอบคอบซับซ้อน
หลังดื่มชาเสร็จ คนผู้นั้นก็ทอดตาดูฟ้ายามรัตติกาลอันกว้างไกล คิดถึงวันเวลาในอดีต ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกหดหู่
“จี้เซียวมิตาย มีคนยากรู้แจ้ง มีคนมิอาจข่มตาหลับ”