everY
ทดลองอ่าน กระบี่คู่หานซาน เล่มที่ 1 บทที่ 14 #นิยายวาย
พลบค่ำโคมไฟของหอเก็บคัมภีร์สำนักกระบี่หานซานสุกสว่าง
ขอเพียงใกล้ถึงยามไฮ่ หากอาวุโสเมิ่งยังไม่กลับถึงยอดเขาฉางชุน นักพรตน้อยก็จะมาหาเขาที่หอเก็บคัมภีร์
ครั้งแรกเมิ่งเสวี่ยหลี่บอก ‘ข้าจำทางได้ ตอนค่ำไม่ต้องมารับ’
หลิวเสี่ยวไหวตอบรับอย่างนอบน้อม หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็กระซิบถาม ‘อาวุโสเมิ่ง ท่านต้องการเลือกนักพรตน้อยคนอื่นใช่หรือไม่’
นักพรตน้อยที่ทำงานจิปาถะอย่างส่งข้าวพรมน้ำกวาดลานอย่างเขาเรียกว่าเด็กพรมน้ำกวาดลาน ส่วนนักพรตน้อยอีกจำพวกที่สามารถติดตามผู้อาวุโสเดินทางออกไปข้างนอกได้เรียกว่าเด็กถือกระบี่ ถึงแม้จะเป็นนักพรตน้อยเหมือนกัน แต่ก็เห็นได้ชัดว่าฝ่ายหลังมีหน้ามีตากว่า
เมิ่งเสวี่ยหลี่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ เห็นก็แต่นักพรตน้อยท่าทางเหมือนน้อยอกน้อยใจ จึงอนุญาตให้เขามาได้ ดังนั้นนักพรตน้อยของผู้อาวุโสคนอื่นๆ ถือกระบี่ ส่วนนักพรตน้อยของเขากลับถือหนังสือ กลายเป็นหนึ่งในทัศนียภาพของหานซาน
หอเก็บคัมภีร์ไม่เพียงมีคัมภีร์เต๋าและเคล็ดกระบี่ หากแต่ยังมีบันทึก จารึกเดินทาง อัตชีวประวัติที่ผู้อาวุโสแห่งหานซานคนก่อนๆ เขียนไว้ให้เหล่าสานุศิษย์ได้ค้นคว้าประกอบการพิจารณาอย่างถ่องแท้ลึกซึ้ง
ครั้งแรกที่เมิ่งเสวี่ยหลี่มา เขาคิดค้นหาดูว่าจี้เซียวได้ทิ้งอะไรไว้บ้างหรือไม่ แต่กลับถูกผู้รับใช้ในหอเก็บคัมภีร์เอ่ยปากแสดงความเสียใจ ‘เจินเหรินมิเคยเขียนหนังสือ’
ที่นี่แบ่งได้ทั้งหมดเก้าชั้น การตกแต่งแต่ละชั้นล้วนคล้ายคลึงกัน ชั้นวางหนังสือสูงใหญ่แต่ละชั้นอยู่ห่างจากกันประมาณหกจั้ง กว้างพอให้คนจำนวนมากเดินสวนกันไปมาโดยสะดวก ใต้หน้าต่างอีกด้านมีโต๊ะหนังสือตั้งวางไว้เป็นจำนวนมากให้สานุศิษย์ที่ขยันหมั่นเพียรจุดโคมอ่านตำราได้ในยามค่ำคืน
เมิ่งเสวี่ยหลี่ชอบมาที่นี่ตอนกลางคืน เทียนทั่วทั้งหอถูกจุด เปลวไฟวูบไหว เชิงเทียนสลักลายพวกนั้นยื่นออกมาจากทางด้านบนของชั้นวางหนังสือดูคล้ายดวงดาวเหนือยอดเขาหิมะยามค่ำ ไม่เพียงสว่างไสว หากยังมีอยู่เต็มไปหมด
ท้องฟ้ามืดมิด สานุศิษย์ที่อยู่ภายในหอเก็บคัมภีร์เริ่มน้อยลงทุกที เมิ่งเสวี่ยหลี่ปิดม้วนหนังสือ เดินมุ่งหน้าไปยังชั้นหนังสือ ตัดสินใจเปลี่ยนไปอ่านหนังสือเล่มอื่น
จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบดังมาจากชั้นวางหนังสือที่อยู่ห่างออกไปสองแถว ที่ได้ยินอยู่แว่วๆ ไม่ใช่คำว่า ‘จี้เซียวเจินเหริน’ หากแต่เป็นคำว่า ‘ศิษย์น้องเซียว’ สามคำ เมิ่งเสวี่ยหลี่ชะงักเท้า
ผู้บำเพ็ญพรตประสาททั้งห้าฉับไว เขารับรู้ได้เลาๆ ว่าคนกลุ่มนั้นมีอยู่ด้วยกันหกเจ็ดคน เพียรบำเพ็ญอ่อนด้อย คาดว่าน่าจะเป็นศิษย์นอก
“จะว่าไป พวกเจ้าใครรู้บ้างว่าศิษย์น้องเซียวเป็นคนที่ใด”
“เขาจัดได้ว่าเป็นคนทางตอนใต้ ข้ามเทือกเขาอวิ๋นจงซานไป หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าลงใต้ต่อ”
“ในเมื่อเป็นคนทางตอนใต้ แล้วไยไม่เข้าสำนักหมิงเยวี่ยหูเล่า”
“พวกศิษย์พี่จางมีโชคถึงสามารถชิงตัวเขากลับมาได้ก่อนพวกสำนักหมิงเยวี่ยหู บางทีอาจเพราะหมู่บ้านนั้นอยู่ห่างไกลผู้คนยากจะหาพบ คงได้แต่บอกว่านี่เป็นเพราะโชควาสนาแล้ว”
“หมู่บ้าน? ดูจากกิริยาของศิษย์น้องเซียวแล้ว ข้านึกว่าเขาเกิดในตระกูลขุนนางชั้นสูงเสียอีก ตกลงไม่ใช่หรือ”
“ข้าถามศิษย์พี่หลี่แล้ว เรื่องนี้พวกเจ้าห้ามพูดออกไปเด็ดขาด ว่ากันว่าบิดามารดาของศิษย์น้องเซียวลาโลกไปนานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น…”
ได้ยินถึงตรงนี้สองคิ้วของเมิ่งเสวี่ยหลี่ก็ขมวดเข้าหากัน
เด็กหนุ่มตกทุกข์โดดเดี่ยวลำบากยากแค้นอยู่กลางเขาร้างไร้ผู้คน จู่ๆ ก็ได้กลายเป็นผู้มีพรสวรรค์แห่งสำนักเซียนไม่ต่างอันใดกับหยกกลางกองหินระเกะระกะ เสมือนหนึ่งเทพนิยายควรค่าให้วิพากษ์วิจารณ์
คนที่กำลังพูดคุยกันอยู่เหล่านั้นหาได้มีเจตนาร้ายอันใดไม่ พวกเขาแค่ทำไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เห็นใจในชะตากรรมของอีกฝ่ายก็เท่านั้น ทว่าคนพูดไม่ตั้งใจคนฟังกลับมีเจตนา เมิ่งเสวี่ยหลี่คิด หากศิษย์น้องเซียวผู้นั้นรู้ว่าสหายร่วมเรียนวิพากษ์วิจารณ์ชาติกำเนิดเขาลับหลังเช่นนี้เกรงว่าคงไม่พอใจ
ก็เหมือนที่เขาไม่ชอบฟังคนอื่นเอาคนรุ่นหลังมาเทียบกับจี้เซียว ไม่ว่าคนพูดจะมีเจตนาร้ายหรือไม่ก็ตาม
สานุศิษย์เหล่านั้นยิ่งพูดยิ่งสนุกปาก เมิ่งเสวี่ยหลี่คิดในใจ บนนี้ไม่มีคนอื่นแล้ว ข้าแอบย่องเข้าไป พอใกล้ถึงตัวค่อยตะโกนออกมาดังๆ คราหนึ่ง รับรองว่าพวกเขาต้องตกใจลงไปนอนดิ้นอยู่กับพื้นแน่!
เขาวางม้วนหนังสือลง กลั้นลมหายใจ ค่อยๆ ย่องผ่านชั้นวางหนังสือไปชั้นแล้วชั้นเล่า…ทันใดนั้นก็มีใครบางคนโผล่ออกมาจากมุมมืด สองร่างแทบจะแนบเข้าหากัน!
เมิ่งเสวี่ยหลี่ไม่ทันได้ระวัง เพราะอารามตกใจจึงชักเท้าถอยหลังไปสองก้าว กระแทกเข้ากับมุมชั้นวางหนังสือ ตะเกียงที่แขวนอยู่เหนือหัวสั่นไหวรุนแรง เทียนไขที่กำลังลุกไหม้หล่นลงมาตรงๆ
เดิมเขาควรหลบเลี่ยงอย่างง่ายดาย ทว่าเขากลับหันไปโจมตีผู้ที่มาตามสัญชาตญาณ จังหวะนั้นเขามองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้ชัดแจ้ง
หลังจากนั้นเมิ่งเสวี่ยหลี่ก็ถูกอีกฝ่ายดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมแขน เทียนไขหล่นร่วง ประกายไฟวาดผ่านอยู่กลางความมืด
มือข้างหนึ่งของคนคนนั้นกอดเขาเอาไว้ อีกข้างรับเทียนไข วาดมันผ่านเหนือหัวเขาก่อนจะวางกลับลงบนเชิงเทียนอย่างมั่นคง แสงสว่างรอบๆ กลับกลายเป็นปกติ
“ไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ตะลึงนิ่งอยู่กับที่ จู่ๆ ในใจเขาก็พลันเอ่อท้นไปด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด คล้ายเคยรู้จักอีกฝ่ายมาก่อน หรือโชคชะตาลิขิตไว้ก่อนหน้าแล้วให้พวกเขาต้องรู้จักกัน
ใจของเมิ่งเสวี่ยหลี่เต็มไปด้วยความรู้สึกสับสนซับซ้อน ทั้งอยากร้องไห้ทั้งอยากหัวเราะ บอกไม่ถูกว่าเป็นทุกข์หรือเป็นสุข
คนผู้นั้นเหมือนไม่พอใจที่ถูกเขาชน แม้จะถอยไปสองก้าวแต่กลับไม่ยอมปล่อยมือ “นี่คือตะเกียงฉางหมิงที่จุดขึ้นจากน้ำมันปลาฉลาม พันปีไม่รู้ดับ เปลวไฟระอุร้อน”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ได้ยินไม่ถนัด ครั้นเงยหน้าเห็นแสงไฟส่องสะท้อนอยู่ในดวงตาของอีกฝ่าย โลกทั้งใบก็เหมือนจะเหลือเพียงดวงตาคู่นั้น
ห่างออกไปไม่ไกล เสียงตะคอกของใครบางคนก็ดังขึ้น “ห้ามทำตัวไร้มารยาท! คนผู้นั้นคืออาวุโสเมิ่งแห่งยอดเขาฉางชุน!”
ตอนหลิวเสี่ยวไหวขึ้นมา เขาก็พบศิษย์นอกกลุ่มหนึ่งกำลังเดินลุกลี้ลุกลนออกนอกประตูไป พอวิ่งเข้ามาใกล้เขาก็เห็นเมิ่งเสวี่ยหลี่น้ำตาคลอเบ้า ข้อมือถูกคนกุมแน่นไม่อาจขัดขืน
เขารวบรวมความกล้าบอกกับอีกฝ่ายเหมือนยามพูดคุยอยู่กับเชวี่ยเซียนหมิง “รีบปล่อยผู้อาวุโส!”
โปรดติดตามตอนต่อไป…