บทที่ 16 เข้าร่วมกับพวกเรา
อรุณรุ่ง ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า ป่าสนเชิงเขามีก็แต่เสียงแมลงขับขาน เสียงอ่านหนังสือใดๆ ล้วนไม่มี
ภายในห้องเรียนที่ว่างเปล่าร้างผู้คน เมิ่งเสวี่ยหลี่พลิกอ่านคัมภีร์เต๋าอยู่เงียบๆ
ว่ากันตามหลักแล้ว ถึงแม้วันหยุดของวิหารถกสัจธรรมจะไม่มีผู้อาวุโสมาแสดงปาฐกถา แต่การศึกษาตำราเช้าไม่ว่าเช่นไรก็ยังต้องมีอยู่ แต่เพราะเมื่อคืนเหล่าสานุศิษย์เล่นสนุกกันจนถึงยามจื่อ เช้านี้จึงยังคงหลับใหล
ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เคยบ้าระห่ำเช่นนี้ ทว่าสอบใหญ่ปลายปีใกล้จะมาถึงแล้ว ครั้งนี้จึงถือเป็นการผ่อนคลายครั้งสุดท้าย อีกหนึ่งเดือนนับแต่นี้ไปพวกเขาต้องทุ่มเทเตรียมสอบกันอย่างหนักแล้ว
ทุกเช้าเมิ่งเสวี่ยหลี่ล้วนต้องอ่าน ‘ปฐมวิถีแห่งมรรคา’ รอบหนึ่งก่อน จิตใจจึงค่อยๆ สงบจนสามารถอ่านหนังสืออื่นได้
จู่ๆ เขาก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง ครั้นเงยหน้าขึ้นมองเขาก็ต้องเบิกตากว้าง “เหตุใดถึงเป็นเจ้าอีกแล้ว”
เซียวถิงอวิ๋นกำลังหอบม้วนหนังสือปึกหนึ่งผ่านประตูเข้ามา “ตามที่ผู้อาวุโสกล่าวไว้ ศึกษาตำราเช้าเป็นเรื่องที่ไม่อาจละเลย”
เขาเดินตรงไปหยุดอยู่ข้างเมิ่งเสวี่ยหลี่
เมิ่งเสวี่ยหลี่รีบบอก “มีคนแล้ว นี่เป็นที่นั่งของศิษย์พี่อวี๋ของเจ้า!”
จี้เซียวยิ้มถาม “แล้วตรงที่ใดเล่าถึงไม่มีคน” ไม่รู้เพราะเหตุใดคู่ร่วมบำเพ็ญตัวน้อยของเขาถึงไม่สู้เป็นมิตรกับเขานัก
เมิ่งเสวี่ยหลี่หันมองไปรอบๆ พบว่ามีเพียงโต๊ะเก้าอี้ที่ด้านหลังตนเองเท่านั้นที่ยังว่างอยู่ จึงชี้นิ้วไปที่นั่นอย่างไม่ใคร่พอใจนัก
จี้เซียววางกองหนังสือลง เสียงลากเก้าอี้ดังขึ้นจากทางด้านหลัง จู่ๆ สันหลังของเมิ่งเสวี่ยหลี่ก็เสียววาบเหมือนมีคมดาบจ่ออยู่
ยามนี้ผู้รับใช้หนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามา พอเห็นเซียวถิงอวิ๋นเขาก็ยิ้มทักทาย “ที่แท้ท่านก็มาอยู่ที่นี่เอง ข้ากำลังคิดจะพาท่านมารู้จักทางอยู่ทีเดียว นึกไม่ถึงว่าท่านจะมาเองก่อนแล้ว” พูดจบเขาก็หันไปหาเมิ่งเสวี่ยหลี่ เอ่ยว่า “อาวุโสเมิ่ง รบกวนท่านช่วยดูแลชี้แนะเขาด้วย” ผู้รับใช้รู้ดีว่าผู้อาวุโสอายุน้อยผู้นี้มักช่วยไขข้อสงสัยให้สานุศิษย์คนอื่นๆ อยู่เสมอ มีชื่อเสียงบารมีในหมู่สานุศิษย์ทั้งหลายไม่ใช่น้อย
เมิ่งเสวี่ยหลี่พยักหน้า “อืม” ผู้มีพรสวรรค์มักได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ฝ่ายการกิจใส่ใจคนผู้นี้เป็นอันมากจริงๆ
ผู้รับใช้กำชับเซียวถิงอวิ๋นอีกสองประโยคก่อนจะเดินจากไปด้วยท่าทีปลื้มอกปลื้มใจ
บรรยากาศในห้องเรียนเงียบงันลงอีกครา เมิ่งเสวี่ยหลี่ตัดสินใจอ่านหนังสือต่อ แต่กลับได้ยินเสียงกระแอมกระไอออกมาเบาๆ คราหนึ่ง
เด็กหนุ่มกำลังพยายามกดเสียงไว้ เห็นได้ชัดว่าไม่ปรารถนาจะรบกวนผู้อื่น
เมิ่งเสวี่ยหลี่หันกลับไป เห็นใบหน้าซีดเผือดของอีกฝ่ายแดงก่ำไม่แข็งแรง ทว่าสีหน้าดังกล่าวกลับสงบนิ่งคล้ายคุ้นเคยกับการสะกดกลั้นความเจ็บปวด เขาอดนึกหวั่นไหวไม่ได้
“เจ้าป่วยเป็นโรคอะไร เป็นมาตั้งแต่เด็กกระนั้นหรือ”
จี้เซียวยิ้มตอบ “อีกเดี๋ยวก็ไม่เป็นไรแล้ว” ไว้กายกับจิตหลอมรวมเป็นหนึ่งได้เมื่อใด ถึงตอนนั้นอาการเจ็บป่วยย่อมหายไปเอง
เห็นอีกฝ่ายไม่อยากพูดอะไรมาก เมิ่งเสวี่ยหลี่ก็แอบคิด หานซานมีโอสถวิเศษมากมายช่วยรักษา ไหนเลยต้องให้ข้าเป็นห่วง
“เฮ้อ…”
เด็กหนุ่มในอาภรณ์ผ้าดิ้นเดินหาวเข้ามา นั่งเนื้อตัวอ่อนปวกเปียกอยู่ข้างๆ เมิ่งเสวี่ยหลี่ นัยน์ตาเลอะเลือนคล้ายยังอยู่ในภวังค์
เมิ่งเสวี่ยหลี่เอ่ยปากแนะนำ “นี่คือศิษย์พี่ของเจ้า อวี๋ฉี่ซู”
“คารวะศิษย์พี่อวี๋” จี้เซียวเอ่ย
อวี๋ฉี่ซูเบิกตากว้าง มองดูอีกฝ่ายอย่างพินิจพิจารณาคล้ายพยายามจับผิด ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ
“อืม” หลังจากนั้นเขาก็โน้มตัวเมิ่งเสวี่ยหลี่ไปข้างหน้า หมอบกระซิบอยู่กับโต๊ะ “เขาก็คือศิษย์น้องเซียวที่เพิ่งมาใหม่?”
“ถูกแล้ว”
อวี๋ฉี่ซูตาโต “แล้วเหตุใดเจ้าถึงคุยกับเขา เจ้าทรยศต่อพรรค ลืมคำสาบานของพวกเราแล้วหรือ”
เมิ่งเสวี่ยหลี่นึก คำสาบานอะไรของเจ้า พลางพูดเหตุผล “พวกเราต่อต้านคนที่เอาศิษย์น้องเซียวมาเทียบกับจี้เซียวเจินเหริน มิใช่ต่อต้านศิษย์น้องเซียว ตัวศิษย์น้องเซียวหาได้ทำอันใดผิดไม่” ถึงตอนนี้เขาจะยังนึกสงสัยว่าบนตัวของศิษย์น้องผู้นี้มีอะไรแปลกๆ แต่เพราะยังไม่มีหลักฐานจึงไม่อาจขับไล่ไสส่งสหายร่วมเรียนหน้าใหม่ผู้นี้ได้ ทำเช่นนั้นมิไร้เดียงสาเกินไปหรือไรกัน
อวี๋ฉี่ซูครุ่นคิดจริงจังอยู่ครู่หนึ่ง “เจ้าพูดถูก!”
อยู่ต่อหน้าเซียวถิงอวิ๋น เมิ่งเสวี่ยหลี่ยังคงวางท่าเล็กน้อย ไม่เหมือนกับตอนจากกันเมื่อวานที่วางท่าเคร่งขรึมมิอาจล่วงละเมิด