หลังจากนั้นไม่นานนอกประตูก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเอะอะ สานุศิษย์กลุ่มหนึ่งกรูเข้ามาในห้องเรียน ในมือถือห่อผ้าและกระดาษไขสารพัดสี
“สุขสวัสดิ์ยามเช้าอาวุโสเมิ่ง เมื่อคืนท่านไม่ได้มา พวกเราห่อของดีๆ มาให้ท่านกันทั้งนั้น”
“เกาลัดคั่วน้ำตาล งาถั่ว เมล็ดแตงเคล้ามันปู ล้วนแต่ของดี ท่านรีบชิมดู”
ของขบเคี้ยวถูกวางกองไว้เต็มโต๊ะ หนำซ้ำยังมีคนแกะเกาลัดยื่นส่งให้เขาอีก
เมิ่งเสวี่ยหลี่เอ่ยขอบคุณ เขากินจนคิ้วเป็นวงโค้ง สองแก้มบวมตุ่ย ไม่มีท่าทีน่าเกรงขามเยี่ยงผู้อาวุโสเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าคือศิษย์น้องเซียว?” มีคนสังเกตเห็นเด็กหนุ่มรูปร่างสูงผอมที่อยู่ทางด้านหลังเมิ่งเสวี่ยหลี่
จี้เซียวพยักหน้า
เพราะอยากรู้อยากเห็น ทุกคนจึงล้อมวงเข้าไปหมายสนทนาด้วย ทว่าจู่ๆ เสียงตวาดทุ้มต่ำของใครบางคนก็ดังขึ้นที่นอกประตู
“อาวุโสเมิ่งอยู่หรือไม่!”
เสียงนั้นแม้จะไม่ดังนักแต่ก็ซ่อนแฝงไว้ซึ่งพลังปราณ ศิษย์น้องที่เพียรบำเพ็ญอ่อนด้อยต่างรู้สึกเวียนศีรษะขึ้นมาทันควัน
ผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสี่คนยืนอยู่นอกประตู สวมเกี้ยวครอบผมหยกใส่อาภรณ์ขาว เหน็บกระบี่ไว้ข้างเอว จากการแต่งกายบอกให้รู้ว่าพวกเขาล้วนแต่เป็นศิษย์ฝ่ายใน
เมิ่งเสวี่ยหลี่ตอบ “ข้าอยู่นี่”
พวกเขาทั้งสี่พิจารณาดูเมิ่งเสวี่ยหลี่อยู่ครู่หนึ่ง เห็นบนโต๊ะเต็มไปด้วยขนมขบเคี้ยวเช่นนั้นก็แอบเผยสีหน้าเหยียดหยันออกมารางๆ
ชายหน้ายาวหนึ่งในผู้บำเพ็ญพรตทั้งสี่กล่าว “เชิญท่านออกไปคุยกันข้างนอกสักครู่”
ขณะที่เมิ่งเสวี่ยหลี่กำลังจะลุกขึ้น เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง “มีเรื่องอันใดก็คุยกันเสียที่นี่เถอะ”
ได้ยินเซียวถิงอวิ๋นพูดเช่นนั้น อวี๋ฉี่ซูก็รู้สึกตัวขึ้นได้ทันที “ทุกคนล้วนกำลังขอคำชี้แนะจากอาวุโสเมิ่งอยู่ ตอนนี้ยังไปที่ใดไม่ได้”
สานุศิษย์คนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องรับรู้ได้ถึงบรรยากาศไม่ปกติ พวกเขาต่างพากันลุกขึ้นยืน
ชายหนุ่มหน้ายาวกวาดตามองดูพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา หัวเราะเหยียดหยันออกมาคำหนึ่งก่อนจะพูดกับเมิ่งเสวี่ยหลี่ “พวกข้ารับคำสั่งเจินเหรินเจ้าสำนักให้คอยคุ้มครองอาวุโสเมิ่งตอนอยู่ในแดนสนธยาฮั่นไห่ ในเมื่อมีคำสั่งมาเช่นนี้ พวกเราย่อมต้องพยายามอย่างสุดความสามารถ จึงใคร่ขอให้ผู้อาวุโสร่วมมือด้วย!”
“อีกไม่ช้าแดนสนธยาฮั่นไห่ก็จะเปิด ในช่วงเวลาจำกัดนี้ขอผู้อาวุโสเตรียมตัวให้พร้อม อย่าได้ปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเสียเปล่า ช่วงนี้พวกเราสี่พี่น้องกำลังร่วมกันฝึกค่ายกระบี่ชุดหนึ่ง นับแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ยามเหม่า ของทุกสามวัน ขอผู้อาวุโสเดินทางไปร่วมการฝึกยังลานสำแดงกระบี่ฝั่งตะวันตก”
ผู้บำเพ็ญพรตอีกคนกล่าวต่อ “ท่านไม่ต้องใช้กระบี่ เพียงหัดย่างก้าวตามการเปลี่ยนแปลงของค่ายกระบี่ให้ทันเท่านั้นก็พอ ถึงตอนนั้นแม้นพบพานศัตรู พวกเราย่อมช่วยคุ้มครองท่านได้”
ยามกล่าวคำว่า ‘คุ้มครอง’ น้ำเสียงของพวกเขากลับแฝงไว้ซึ่งสำเนียงดูแคลน หนำซ้ำก่อนหน้านี้ยังไม่แม้แต่จะแนะนำตัว
เจตนาร้ายใดๆ ในโลกล้วนมีต้นสายปลายเหตุ การคุ้มครองให้เมิ่งเสวี่ยหลี่รอดพ้นการต่อสู้ตลอดเจ็ดวันและสามารถถอนตัวออกมาได้อย่างปลอดภัยนั้น แปลว่าพวกเขาเองก็ต้องสละสิทธิ์แย่งชิง ละทิ้งการชุมนุมที่จะเกิดขึ้นยี่สิบปีครั้ง ละทิ้งโอกาสที่ดีที่สุดในการสร้างชื่อเสียงให้เป็นที่ประจักษ์
พวกเขาทั้งสี่ไม่กล้าปฏิเสธแผนการของเจินเหรินเจ้าสำนัก ไม่กล้าแม้แต่จะเผยความรู้สึกไม่พึงพอใจอันใดออกมา ทำได้เพียงเก็บความเคียดแค้นมาระบายใส่เมิ่งเสวี่ยหลี่
ไม่มีปัญญาปกป้องตัวเองก็ควรอยู่นิ่งๆ บนยอดเขาฉางชุน ไยต้องลำบากคนอื่นด้วย คิดว่าเดินทางไปแดนสนธยาฮั่นไห่ไม่ต่างอันใดกับการเดินทางท่องเที่ยวชมนกชมไม้ยามวสันต์หรือไรกัน
จี้เซียวขมวดคิ้วน้อยๆ
สีหน้าเมิ่งเสวี่ยหลี่ยังคงสงบนิ่งเหมือนเก่า เขาทำเพียงพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่”
ทั้งสี่มองตากันคราหนึ่ง เดิมได้ยินว่าเมิ่งเสวี่ยหลี่ผู้นี้เป็นพวกชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ หากถูกยั่วโมโหโวยวายก่นด่าอะไรออกมา ถึงตอนนั้นพวกเขาย่อมสามารถชิงลงมือร่ำไห้ฟ้องเจ้าสำนัก ประกาศก้องให้รู้กันทั่วว่าอีกฝ่ายไร้เหตุผล ไม่แน่ว่าอาจบอกปัดภารกิจนี้ได้
ยามนี้แผนการล้มเหลว ภายใต้สายตาจับจ้องของผู้คนมากมาย แม้ในใจพวกเขาจะเต็มไปด้วยความรู้สึกคับข้องแต่ไหนเลยยังจะพูดอะไรได้อีก ผู้บำเพ็ญพรตหน้ายาวที่เป็นหัวหน้าประสานมือ
“ไม่รบกวนผู้อาวุโสศึกษาตำราแล้ว พวกข้าขอตัว”
ศิษย์สายตรงทั้งสี่เดินโมโหดุดันจากไปไกล ในห้องเรียนเอ็ดอึงไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์นานา
“อาวุโสเมิ่ง ท่านจะไปแดนสนธยาฮั่นไห่จริงหรือ ท่าทางพวกเขาเหมือนจะพึ่งพาไม่ได้”
“วันหน้ารอให้ข้าได้คำนับอาจารย์ฝึกฝนวิชากระบี่ก่อนเถอะ ถึงตอนนั้นข้าจะคุ้มครองผู้อาวุโสเอง”
“เชอะ ตอนนี้เจ้าเพิ่งฝึกปราณได้แค่ขั้นหนึ่ง กว่าจะได้ฝึกกระบี่ กับข้าวมีหวังเย็นชืดหมดก่อนแล้ว!”
อวี๋ฉี่ซูหันหลังไปเคาะโต๊ะศิษย์น้องเซียว
“ท่าทางของเจ้าเมื่อครู่นับว่าไม่เลว! มีคุณธรรมเช่นนี้อยากเข้าร่วมพรรคยงจี้ตั่งของพวกเราหรือไม่” เขาชี้ไปที่เมิ่งเสวี่ยหลี่กับตัวเอง “วันหน้ามีหัวหน้าพรรคกับรองหัวหน้าพรรคคุ้มครอง วิหารถกสัจธรรมหกห้องเรียนเจ้าจะทำอันใดก็ย่อมได้”
จี้เซียวสงสัย “พรรคอะไร”
อวี๋ฉี่ซูยิ้มจริงใจ เผยให้เห็นฟันขาวราวหิมะ “ขอเพียงเจ้าคอยปกป้องชื่อเสียงของจี้เซียวเจินเหริน พวกเราก็เท่ากับเป็นสหายกัน”
เมิ่งเสวี่ยหลี่โอดครวญอยู่ในใจ โมโหจนนึกอยากมุดหายเข้าไปในกองหิมะ
โปรดติดตามตอนต่อไป…