everY
ทดลองอ่าน กระบี่คู่หานซาน เล่มที่ 1 บทที่ 17 #นิยายวาย
บทที่ 17 ช่วงเวลาที่ดีทัศนียภาพงดงาม
เมิ่งเสวี่ยหลี่ลากอวี๋ฉี่ซูออกมา กระซิบบอก “ข้าว่านี่ไม่ใช่ความคิดที่ดี”
“เพราะเหตุใด”
“ลางสังหรณ์”
อวี๋ฉี่ซูอธิบาย “วิธีการของข้าเรียกว่าเปลี่ยนศัตรูเป็นมิตร ขอเพียงเขาเข้าร่วมกับเรา วันหน้าไม่ว่าผู้อื่นจะพูดเช่นไร เขาย่อมไม่เอาตัวเองไปเทียบกับจี้เซียวเจินเหริน เมื่อครู่เจ้ายังชี้แนะข้าอยู่เลยว่าอย่ามีอคติกับเขาไม่ใช่หรือไร”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ปั้นหน้าลำบากใจ
‘พรรคยงจี้ตั่ง’ เดิมเป็นเพียงเรื่องล้อเล่นระหว่างสหายเท่านั้น แต่ยามนี้กลับกลายเป็นเรื่องน่าอายไปเสียแล้ว
เมื่อคืนเซียวถิงอวิ๋นผู้นี้ทำเขาตกใจเสียหน้า ตอนนี้ไม่แน่ว่าอาจกำลังนึกตำหนิเขาอยู่ในใจว่าที่แท้อาวุโสเมิ่งก็เป็นพวกสมองมีปัญหา
“เหตุใดสีหน้าเจ้าถึงไม่สู้ดี”
เมิ่งเสวี่ยหลี่โบกมือ “เอาเป็นว่าเจ้าอย่าคิดฝันดีกว่า! ชาวบ้านมีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา ไหนเลยจะเห็นหัวพวกเรา”
แต่แล้วพวกเขากลับได้ยินคนที่อยู่ด้านหลังพูดขึ้น “ศิษย์พี่อวี๋ อาวุโสเมิ่ง ข้าใคร่เข้าร่วมด้วย”
“ความคิดกว้างไกลเป็นเลิศ!” อวี๋ฉี่ซูยักคิ้วกระหยิ่มยิ้มย่องให้เมิ่งเสวี่ยหลี่ก่อนจะหันหลังกลับไป “เราสองคนเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติในการแต่งตั้งพรรคยงจี้ตั่งที่สุด คนผู้นี้คือคู่ร่วมบำเพ็ญที่จี้เซียวเจินเหรินรักที่สุดในชีวิต ส่วนข้า ขอเรียนตามตรง ข้าคือเหลนของปรมาจารย์หลิงซวี หลานของนักพรตฉงหยวน บุตรชายเจ้าเมืองไป๋ลู่ ว่าที่เจ้าเมืองไป๋ลู่ อวี๋ฉี่ซู ทวดของข้ากับอริยกระบี่เป็นสหายสนิทกัน”
จี้เซียวนิ่งคิด แต่เพราะนึกถึงคนที่อีกฝ่ายพูดถึงไม่ออกจึงได้แต่พยักหน้าเงียบๆ
อวี๋ฉี่ซูเอ่ยต่อ “วันหน้าเจ้าก็ใช้ชีวิตกินดีมีสุขอยู่กับพวกเรา หากมีผลงานเป็นที่น่าชื่นชม ข้าจะให้เจ้าเป็นรองหัวหน้าพรรคด้วย”
แม้สีหน้าของเมิ่งเสวี่ยหลี่จะสงบนิ่ง แต่แววตากลับสิ้นหวัง
เดิมจี้เซียวกังวลว่าเมิ่งเสวี่ยหลี่จะตั้งพรรคหาผลประโยชน์สร้างเรื่องเดือดร้อนวุ่นวายอะไรขึ้น หากแพร่สะพัดออกไปจะจัดการได้ลำบาก ถึงได้ตัดสินใจเข้าร่วมหมายคอยจับตาดู
หรือว่าขนมขบเคี้ยวที่เหล่าสานุศิษย์ทั้งหลายต่าง ‘บรรณาการ’ ให้กับเมิ่งเสวี่ยหลี่จะเป็นค่าเข้าร่วมพรรค?
“ขอถามท่านหัวหน้าพรรค พรรคพวกของเรายามนี้มีขอบข่ายเช่นไร”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ไม่อินังขังขอบ เขาหัวเราะหยันออกมาคราหนึ่ง “สมาชิกเน้นคุณภาพไม่เน้นจำนวน รวมเจ้าด้วยมีทั้งหมดสามคน”
เขาเห็นมุมปากอีกฝ่ายยกขึ้นน้อยๆ หางตาแฝงรอยยิ้มเฉกเช่นคืนนั้นยามอยู่ใต้แสงเทียน
เมิ่งเสวี่ยหลี่หงุดหงิดเล็กน้อย “เข้าพรรคเน้นความจริงใจ วันนี้ก่อนตะวันลับฟ้าเจ้าต้องเขียนบทความยกย่องจี้เซียวเจินเหรินหนึ่งพันอักษรให้เสร็จ รูปแบบกฎเกณฑ์ถูกต้องเปี่ยมอารมณ์ความรู้สึก ข้าหัวหน้าพรรคจะตรวจมันด้วยตัวเอง”
รอยยิ้มบนใบหน้าของจี้เซียวจางหาย
สุดท้ายจี้เซียวเจินเหรินก็ไม่อาจเขียนอัตชีวประวัติของตนเองได้เสร็จสิ้น
วันนี้วันหยุด กำหนดการต่างๆ จึงมากเป็นพิเศษ ก่อนหน้านี้มีศิษย์สายตรงมาหาเมิ่งเสวี่ยหลี่ ต่อมาก็มีหัวหน้าฝ่ายการกิจมาหาเซียวถิงอวิ๋น ว่ากันว่าเจินเหรินเจ้าสำนักให้มาตาม
เหล่าสานุศิษย์ต่างหมอบนอนแหงนหน้าทอดตามองอยู่ที่ขอบหน้าต่าง เห็นกระบี่เหินเวหาของหัวหน้าฝ่ายการกิจพุ่งพรวดทะลุชั้นเมฆ เกิดเป็นลำแสงลับหายไปจากขอบฟ้าอย่างรวดเร็วก็อดอุทานตื่นเต้นออกมาไม่ได้
“ ‘ทะลุเมฆาด้นวายุ ตะลุยโลกหล้า’ เมื่อไรข้าถึงจะขี่กระบี่กับเขาได้บ้างนะ”
“เจินเหรินเจ้าสำนักเรียกศิษย์น้องเซียวไปพบ หรือคิดจะรับเขาเป็นศิษย์?”
“ไม่น่าเป็นไปได้ ทำเช่นนั้นมันผิดกฎไม่ใช่หรือไร”
ครั้นนึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่ตัวเองครุ่นคิดเมื่อคืนเกี่ยวกับความเป็นไปได้สามอย่างเรื่องฐานะชาติกำเนิดของเซียวถิงอวิ๋น จิตใจเมิ่งเสวี่ยหลี่ก็พลันหนักอึ้ง
หากเซียวถิงอวิ๋นไม่ใช่หมากลับของหานซาน ขนาดตนเองยังรู้สึกสงสัย แล้วผู้แข็งแกร่งในหานซานที่ครุ่นคิดไตร่ตรองรอบคอบกว่าเขามากมายพวกนั้นมีหรือจะไม่นึกสงสัย
อวี๋ฉี่ซูกลับเข้าใจผิด “หลังจากศิษย์สายตรงสี่คนนั่นกลับไป เจ้าก็เหมือนจะไม่ปกติ”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ยิ้ม “เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้ากับพวกเขาหาได้มีข้อขัดแย้งอันใดกันไม่”
เขาอาศัยฐานะคู่ร่วมบำเพ็ญของจี้เซียวมองดูสานุศิษย์หานซานเฉกเดียวกับมองดูชนรุ่นหลัง
เด็กยังไงก็คือเด็ก
อวี๋ฉี่ซูไหนเลยจะเข้าใจความรู้สึกเช่นนี้ ทว่าจู่ๆ เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงกระจ่างชัด “อาวุโสเมิ่ง พรุ่งนี้ยามเหม่าเจ้าต้องไปลานสำแดงกระบี่ใช่หรือไม่ ก่อนเวลาศึกษาตำราเช้าพอดี เช่นนั้นมิสู้พาข้าไปเปิดหูเปิดตาด้วย”
ลานสำแดงเป็นสถานที่ฝึกกระบี่ของศิษย์ฝ่ายใน ศิษย์นอกที่ยังไม่มีกระบี่ทำได้เพียงฉวยโอกาสตอนเดินผ่านมองดูไอกระบี่ที่แผ่ซ่านอยู่ไกลๆ หวังว่าตนเองจะมีโอกาสเช่นนั้นบ้างสักวัน
มีคนรีบแกะเกาลัดยื่นส่งให้เมิ่งเสวี่ยหลี่ “อาวุโสเมิ่ง หากสะดวกพาข้าไปด้วยได้หรือไม่”
“ข้าด้วย ข้าเองก็อยากเปิดหูเปิดตาเหมือนกัน”
อวี๋ฉี่ซูรู้สึกว่าตัวเองฉลาดปราดเปรื่องที่สุด เขาบอกกับเมิ่งเสวี่ยหลี่ “พวกเราไปด้วยกัน ไม่ว่าพวกเขามีแผนชั่วอะไร ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้พวกเขามีหรือจะกล้ารังแกเจ้า”
กระบี่เหินเวหาบินไกลออกไป วิหารถกสัจธรรมกับป่าสนเขียวที่ตั้งอยู่เชิงเขาหดเล็กลงรวดเร็ว เทือกเขากว้างใหญ่ไพศาลทั้งหมดค่อยๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้า
จี้เซียวที่ยืนอยู่เหนือกระบี่เหินเวหาค้อมมอง
จุดเขียวเพียงหนึ่งเดียวกลางหมื่นภูผาขาวสล้างคือยอดเขาฉางชุนของเขากับเมิ่งเสวี่ยหลี่
เรื่องราวในแดนมนุษย์แปรผัน มีเพียงทิวเขาพายุหิมะกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาเท่านั้นที่ยังคงเดิม เฉกแม่น้ำฉางเจียงที่ยังคงไหลรินชั่วนิรันดร์
เห็นเขาไม่พูดไม่จาเช่นนั้น หัวหน้าฝ่ายการกิจก็หันกลับมาเอ่ยปากปลอบ “ไม่ต้องกลัว เด็กน้อย สำนักเราฝากความหวังไว้กับเจ้าแล้ว ท่านเจ้าสำนักเชิญผู้สูงส่งมาตรวจดวงชะตาให้เจ้าเป็นกรณีพิเศษ วันหน้ายามเดินอยู่บนวิถีผู้บำเพ็ญพรตจะได้ยึดตามคำทำนายหลบเลี่ยงวิบาก ดำรงตนอยู่บนมรรคาที่ถูกต้อง นี่เป็นเรื่องที่ดี”
จี้เซียวพยักหน้า ที่แท้ศิษย์พี่ของเขาก็มาถึงแล้ว
มิน่าถึงต้องขี่กระบี่เหินเวหา เขาทอดตามอง เห็นเรือสีแดงขนาดใหญ่ราวกับอาทิตย์ดวงโตสีแดงปรากฏให้เห็นอยู่รางๆ ท่ามกลางหมู่เมฆ
ปกติเรือล่องเมฆาลำนี้จะลอยอยู่กลางมหรรณพแดนสรวง ยามนี้กลับหยุดแขวนอยู่เหนือยอดเขายอดประมุข