everY
ทดลองอ่าน กระบี่คู่หานซาน เล่มที่ 1 บทที่ 2 #นิยายวาย
หนึ่งเดือนก่อนหน้าจี้เซียวเจินเหรินออกจากการกักตน มุ่งหน้าไปยังแดนนอกพิภพเพื่อผนึกพญามารที่กลับมาเกิดใหม่ คืนก่อนเดินทางเขาได้แวะมาหาเมิ่งเสวี่ยหลี่
‘ข้ามีของชิ้นหนึ่งจะมอบให้เจ้า รอข้ากลับมา’
กระดิ่งเตือนภัยในใจเมิ่งเสวี่ยหลี่ดังระรัว ‘คำพูดเช่นนี้อัปมงคลยิ่งนัก มีของล้ำค่าอันใด มิสู้มอบให้กับข้าเสียตอนนี้’
จี้เซียวขมวดคิ้วน้อยๆ คล้ายไม่เข้าใจ เขาขี่เมฆจากไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เจ็ดวันก่อนเจ้าสำนักหานซานเดินทางมายอดเขาฉางชุนด้วยตนเองพร้อมกับข่าวร้าย แดนนอกพิภพพังทลาย จี้เซียวกับพญามารที่กลับมาเกิดใหม่ตนนั้นดับสิ้นไปพร้อมกัน ร่างแหลกสลายไม่พบแม้แต่โครงกระดูก
เมิ่งเสวี่ยหลี่ตอบ ‘ข้าไม่เชื่อ’
มาวันนี้ที่หานซานจัดพิธีเซ่นไหว้จี้เซียว เสียงระฆังมรณะทุ้มต่ำราวกับกำลังบอกเขาว่าเรื่องถึงยามนี้แล้ว มิได้ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่
เมิ่งเสวี่ยหลี่ค้อมกายมองดูผิวน้ำ
“สามปีร่วมบำเพ็ญ…อย่างน้อยก็ควรมีไมตรีจิตอะไรบ้าง แต่เขากลับเลอะเลือนบอกตายก็คือตาย…ไม่ว่าอย่างไรก็สมควรมีคำอธิบายอะไรให้ข้าบ้าง”
หากปลาไนเหล่านั้นพูดได้ พวกมันต้องสบถด่าผู้เป็นเจ้าของว่าหน้าไม่อาย…
ไมตรีจิตเหลวไหล สามปีพบหน้ากันแค่สามครั้ง จี้เซียวมีหรือจะจำได้ว่าเจ้าหน้าตาเช่นไร ต่อให้คนทั้งหานซานตายหมดสิ้น ก็ไม่มีทางที่คู่ร่วมบำเพ็ญจอมปลอมเช่นเจ้าจะมีโอกาสได้เสนอหน้า
ผู้คนทั่วหล้าล้วนอิจฉาในวาสนาของเมิ่งเสวี่ยหลี่ ‘ฉางชุนนิรันดร์’ คืออนุสรณ์สถานในน้ำใจของจี้เซียว
อันที่จริงจี้เซียวกักตนครั้งหนึ่งนานเป็นปีๆ ยอดเขาฉางชุนว่างเปล่าเงียบสงัด เด็กพรมน้ำกวาดลานเพียงหนึ่งเดียวก็ขี้ขลาดราวกับหนูตัวจ้อย เมิ่งเสวี่ยหลี่เฝ้าอยู่บนยอดเขาโดดเดี่ยวลำพัง หากมีมนุษย์ที่สามารถสนทนาด้วยได้ เขาไหนเลยจะมานั่งพูดคุยอยู่กับปลาเช่นนี้
หลังเป็นคู่ร่วมบำเพ็ญ พวกเขาทั้งสองก็ต่างใช้ชีวิตตามวิถีทางของตน จี้เซียวหมกมุ่นอยู่กับการฝึกเพียรบำเพ็ญเหมือนดังเก่า ส่วนเมิ่งเสวี่ยหลี่ก็เอาแต่เล่นอยู่กับตัวเอง ค่อยๆ เรียนรู้วิธีสร้างสุขให้กับตน หากจี้เซียวยังไม่ตาย วันเวลาเนิ่นนานนับร้อยปีคงได้แต่ผ่านพ้นไปเช่นนี้
เมิ่งเสวี่ยหลี่เดินข้ามสะพานแขวนพร้อมประคองเตาอุ่นมือไว้เหนืออก ทิ้งหลักศิลาสลักอักษรคำว่า ‘ฉางชุน’ ไว้เบื้องหลัง
สายลมเหน็บหนาวพัดโถม สองแก้มก็พลันเย็นเยียบ เขาเงยหน้ามองดูละอองหิมะโปรยปราย
หากค้อมมองจากท้องฟ้าเบื้องบนลงมาย่อมเห็นว่าทุกหนแห่งล้วนขาวโพลนหมดสิ้น มีเพียงยอดเขาฉางชุนเท่านั้นที่เขียวชอุ่มสะดุดตาราวกับกรงอุ่นงดงามขนาดมหึมา
ค่ายเวทที่ห้อมล้อมท้องนภาเหนือยอดเขาไม่ต่างอันใดกับชามกระจกคว่ำ มันเปล่งรัศมีออกมาจางๆ
ตลอดสามปีมานี้เมิ่งเสวี่ยหลี่ไม่เคยรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศภายนอก สารทวสันต์ผลัดเปลี่ยนเวียนผัน ครั้นเห็นศิลานับพันกลับกลายเป็นขาวโพลน ป่าเขาหยดน้ำจับตัวเป็นก้อนน้ำแข็งใสเป็นครั้งแรก เขาก็ให้รู้สึกเหมือนตนอยู่คนละภพกับผู้อื่น
เมิ่งเสวี่ยหลี่อารมณ์ดี เขาเดินเรื่อยเปื่อยอยู่บนทางเขาไปตามเสียงระฆังเสียงท่องบทสวด ไม่ว่าพบเจออะไรก็ล้วนให้รู้สึกแปลกตา
ออกห่างจากยอดเขาฉางชุนไปทีละน้อย ในที่สุดเขาก็มองเห็นเงาคน บนทางเขามีศิษย์นอกสำนักสวมอาภรณ์นักพรตเดินผ่านไปเป็นครั้งคราว บ้างก็พกกระบี่ไว้บนเอว บ้างก็ประคองธูปเทียนไม่ก็ผลไม้ จังหวะย่างก้าวเร่งรีบ สีหน้าท่าทางเคร่งขรึม แต่กลับไม่อาจรับรู้ถึงความโศกาอาดูรใดๆ แม้เพียงน้อย
ตอนได้ยินข่าวร้ายครั้งแรก ศิษย์ที่นับถือจี้เซียวเจินเหรินจำนวนนับไม่ถ้วนต่างน้ำตาอาบแก้ม หลังเจ็ดวันผ่านพ้น ทุกคนกลับกลายเป็นสงบนิ่งหนักแน่นไม่ไหวหวั่น
ทุกสิ่งเป็นไปตามคำสั่งสอนของเจ้าสำนักหานซาน หานซานที่สูญเสียจี้เซียวไปต้องสมัครสมานสามัคคี ทำตัวให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น จะมาทำเสียกระบวนให้ผู้คนภายนอกคิดว่ายามนี้พลังชีวิตของหานซานบอบช้ำ อ่อนแอรังแกกันได้โดยง่ายไม่ได้เป็นอันขาด
สำหรับสำนักกระบี่หานซานแล้ว ในเวลานี้เรียกได้ว่าพวกเขากำลังทำสงครามดุเดือดที่ไม่อาจใช้ดาบกระบี่อยู่
จากยอดเขาฉางชุนไปศาลบรรพชน ระหว่างทางเมิ่งเสวี่ยหลี่ต้องเดินผ่านผาเจียเทียน
ว่ากันว่าบนยอดผาคือเรือนพำนักของจี้เซียวก่อนมีคู่ร่วมบำเพ็ญ ทุกวันล้วนมีศิษย์เดินทางไปแสดงคารวะ อาศัยพายุหิมะหนาวสะท้านลับคมใจกระบี่ สัมผัสจิตกระบี่ของจี้เซียวเจินเหรินที่ยังหลงเหลืออยู่
ทว่าเมิ่งเสวี่ยหลี่กลัวหนาว แน่นอนย่อมมิปรารถนาหาเรื่องลำบากใส่ตน จึงเลือกเดินไปตามเส้นทางข้ามเขาที่อยู่ทางด้านหน้า
โชคดีที่บริเวณไหล่เขามีเส้นทางสายเปลี่ยวเล็กๆ อยู่สายหนึ่ง เป็นเส้นทางไม้คับแคบสูงชันลัดเลาะไปตามผนังผา ด้านหนึ่งของบันไดไม้ถูกฝังเข้าไปกับผนังหิน ส่วนอีกด้านแขวนค้างอยู่กลางอากาศ
เส้นทางเล็กๆ ร้างผู้คน จู่ๆ เขาก็หยุดเดิน บนรอยแยกระหว่างหินผา เหมยป่าต้นหนึ่งยืนกิ่งก้านส่ายไหวอยู่กลางสายลม ดอกตูมรอแย้ม
เมิ่งเสวี่ยหลี่ยื่นมือไปหักกิ่งเหมยกิ่งหนึ่งแล้วสะบัดหิมะที่เกาะอยู่บนกิ่ง พลันมีเสียงตะโกนดังขึ้นจากอีกด้านของเส้นทางไม้คับแคบ
“อาวุโสเมิ่ง!” หลิวเสี่ยวไหวที่รายงานข่าวให้เขารู้เมื่อครู่วิ่งตรงเข้ามาพูดด้วยความดีใจ “ข้าตกใจหมด นึกว่าท่านหลงทางเสียแล้ว พวกเรารีบไปกันเถอะ เจ้าสำนักเร่งแล้ว!”
นักพรตน้อยหอบหายใจ ใบหน้าเยาว์วัยแดงระเรื่อน่ารักน่าใคร่ เขาเอื้อมมือหมายดึงแขนเมิ่งเสวี่ยหลี่
เมิ่งเสวี่ยหลี่ยิ้ม ยื่นกิ่งเหมยในมือให้นักพรตน้อยคล้ายประสงค์จะมอบมันให้อีกฝ่าย
นักพรตน้อยยื่นมือรับโดยไม่ลังเล ทันทีที่ปลายนิ้วแตะถูกกิ่งเหมย เมิ่งเสวี่ยหลี่ก็พลิกฝ่ามือกลับกิ่งเหมยจากล่างขึ้นบน หุ้มห่อมันไว้ใต้ปราณคมกริบ โจมตีใส่จุดชีพจรบนข้อมือของอีกฝ่าย
นักพรตน้อยร้องเจ็บปวดออกมาคราหนึ่ง ตกใจชักเท้าถอยหลัง แค่พริบตาร่างก็ทะยานไปไกลถึงสามจั้ง แขนเสื้อม้วนตลบหิมะปลิวว่อน
เมิ่งเสวี่ยหลี่ยั้งมือทันทีที่แตะถูกอีกฝ่าย เขายืนสงบนิ่งลดฝ่ามือลง กลีบเหมยสีแดงหล่นร่วงแหลกสลายอยู่ข้างเท้า
“เจ้ามิใช่เสี่ยวไหว”
โปรดติดตามตอนต่อไป…