everY
ทดลองอ่าน กระบี่คู่หานซาน เล่มที่ 1 บทที่ 3 #นิยายวาย
บทที่ 3 เพื่อนหมาป่าสหายสุนัข
ม่านตานักพรตน้อยหดลงรวดเร็ว ถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ไม่เหมือนตรงที่ใด”
“เขาเป็นคนขลาด ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยวาจาเสียงดัง”
สีหน้าของนักพรตน้อยคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม รอยยิ้มดังกล่าวอบอวลไปด้วยกลิ่นอายอสูร ท่ามกลางหิมะโปรยปรายเครื่องหน้าทั้งห้ากลับเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย คิ้วและหางตาเรียวยาวขึ้น สันจมูกเชิดสูง กลายเป็นใบหน้าชั่วร้ายงดงาม
เขาเหยียดยืดร่างกายพลางเดินตรงเข้าไปหาเมิ่งเสวี่ยหลี่พร้อมกับเสียงกระดูกลั่นกรอบแกรบ ไม่ต่างอันใดกับต้นไผ่ที่กำลังเจริญงอกงาม เพียงชั่วพริบตาอาภรณ์นักพรตบนตัวก็เหมือนหดสั้นลงไปส่วนหนึ่ง
เมิ่งเสวี่ยหลี่ชกอีกฝ่ายหมัดหนึ่ง “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเป็นเจ้า”
หานซานมีการป้องกันเข้มงวด หนำซ้ำยามนี้ยังเป็นช่วงเวลาพิเศษ หากพบว่ามีคนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าแทรกซึมเข้ามา ย่อมต้องลงมือสังหารอีกฝ่ายโดยไม่แม้แต่จะซักถาม
ทว่าเชวี่ยเซียนหมิงมิใช่มนุษย์
เขาเป็นอสูรนกยูง หยิ่งทะนงถือตนว่าสายเลือดสติปัญญาล้ำเลิศ แปลงกายได้ร้อยแปด ชำนาญศาสตร์ล่อลวงสะกดจิตใจ
เชวี่ยเซียนหมิงบริภาษ “ข้าอุตส่าห์เสี่ยงอันตรายเข้ามาช่วยเหลือเจ้าใต้เปลือกตาของหกสำนักใหญ่ แต่เจ้ากลับไม่สำนึกบุญคุณคุกเข่าร่ำไห้หลั่งน้ำมูกตะโกนเรียกข้าบิดา ไม่รู้จักคำว่าน้ำใจเสียบ้างเลย”
ในชีวิตหนึ่งจะมีเพื่อนหมาป่าสหายสุนัข ที่คอยช่วยหาทางหนีทีไล่ให้ยามตกอยู่ในอันตรายได้สักกี่คนกัน
แม้นจะรู้สึกอบอุ่นใจ แต่เมิ่งเสวี่ยหลี่กลับปากแข็งไม่ยอมแพ้ “ช่วยเหลือข้าเพื่ออะไร ข้ากินดีอยู่ดี มีอิสรเสรีเป็นอยู่สุขสบาย เจ้ามาหาข้าตอนนี้ เกรงว่าคงเพราะก่อเรื่องอะไรในแดนอสูรจนมีภัยถึงตัว เลยคิดหนีมาหลบอยู่กับข้าที่นี่เสียมากกว่า”
“เชอะ เจ้าถูกจี้เซียวเลี้ยงจนโง่งมแล้วกระมัง!” ด้วยรู้ดีว่าเมิ่งเสวี่ยหลี่พูดเรื่อยเปื่อย เชวี่ยเซียนหมิงจึงคร้านจะต่อปากต่อคำด้วย เขาหยิบเอายันต์ทำลายล้างออกมาสามแผ่น “เพลิงอสูรจะทิ้งร่องรอยไว้ จึงได้แต่ต้องใช้ของเล่นของโลกมนุษย์พวกนี้…”
เมิ่งเสวี่ยหลี่คว้าแขนอีกฝ่าย “เจ้าคิดจะทำอะไร”
“ก็ระเบิดที่นี่ แบกเจ้าบินออกไป ‘ที่เขาใต้ผาเจียเทียนระเบิด อาวุโสเมิ่งตกลงไปในเหวลึก เป็นตายมิอาจรู้ คล้ายปลิดชีพบูชาสัมพันธ์คู่ร่วมบำเพ็ญ’ เจ้าคิดว่าอย่างไร ตอนนี้สำนักกระบี่หานซานล้วนยุ่งจนหัวไหม้ ไหนเลยจะมีเวลามาสนใจเจ้า”
“หลังจากนั้นเล่า เจ้าจะให้ข้าหนีไปที่ใด” เมิ่งเสวี่ยหลี่พูดเสียงแผ่ว “แดนอสูรข้าก็ไม่อาจกลับไปได้อีก”
“ไม่ไปแดนอสูร ข้ามีที่พำนักลับแห่งหนึ่งในแดนเวิ้งว้าง”
บริเวณรอยต่อระหว่างภพทั้งสามอันได้แก่แดนมนุษย์ แดนอสูร และแดนมารคือทุ่งราบรกร้าง ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ ไอทิพย์ซบเซา มักสั่นไหวพังทลายอยู่บ่อยๆ มนุษย์เรียกมันว่า ‘แดนนอกพิภพ’ อสูรเรียกมันว่า ‘แดนเวิ้งว้าง’
เชวี่ยเซียนหมิงพูดด้วยความวาดหวัง “แม้จะไกลอยู่สักหน่อย แต่อย่างน้อยก็ปลอดภัย ไว้เจ้าสั่งสมฟื้นฟูกำลัง สร้างญาณอสูรขึ้นได้ใหม่ อีกสิบแปดปีให้หลังค่อยสำแดงอิทธิฤทธิ์กันอีกคราว! ถึงตอนนั้นเขาตงซานของพวกเราย่อมรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้ง หยันเย้ยสามภพ! ไปกันเถอะ พวกเราค่อยๆ คุยกันระหว่างทาง”
เขาคิดว่าที่น่ากลัวที่สุดบนหานซานมิใช่ค่ายเวทปกป้องภูเขาหรือมนตร์สะกดซับซ้อนพวกนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านั้นมิได้สร้างความหวาดหวั่นอันใดต่อเขา หากแต่เป็นจิตกระบี่ที่จี้เซียวหลงเหลืออยู่ ถึงจะมองไม่เห็นจับต้องมิได้ แต่กลับกำจายอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ชวนอกสั่นขวัญแขวน
มิเสียทีที่จี้เซียวได้รับการขนานนามให้เป็น ‘แดนมนุษย์ไร้พ่าย’ ขนาดคนตายไปแล้ว จิตกระบี่กลับยังคงอยู่
เมิ่งเสวี่ยหลี่ส่ายหน้า “เจ้าไปก่อนเถอะ ที่นี่ยังมีเรื่องให้ข้าต้องจัดการอีก”
เชวี่ยเซียนหมิงเริ่มหมดความอดทน “อะไรนะ”
เมิ่งเสวี่ยหลี่เก็บยิ้ม “การตายของจี้เซียวยังไม่กระจ่างชัด สองสามวันนี้ข้าเฝ้าคิดคำนวณ…”
บนโลกนี้ผู้ใดกันที่ชิงชังจี้เซียวที่สุด ปรารถนาจะเห็นเขาตายที่สุด หลังคนตายจากผู้ใดที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด ทั้งยังพัวพันถึงสามภพ สลับซับซ้อนโยงใยไปทั่ว ยากจะจัดการให้กระจ่างแจ้งได้ในระยะเวลาสั้นๆ
เชวี่ยเซียนหมิงตะลึง “มิใช่เจ้าหรอกหรือที่เป็นคนลงมือ”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ตกตะลึงยิ่งกว่า “เขาเป็นคู่ร่วมบำเพ็ญของข้า ข้ามีเหตุผลใดต้องพรากชีวิตเขา”
“ก็เพื่ออิสระอย่างไรเล่า ถึงเขาจะเคยช่วยชีวิตเจ้า แต่ก็กักขังเจ้าไว้ในกรง” เชวี่ยเซียนหมิงทอดตามองไปทางยอดเขาฉางชุน เอ่ยอย่างมีเหตุผล “ที่ราบพยัคฆ์ตกยาก หาดตื้นมังกรลำเค็ญ สามปี ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่าเจ้าจะทนได้”
“ไม่ใช่ฝีมือข้าจริงๆ” เมิ่งเสวี่ยหลี่ตะลึงงันเล็กน้อย เขานึกไม่ถึงว่าแม้แต่ตัวเองก็ยังกลายเป็นผู้ต้องสงสัยมีแรงจูงใจให้สังหารจี้เซียว ทว่าเพียงไม่นานเขาก็ยิ้มตอบกลับอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว “ยามนี้ข้าก็เป็นแค่โฉมสะคราญไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะมัดไก่”
เชวี่ยเซียนหมิงใคร่สำรอก
ครั้นเห็นว่าไม่อาจหลบหนีได้ในระยะเวลาสั้นๆ เชวี่ยเซียนหมิงจึงได้แต่เก็บยันต์ทำลายล้าง ระแวดระวังก่อนกลับสู่สภาพของนักพรตน้อยหลิวเสี่ยวไหวอีกครา ฉุดเมิ่งเสวี่ยหลี่นั่งลงกับพื้น
บนเส้นทางไม้คับแคบแขวนลอยอยู่เหนือหน้าผา พวกเขาหันหลังให้ผนังหิน ด้านล่างคือเหวลึกหมื่นจั้ง มีหมอกหนาเมฆาคล้อยบดบัง
“ได้ ในเมื่อไม่ใช่ฝีมือเจ้า เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องหนีความผิด” เขาดึงกิ่งเหมยในมือเมิ่งเสวี่ยหลี่ไปถือไว้ วาดเส้นแนวตั้งสามเส้นขึ้นบนพื้น “ฟังข้าอธิบาย หนึ่ง การรักษาค่ายเวทเหนือยอดเขาฉางชุนไว้นั้นเป็นเรื่องสิ้นเปลืองมหาศาล เดิมหานซานก็ไม่ต้อนรับเจ้าอยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้ไม่มีจี้เซียวแล้วด้วย พวกเขาย่อมไม่คิดสิ้นเปลืองเลี้ยงดูเจ้าแน่ เจ้าอยู่หานซาน ฐานะเรียกได้ว่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก สอง ยามจี้เซียวยังมีชีวิต เขาสร้างศัตรูไว้ไม่น้อย ศัตรูพวกนั้นไม่อาจล้างแค้นเอากับเขาได้ สุดท้ายเกลียดอีกาบนหลังคาบ้าน ย่อมไม่แคล้วต้องชิงชังเจ้าด้วย สาม จี้เซียวตายแล้ว สมบัติที่เขาเหลือทิ้งไว้ย่อมกลายเป็นของที่ไม่มีเจ้าของ เจ้าคิดดูสิว่ามีคนกี่มากน้อยที่อยากได้มันมาไว้ในครอบครอง”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ลำพองใจพูดตัดบท “สมบัติที่จี้เซียวเหลือทิ้งไว้ มิเท่ากับเป็นของข้าหรือไร”
เชวี่ยเซียนหมิงนึกอยากผลักอีกฝ่ายตกหน้าผาจะได้สิ้นเรื่องสิ้นราว
“เลิกพูดเล่นได้แล้ว เจ้าเป็น…” เขาชะงัก ฝืนเลือกใช้คำอื่นออกมา “คู่ร่วมบำเพ็ญม่ายของจี้เซียว เดิมสมควรมีสิทธิ์สืบทอดมรดกที่เขาทิ้งไว้ให้มากที่สุด ทว่ายามนี้แค่จะป้องกันตัวเองก็ยังทำไม่ได้ ได้แต่อาศัยหานซานคอยปกป้องคุ้มครอง แค่สามจุดที่ข้าว่ามา สถานการณ์ของเจ้ายามนี้ก็ไม่ต่างอันใดกับหมากอับจน อยู่แดนมนุษย์เจ้ายังมีทางออกอะไรอีก!”
เมิ่งเสวี่ยหลี่มองอีกฝ่ายด้วยสายตาชื่นชม เขาดึงกิ่งเหมยกลับ วาดวงกลมหกวงขึ้นข้างๆ เส้นทั้งสาม
“ไม่เพียงสามจุด หกสำนักใหญ่ในแดนมนุษย์วันนี้ล้วนอยู่พร้อมหน้า เจ้าคิดว่านอกจากหานซานแล้ว สำนักอื่นๆ อีกห้าสำนักเป็นเช่นไร”
เชวี่ยเซียนหมิง “หรือเจ้าคิดจะหิ้วเวทศัสตราที่จี้เซียวทิ้งไว้ อุ้มผีผา ไปออกเรือนใหม่ สวามิภักดิ์ต่อสำนักอื่น หาที่พำนักใหม่ อย่าคิดดีกว่า สำนักใดบ้างเล่าที่เอาชนะผู้ฝึกกระบี่หานซานได้”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ส่ายหน้า “ก่อนจี้เซียวรู้แจ้ง สำนักหมิงเยวี่ยหูกับสำนักหานซานดุลอำนาจกันเรียกได้ว่าสมน้ำสมเนื้อ ผู้คนเรียกขาน ‘ใต้หู เหนือซาน’ ส่วนสำนักอื่นๆ อีกสี่สำนัก สำนักอู้อิ่นกวนมีสัมพันธ์ที่ดีกับหมิงเยวี่ยหู สำนักซงเฟิงกู่เป็นสำนักแพทย์ อารามหนานหลิงซือเป็นสำนักบรรพชิต พวกเขาต่างพยายามวางตัวเป็นกลาง ส่วนพวกผู้ควบคุมสัตว์บนเขาเป่ยหมิงซาน ไม่ว่าใครก็ล้วนขัดหูขัดตาพวกเขาทั้งสิ้น พูดหรือไม่พูดถึงก็หาเป็นไรไม่ นอกจากหกสำนักใหญ่แล้ว พรรคเล็กพรรคน้อยที่จุดยืนไม่แน่ไม่นอนนั้นมีอยู่มากมายกว่าดวงดาวบนท้องนภาเสียอีก…