ต้นวสันต์ปีหน้า อาศัยจังหวะแดนสนธยาฮั่นไห่เปิดขึ้นอีกครั้ง แบ่งทรัพยากรที่ใช้ในการบำเพ็ญเพียรภายในแดนมนุษย์ล่วงหน้ายี่สิบปีอีกคราว ยามนั้นหานซานยังจะรักษาตำแหน่งสำนักอันดับหนึ่งได้อีกหรือไม่ก็ยังไม่รู้แน่…” เมิ่งเสวี่ยหลี่หักกิ่งเหมย “ภายในวุ่นวายภายนอกรุกราน ต่อให้หานซานยอมดูแลข้าด้วยเห็นแก่หน้าจี้เซียว ถึงยามนั้นเกรงว่าเรี่ยวแรงกำลังอาจไม่พอ ชีวิตข้าถูกลิขิตไว้แล้วว่ามิอาจใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุข”
เชวี่ยเซียนหมิงนิ่งเงียบ เขานึกถึงคำพูดประโยคหนึ่งที่เคยได้ยินมานานแล้วได้…
ความยำเกรงที่มีต่อจี้เซียวเจินเหรินรักษาสันติสุขของแดนมนุษย์
“แล้วเจ้ายังไม่ไปอีก? จะรอตายเพื่อหานซานหรือไร” เขาเขย่าขากระวนกระวายพลางเอ่ยวาจาเหน็บแนม “ยามนั้นเพื่อรักษาชีวิต เจ้าถึงรับปากร่วมบำเพ็ญเพียรกับเขา คู่ร่วมบำเพ็ญจอมปลอมเช่นพวกเจ้ายังจะพูดเรื่องความรักแท้จริงอันใด”
เมิ่งเสวี่ยหลี่มิได้ขัดเคือง ตรงข้ามกลับยิ้ม “เจ้าดูข้าให้ดีๆ ร่างกายนี้ องคาพยพมนุษย์ภายใน เส้นเอ็นผิวหนังมนุษย์ภายนอก เลือดเนื้อที่จี้เซียวสร้างขึ้นเพื่อข้า ช่วยข้าถอดรกเปลี่ยนกระดูกหมดสิ้น ยามนี้ข้าเป็นมนุษย์แล้ว จะเอาอะไรไปสร้างญาณอสูร ทำได้ก็แค่เพียงฝึกพลังศักยะของแดนมนุษย์ เริ่มต้นใหม่หมดทุกอย่าง ในเมื่อแดนอสูรถือว่าข้าตายไปแล้ว เช่นนั้นก็ปล่อยให้ข้าตายไปเถอะ เมิ่งเสวี่ยหลี่ต่างหากที่ยังมีชีวิตอยู่”
เชวี่ยเซียนหมิงตะลึงราวกับไม่เชื่อว่าคำพูดดังกล่าวจะหลุดออกมาจากปากอีกฝ่าย
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่เชวี่ยเซียนหมิงก็พึมพำกับตัวเอง “เจ้าไม่คิดล้างแค้นแล้วกระนั้นหรือ ไม่ปรารถนาจะเป็นราชันอสูร ตัดสินใจสละสิ้นทุกอย่าง?”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ไม่ตอบ เขาพูดช้าๆ “วันนี้เจ้าเสี่ยงอันตรายมาที่นี่ ข้าย่อมจดจำใส่ใจ ทว่าข้าติดหนี้ชีวิตจี้เซียว ดังนั้นจึงไม่อาจจากไป”
ลมเหนือคำราม หิมะฟุ้งตลบ นอกรัศมีสามจั้งเมฆหมอกปกคลุมไปทั่ว ไม่อาจมองเห็นเส้นทางไม้คับแคบใต้ฝ่าเท้า
เมิ่งเสวี่ยหลี่ลุกขึ้นยืน “ส่วนที่เจ้าถาม ข้าอยู่แดนมนุษย์ยังมีทางออกอะไรนั้น ข้าเองก็ไม่มีคำตอบ บอกได้เพียง…” เขายิ้ม “มรรคาสามพัน สวรรค์มิตัดหนทางมนุษย์”
“เจ้าเปลี่ยนไปแล้ว” เชวี่ยเซียนหมิงกลับมาเยือกเย็นอีกคราว “ตอนนี้ข้าใคร่อยากรู้ อริยกระบี่จี้เซียวเป็นคนเช่นไร”
เมื่อรวมสองประโยคเข้าด้วยกัน ความหมายที่แฝงอยู่ก็พลันปรากฏชัด เขาคิดว่าจี้เซียวเปลี่ยนแปลงอีกฝ่าย
แม้ในใจเมิ่งเสวี่ยหลี่จะบอกว่าไม่ใช่ แต่เขากลับมิได้โต้แย้ง
“เขาน่ะหรือ เขาเป็นคน…”
เชวี่ยเซียนหมิงเตรียมฟังอีกฝ่ายร่ายพล่ามยาวเหยียด บรรยายบุญคุณความแค้นยิบย่อยที่มีต่อจี้เซียว
เมิ่งเสวี่ยหลี่ขยับปากหลายต่อหลายครั้ง ทว่าวาจากลับติดอยู่ในลำคอ กล่าวออกมาได้แค่เพียงห้าพยางค์
“เป็นคนดีคนหนึ่ง”
คำตอบดังกล่าวทำเอาเชวี่ยเซียนหมิงนึกอยากสบถด่ามารดาอีกฝ่าย
คนดีคืออะไร
หนึ่งกระบี่เหินไกลสามพันหลี่ ปราบมารร้ายภูตผีสูญสลายเฉกเถ้าถ่านเป็นคนดี ประคองคนชราที่ล้มอยู่กลางถนน ช่วยเด็กที่ถูกอันธพาลรังแกก็นับเป็นคนดีเช่นกัน
ทว่าฝ่ายแรกมักถูกเรียกขานให้เป็นบุพพาจารย์ นักพรต จอมเวท อริยกระบี่…ฉายานามน่าเลื่อมใสต่างๆ มากมาย
มีก็แต่คนธรรมดาสามัญที่ไม่ทำอะไรย่อมไม่มีที่ให้ชื่นชมยกย่อง โชคดีที่ไม่เคยทำผิดใหญ่หลวง ดังนั้นยามที่ผู้คนพูดถึงอาจเอื้อนเอ่ยเลอะเลือนออกมาว่า ‘อย่างน้อยก็เป็นคนดีคนหนึ่ง’
เชวี่ยเซียนหมิงตะลอนอยู่ในแดนมนุษย์เนิ่นนาน คุ้นเคยกับประเพณีของพวกมนุษย์ดี จึงมิให้ค่าให้ราคาอันใดกับถ้อยความดังกล่าว
เมิ่งเสวี่ยหลี่คิดอยู่ในใจ การขึ้นเป็นสุดยอดอริยกระบี่มิใช่ง่าย แต่การเป็นทั้งอริยกระบี่และคนดีในเวลาเดียวกันกลับยากยิ่งกว่าหลายร้อยเท่า
เหตุผลคืออะไร เขาคิดใคร่ครวญอยู่บนยอดเขาฉางชุนนานสามปีถึงค่อยๆ เข้าใจ
เขาตบไหล่ผู้เป็นสหาย “ไปเถอะ ข้าจะไปส่งเจ้าอีกสักระยะ แม้นมีวาสนาพวกเราคงได้พบพานกันในแดนมนุษย์อีก”
ขณะที่เชวี่ยเซียนหมิงกำลังจะเอ่ยปากพูด จู่ๆ เขาก็หยุดนิ่ง เสียงฝีเท้าแผ่วเบาจนไม่อาจได้ยินดังขึ้นอยู่กลางพายุหิมะ
เมิ่งเสวี่ยหลี่ขยับริมฝีปากบอก “มีคน”
ยามนี้ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเชวี่ยเซียนหมิงฉับไวกว่าเขามากนัก ครั้นพบว่าผู้ที่มานั้นมาเพียงลำพัง ซ้ำญาณบำเพ็ญต้อยต่ำ เขาก็มินึกสนใจ อาศัยใบหน้าของนักพรตน้อยก้มหน้าก้มตาเดินตามหลังห่างจากเมิ่งเสวี่ยหลี่สองก้าว
เมิ่งเสวี่ยหลี่ประคองเตาอุ่นมือไว้เหนืออก เงยหน้าเล็กน้อย ย่ำเท้าออกเดินด้วยอากัปกิริยาสมกับเป็นคู่ร่วมบำเพ็ญของจี้เซียว
เสียงฝีเท้าจากอีกฟากดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ บนทางโค้งเหนือเส้นทางไม้คับแคบ คนทั้งสองพบเจอกันระหว่างทาง
การเผชิญหน้ากันอย่างกะทันหันทำให้เด็กน้อยในอาภรณ์นักพรตสะดุ้ง อุทานเสียงแผ่ว “อ้าว อา…อาวุโสเมิ่ง เมื่อสักครู่ท่านเจ้าสำนัก…”
เชวี่ยเซียนหมิงช้อนตาขึ้นมอง บังเอิญจริงๆ เด็กน้อยคนนี้มิใช่นักพรตน้อยแห่งยอดเขาฉางชุนหรือไร ขี้ขลาดจริงๆ ด้วย…แย่แล้ว! ตอนนี้หน้าข้าคือใบหน้าของเขา!
เมิ่งเสวี่ยหลี่เปล่งเสียงเตือน ทว่ากลับช้าไปเสียแล้ว
ใบหน้าที่เหมือนกันราวกับแกะของคนสองคน ดวงตาทั้งสี่สอดประสาน
“เจ้า!”
หลิวเสี่ยวไหวดวงตาเบิกกว้าง สะท้อนภาพตนเองอีกคนหนึ่ง
นักพรตน้อยหายใจไม่ทัน ตาสองข้างเหลือกค้าง สิ้นสติไปทันที
เชวี่ยเซียนหมิงตกใจทำอะไรไม่ถูก “ไม่เคยนึกมาก่อนว่าจะมีคนถูกข้าฆ่าปิดปากอยู่บนหานซานเช่นนี้ เขามันโชคร้ายจริงๆ!”
โปรดติดตามตอนต่อไป…