everY
ทดลองอ่าน กระบี่คู่หานซาน เล่มที่ 1 บทที่ 4 #นิยายวาย
“อาวุโสเมิ่งยังมาไม่ถึงอีกหรือ” เจ้าสำนักหานซานกระซิบถามหัวหน้าฝ่ายการกิจ
หัวหน้าฝ่ายการกิจเอ่ยตอบ “ข้าส่งคนไปเชิญแล้ว”
ที่ลานนอกศาลบรรพชน ศิษย์ฝ่ายในพันกว่าคนสวดคัมภีร์เต๋าจบแล้ว ถึงคราวแขกเหรื่อในศาลบรรพชนร่วมแสดงความเสียใจตามลำดับ
หัวหน้าฝ่ายการกิจรู้สึกวิตกกังวล อาวุโสเมิ่งอายุยังน้อย หนำซ้ำเพียรบำเพ็ญก็ตื้นเขินไม่ลึกซึ้ง ต้องรับมือกับพิธียิ่งใหญ่เช่นนี้อาจตกประหวั่นได้ง่าย ทว่าเขาเป็นญาติสนิทเพียงหนึ่งเดียวของจี้เซียวเจินเหริน ไม่มีเหตุผลที่จะไม่มาจุดธูปสักการะ จึงหวังว่าจะไม่เกิดเรื่องขัดข้องอันใดขึ้น
“อาวุโสเมิ่งมาถึงแล้ว…” ขณะกำลังพูด ผู้รับใช้หนุ่มรายหนึ่งก็ตะโกนแจ้งข่าวเสียงดัง
หลังจัดการเรื่องยุ่งยากบนทางเขาเรียบร้อย เมิ่งเสวี่ยหลี่ก็เร่งเดินทาง มวยผมยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบอยู่เล็กน้อย ลมหายใจหรือก็ไม่สงบนิ่ง ท่าทางน่าเวทนาดั่งประโยคที่ว่า ‘คู่ร่วมบำเพ็ญสิ้นอายุขัย คนที่ยังอยู่อกสั่นขวัญแขวน’
ศาลบรรพชนหานซานเป็นอารามสูงใหญ่ อบอวลไปด้วยกลุ่มควัน แสงเทียนหรุบหรู่
ปลายสุดของศาลบรรพชน ผนังทั้งผืนเต็มไปด้วยป้ายวิญญาณบรรพชน ประหนึ่งเจดีย์สูงตระหง่านสลับทับซ้อนน่าเกรงขามเลื้อยลามขึ้นไปถึงเพดาน ราวกับป้ายชื่อเหล่านั้นกำลังค้อมมองดูผู้คนอยู่ท่ามกลางควันธูปเปลวเทียน
ทันทีที่เมิ่งเสวี่ยหลี่ก้าวผ่านธรณีประตูเข้าไป สายตานับร้อยก็หันมาจับจ้องอยู่บนร่างเขาทันที เพราะไม่รู้ว่าตัวเองควรไปทางใดต่อเมิ่งเสวี่ยหลี่จึงได้แต่หยุดนิ่งอยู่กับที่
เจ้าสำนัก ประมุขยอดเขาแต่ละแห่ง รวมถึงผู้อาวุโสที่แยกยืนอยู่ในศาลบรรพชนตลอดสองฟากคือเจ้าภาพ
ส่วนตำแหน่งยืนของสำนักต่างๆ กลางศาลบรรพชนกลับแตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด อาภรณ์บนร่างแม้จะแตกต่างกันแต่มิได้ดูยุ่งเหยิง พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นแขก
มีเพียงเขาเท่านั้นที่ราวกับอยู่ผิดที่ผิดทาง ครึ่งเจ้าภาพครึ่งแขก ถูกผู้คนจับจ้องชวนอึดอัด
ทว่าเมิ่งเสวี่ยหลี่กลับไม่รู้สึกขัดเขิน ขณะกำลังคิดจะทักทายกับทุกคน สามปีตัดขาดจากโลก ยามนี้ไม่ว่าเห็นผู้ใดเขาก็ล้วนอยากสานสัมพันธ์ด้วย
“เสวี่ยหลี่ มาแล้วหรือ ได้โปรดระงับความโศกเศร้า”
ทุกคนต่างแหวกช่องออกเป็นทาง ชายชราใบหน้าผ่ายผอมท่วงท่ากระฉับกระเฉงในอาภรณ์ยาวสีขาวเดินตรงเข้ามาหาเขา
เมิ่งเสวี่ยหลี่พยักหน้าแสดงคารวะตอบ “เจินเหรินเจ้าสำนัก”
พอประมุขยอดเขาคนอื่นๆ เห็นเช่นนั้นก็เดินขึ้นหน้าแสดงคารวะเช่นกัน หลังจากนั้นก็นำเขาเดินเข้าไปด้านใน ณ ที่แห่งนี้เวลานี้ในสายตาคนนอก ใบหน้าของเขาก็คือใบหน้าของจี้เซียว
เมิ่งเสวี่ยหลี่มาได้เวลาพอดี แขกเหรื่อทั้งหลายร่วมแสดงความเสียใจเสร็จสิ้น พิธีดำเนินมาใกล้ถึงจุดสุดท้าย ตัวแทนแต่ละสำนักเดินทางไกลนับหมื่นหลี่แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่เพียงเพื่อจุดธูปสักการะ พวกเขายังมีปัญหามากมายต้องการปรึกษากับสำนักกระบี่หานซาน
ครั้นเห็นเรื่องต่างๆ จัดการได้เป็นที่เรียบร้อย ขณะเตรียมเอ่ยปากถาม ยอดฝีมือแห่งหานซานกลับทยอยเดินไปที่หน้าประตู ต้อนรับคุณชายน้อยในอาภรณ์หรูหราผู้หนึ่ง
คุณชายผู้นั้นสวมอาภรณ์ไหมทอดิ้นสีม่วงอ่อน ด้านนอกคือเสื้อคลุมตัวยาวสีเงินมีหมวกเชื่อมติดอยู่ ที่โอบไว้ในมือคือเตาอุ่นมือวิจิตรประณีต ขนสีขาวที่ระบายอยู่ชายขอบอาภรณ์เสื้อคลุมขับดุนผิวงามดั่งหยกและคิ้วตางดงามละเอียดอ่อนของเขา
ทุกจังหวะย่างก้าวของอีกฝ่ายเปลี่ยนศาลบรรพชนที่ขมุกขมัวเคร่งขรึมให้สว่างไสวพร่างพราวขึ้นมาฉับพลันราวกับต้องแสงหิมะ
บรรยากาศยังคงสงบนิ่ง ทว่าขณะเดียวกันก็มีผู้คนไม่ใช่น้อยเริ่มถ่ายเสียงพูดคุยกัน
“ท่าทางน่าเกรงขามยิ่งนัก ไม่รู้ว่าอาวุโสท่านนี้คือผู้ใด”
“เขาก็คือคู่ร่วมบำเพ็ญของจี้เซียวเจินเหริน ว่ากันตามลำดับอาวุโสแล้ว เขามีศักดิ์เท่าเทียมกับเจ้าสำนักหานซาน สูงกว่าพวกเราขั้นหนึ่ง”
“ที่แท้ก็เขานี่เอง เมิ่งเสวี่ยหลี่ ได้ยินว่าสามปีก่อนเขาดึงปราณเข้าร่าง ยามนี้…นับว่าไม่เลว ฝึกปราณได้สมบูรณ์ดีแท้”
“ไม่เลวตรงที่ใด มีจี้เซียวเจินเหรินอยู่ ซ้ำยังมีโอสถวิเศษให้กินทุกวัน ต่อให้เป็นคนธรรมดาก็สามารถฝึกปราณได้”
“พูดให้น้อยๆ หน่อย ยังไงตอนนี้เขาก็จัดเป็นผู้น่าสงสาร”
สำหรับโลกผู้บำเพ็ญพรตแล้วเมิ่งเสวี่ยหลี่นับเป็นกรณีพิเศษ เขาไม่ต้องบำเพ็ญเพียรอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ต้องพิสูจน์คุณค่าของตนเองต่อสำนัก ไม่ต้องทำงานแย่งชิงทรัพยากรที่ใช้ในการบำเพ็ญเพียรกับผู้ใด คู่ร่วมบำเพ็ญร่วมโชคชะตาเดียว จี้เซียวย่อมมีวิธียืดอายุขัยให้เขา ไม่แน่ว่าภายหน้าอาจพาเขาขึ้นสวรรค์ไปด้วยกัน
การมีตัวตนอยู่ของเขาทำให้เรื่อง ‘รางวัลตอบแทนความพยายามจากสวรรค์’ กลายเป็นเรื่องน่าขบขัน
ยามนั้นหลังพิธีร่วมคู่บำเพ็ญสิ้นสุด ทุกคนก็ต่างพากันพูดถึงเขา ส่วนใหญ่ล้วนบอกว่า ‘งามก็งามอยู่ น่าเสียดาย…’
น่าเสียดายที่เป็นแค่สิ่งมีชีวิตธรรมดาทั่วไปเท่านั้น เทียบกับจี้เซียวที่มีลักษณะท่าทางสูงส่งแล้ว เมิ่งเสวี่ยหลี่หน้าตาท่าทางกลับดูธรรมดาเกินทน ทำให้สง่าราศีของจี้เซียวเจินเหรินต้องมัวหมอง คนพวกนั้นพูดเพียงครึ่งแรกเท่านั้น ครึ่งหลังแม้ไม่พูดทุกคนก็ต่างรู้แก่ใจดี
เรือนพำนักของผู้อื่นปลูกต้นสนไผ่เขียวอันเป็นตัวแทนของความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี ทว่าเมิ่งเสวี่ยหลี่กลับปลูกดอกไม้ธรรมดาๆ อย่างต้นจินซือเถา ยอดเขาของผู้อื่นเลี้ยงกระสาวิหคเซียน เมิ่งเสวี่ยหลี่กลับเลี้ยงปลาไนที่สื่อความหมายถึงการเปลี่ยนชะตาชีวิต อีกทั้งยังเลี้ยงหนูผีเก็บทรัพย์ไว้บอกว่าแสวงหาเงินทองสมบัติ สภาวการณ์ของหานซานทั้งหมดถูกเขาลากลงต่ำหมดสิ้น
ทว่ายามนี้เมื่อพูดถึงเขากลับไม่มีใครนึกอิจฉาริษยาเหมือนเก่าก่อนอีก จะเหลือก็แต่เพียงความรู้สึกสับสนปนเประคนอยู่ระหว่างความรู้สึกสงสารทอดถอนใจกับความรู้สึกยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่น ราวกับภายหน้าต้องได้เป็นประจักษ์พยานในจุดจบอันน่าเวทนาของเขาแน่
โปรดติดตามตอนต่อไป…