everY
ทดลองอ่าน กระบี่คู่หานซาน เล่มที่ 1 บทที่ 5 #นิยายวาย
บทที่ 5 อุษาไร้เขตขัณฑ์
“อาวุโสเมิ่ง ได้โปรดระงับความโศกเศร้า รักษาสุขภาพด้วย”
“จี้เซียวเจินเหรินถึงแก่มรณกรรม ผู้คนบนโลกล้วนโศกเศร้า พวกเราเดินทางมาที่นี่เพื่อแสดงความเสียใจ หวังว่าเขาจะเดินทางไปสู่สัมปรายภพอย่างสงบ”
หลังเมิ่งเสวี่ยหลี่จุดธูปแสดงคารวะเสร็จ ตัวแทนสำนักอื่นๆ ก็ทยอยเดินขึ้นหน้าเข้ามาแสดงความเสียใจต่อญาติสนิทเพียงหนึ่งเดียวของจี้เซียวเจินเหริน
เมิ่งเสวี่ยหลี่เผชิญหน้ากับเหล่าผู้อาวุโสที่มีอายุมากกว่าเขาหลายสิบเท่า เพียรบำเพ็ญสูงส่งไปถึงไหนต่อไหนอย่างไม่สะทกสะท้าน เจอคนรู้จักคุ้นเคยเขาก็ทักทายโอภาปราศรัยมากหน่อย หากไม่รู้จักเขาก็สังเกตตัดสินฐานะอีกฝ่ายจากเสื้อผ้าวาจาน้ำเสียง มารยาทอันใดล้วนครบถ้วนรอบด้าน คำพูดคำจาไม่มีเผลอไผลพลั้งปาก
ทุกคนในหานซานต่างแอบถอนหายใจโล่งอก นี่ถือเป็นครั้งแรกที่พวกเขามองดูคู่ร่วมบำเพ็ญของจี้เซียวได้อย่างไม่ขัดหูขัดตา เจ้าสำนักรู้สึกปลาบปลื้ม ถ่ายเสียงกล่าวกับเขา “ลำบากเจ้าแล้ว”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ตะลึงงัน เรื่องนี้มีอะไรลำบากกัน กลัวก็แต่ละครยังไม่ทันเบิกโรง บทละครสามปีของข้าจะกลับกลายเสียเปล่าก็เท่านั้น
เขาหันมองไปยังป้ายวิญญาณของจี้เซียวที่ตั้งอยู่ด้านบน ทว่าสายตากลับถูกคนผู้หนึ่งบังขวางไว้
คนที่มาสวมอาภรณ์หลวงจีนสีเหลือง ใบหน้าวัยกลางคน ท่าทางอ่อนโยน “อาวุโสเมิ่งมาได้เวลาพอดี อาตมามีเรื่องใคร่ขอคำชี้แนะ”
เมิ่งเสวี่ยหลี่แสดงคารวะน้อยๆ “มิกล้า เชิญสมณะกล่าวมาเถิด”
สมณะคนดังกล่าวพูดขึ้นช้าๆ “อริยกระบี่ถึงแก่มรณกรรม ‘กระบี่อุษาไร้เขตขัณฑ์’ ของเขาอยู่ที่ใด”
ทันทีที่พูดจบ บรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นเงียบสงัดขึ้นมาทันใด
ไม่ว่าจะเจ้าภาพหรือแขก ในใจของทุกคนต่างรู้ดี วันนี้อย่างไรก็ต้องมีการพูดถึงกระบี่อุษาไร้เขตขัณฑ์แน่ เพียงแต่ไม่มีใครนึกถึงว่าอารามหนานหลิงซือที่ไม่ข้องแวะกับทางโลกจะถามออกมาเรียบง่ายตรงประเด็นเช่นนี้
เมิ่งเสวี่ยหลี่หน้าไม่เปลี่ยนสี “มันเป็นของต่างหน้าของคู่ร่วมบำเพ็ญข้า เช่นนั้นย่อมต้องอยู่บนยอดเขาฉางชุน”
ร้อยปีก่อนหมู่มารบุกแดนมนุษย์ หกสำนักใหญ่ทุ่มเทกำลังหลอมอาวุธวิเศษมอบมันแก่จี้เซียวให้เขาใช้รักษาสันติ
พวกเขาใช้เหล็กอุกกาบาตของหมิงเยวี่ยหูเป็นวัตถุดิบ ใช้หินเหล็กไฟกลางแดนดินของเป่ยหมิงซานจุดไฟ ใช้ไม้ศักดิ์สิทธิ์ของซงเฟิงกู่เป็นเชื้อไฟ ใช้น้ำพุวิเศษของหนานหลิงซือชุบไฟกระบี่ มีตราเวทของอู้อิ่นกวนประทับไว้บนตัวกระบี่ ยอดฝีมือจากทุกสำนักต่างมาชุมนุมกันอยู่ที่ผาเจียเทียน ดูจี้เซียวเจินเหรินเปิดเตาหลอมด้วยตนเอง
ตอนสร้างกระบี่สำเร็จโลกหล้ากำลังวุ่นวายด้วยภัยสงคราม ท่ามกลางเหตุร้ายโถมถา ไม่มีผู้ใดเคยคิดมาก่อนว่าหากจี้เซียวไม่อยู่แล้ว กระบี่เล่มนี้จะไปอยู่ที่ใดหรือควรกลับสู่มือผู้ใด
โลกผู้บำเพ็ญพรตมีคำพูดประโยคหนึ่งกล่าวเอาไว้ว่า ‘จี้เซียวตระหง่านเหนือหานซาน ห่างสวรรค์เพียงสามฉื่อ
สาม’ หมายถึงจี้เซียวบำเพ็ญเพียรบรรลุขั้นสูงสุด ยืนอยู่เหนือยอดเขาหานซาน ห่างจากนภาครอบปฐพีเพียงเอื้อม ส่วนกระบี่วิเศษของเขาที่ชื่อ ‘อุษาไร้เขตขัณฑ์’ ตัวกระบี่ก็ยาวสามฉื่อสามพอดีเช่นกัน
จากความเข้าใจเดิมของทุกคน จี้เซียวจะเป็นเจ้าของมันไปตราบนิรันดร์ ไม่ต่างอันใดกับตะวันที่แขวนตัวอยู่เหนือท้องนภา สายธาราที่ไหลลงสู่มหานที
บรรยากาศภายในศาลบรรพชนเปลี่ยนแปลงลึกล้ำ เมิ่งเสวี่ยหลี่สัมผัสได้ถึงสายตาเฉียบคมที่กำลังจับจ้องอยู่บนร่าง เขามองกลับไป ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูงผู้หนึ่งกำลังจ้องเขาเขม็ง
“อาวุโสเมิ่งอาจมิรู้ กระบี่เล่มนี้หกสำนักใหญ่ร่วมหล่อหลอม ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นของต่างหน้าที่คู่ร่วมบำเพ็ญของท่านทิ้งเอาไว้ให้”
ชายคนดังกล่าวสวมอาภรณ์ผู้ฝึกกระบี่สีครามเข้ม สะพายกระบี่โบราณเล่มหนึ่งไว้บนหลัง สีหน้าเรียบเฉย
เมิ่งเสวี่ยหลี่แสดงคารวะ “ที่แท้ก็อาวุโสแห่งหมิงเยวี่ยหู”
ได้ยินเช่นนั้นผู้คนบนหานซานก็ไม่พึงใจขึ้นมาเล็กๆ เจ้าสำนักเพียงกล่าววาจาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ยามนั้นพวกเราร่วมหลอมกระบี่ ชั่วชีวิตของจี้เซียวจับกระบี่ทำศึกเพื่อผู้คนทั่วหล้าจวบจนวันสุดท้าย ท่านมีอันใดไม่ยินยอมกระนั้นหรือ”
ผู้อาวุโสแห่งหมิงเยวี่ยหูไม่คิดเช่นนั้น เขากลับเอ่ยวาจาอย่างทระนงว่า “คนตายก็ส่วนคนตาย ข้านับถือจี้เซียว แต่ไม่นับถือหานซาน”
สานุศิษย์สำนักหมิงเยวี่ยหูในอาภรณ์สีครามกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังเขา ประจันหน้าคุมเชิงอยู่เลาๆ กับสานุศิษย์หานซานในอาภรณ์สีขาว
เจ้าสำนักหานซานกล่าวอย่างเย็นชา “อาวุธวิเศษสิ้นผู้เป็นเจ้าของ หานซานเองก็ใช่ว่าจะละโมบอยากครอบครองของวิเศษ ในเมื่อไม่มีผู้ใดเหมาะกับกระบี่เล่มนี้ เช่นนั้นมิสู้ทำลายมันทิ้งเสีย!”
แค่เพียงครู่ สีหน้าของผู้คนในศาลบรรพชนก็ต่างกลับกลาย
สมณะแห่งอารามหนานหลิงซือยิ้มกล่าว “อุษาไร้เขตขัณฑ์ติดตามจี้เซียวเจินเหรินนานปี ปักใจเลือกผู้เป็นนายนานเนิ่นแล้ว ไหนเลยจะยอมถูกผู้อื่นควบคุมเรียกใช้ สำนักอื่นได้กระบี่ไปก็ใช่ว่าจะใช้มันได้ ตามความคิดเห็นของอาตมา ทางอารามคิดว่าควรนำกระบี่นี้กลับไปหลอมใหม่ สร้างเวทศัสตราขึ้นมาหกชิ้น แบ่งให้กับสำนักทั้งหก เช่นนี้ย่อมเป็นการดีต่อทุกฝ่าย”
เหล่าบรรพชิตที่อยู่รอบกายเขาต่างขานนามพระพุทธองค์ขึ้นพร้อมกัน เสียงกล่าวอมิตาภพุทธดังขึ้นติดๆ
สานุศิษย์หนุ่มจำนวนมากไม่เข้าใจว่าเรื่องราวแท้จริงเป็นเช่นไร บ้างก็ถ่ายเสียงถามพรรคพวกข้างกาย “อารามหนานหลิงซือคิดจะทำอะไรกันแน่ เป็นคนก่อเรื่องขึ้นคนแรกแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับเอ่ยปากแทนหานซาน”
“กระบี่อยู่ในมือผู้ใดล้วนไม่เกี่ยวอันใดกับเหล่าบรรพชิต ทว่าพวกเขาเพียงไม่ปรารถนาจะเห็นหกสำนักต้องห้ำหั่นกันเองเพียงเพื่ออาวุธวิเศษจนผู้คนทั่วหล้าต้องแปดเปื้อนไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ถึงได้ยอมออกหน้าไกล่เกลี่ย ‘ใต้หู เหนือซาน’ จะได้ยอมถอยกันคนละก้าว…น่าเสียดายใจคนแค่ผืนหนังกั้น ผู้ออกบวชไร้ลุ่มหลง เกรงก็แต่ผู้อื่นหายินดีไม่”
“ไต้ซือ กล่าวเช่นนี้หาได้ถูกต้องไม่” ผู้อาวุโสแห่งสำนักอู้อิ่นกวนกล่าว “อาวุธวิเศษสร้างสำเร็จ นั่นย่อมเป็นสิ่งที่สวรรค์ประทานให้ พวกเราทุ่มเทเลือดเนื้อแรงกายแรงใจหลอมกระบี่ จะทำลายง่ายๆ ได้เช่นไร หลอมขึ้นใหม่ทำลายสิ่งของตามอำเภอใจ ต่อให้กระบี่อุษาไร้เขตขัณฑ์ไม่ออกจากฝัก อย่างไรก็เป็นอาวุธวิเศษ มีพลังของมันควบคุม ไม่ว่าค่ายเวทใดๆ ย่อมมีอานุภาพเพิ่มพูนหลายสิบเท่า…”
สำนักอู้อิ่นกวนไม่ใช้อาวุธ ทำเพียงศึกษามรรคาเวทสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนต่างรู้ดีว่าที่อีกฝ่ายพูดนั้นล้วนเป็นความจริง
ผู้อาวุโสเขาเป่ยหมิงซานเอ่ยขึ้นว่า “หากอริยกระบี่มีศิษย์สืบทอดวิชา เช่นนั้นกระบี่เล่มนี้ย่อมสมควรส่งต่อให้ผู้เป็นศิษย์ แต่ต่อให้ไม่มี ขอเพียงเขากล่าวมาคำเดียว กระบี่เล่มนี้ก็สมควรตกสู่คนผู้นั้น ถึงตอนนั้นเป่ยหมิงซานของข้าย่อมยินยอมพร้อมใจไม่มีคำพูดอื่นใดอีก! ทว่าอริยกระบี่เคยเอ่ยปากเรื่องนี้หรือไม่”
แม้หานซานจะได้เปรียบที่เป็นเจ้าบ้าน แต่พวกเขาก็ไม่ปรารถนาที่จะแตกหักกับสำนักอื่นๆ พร้อมกันเป็นจำนวนมาก ถึงพวกเขาจะคิดว่าตนมีเหตุผลมากมายที่สามารถอ้างได้ แต่ก็ไม่มีผู้ใดอยากได้ชื่อว่ารบกวนดวงวิญญาณของจี้เซียว