everY
ทดลองอ่าน กระบี่คู่หานซาน เล่มที่ 1 บทที่ 5 #นิยายวาย
บรรยากาศในศาลบรรพชนตึงเขม็งราวกับเกาทัณฑ์ที่ขึ้นสายทาบลูกธนูรออยู่ก่อนแล้ว ขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังยืนประจันหน้ากัน จู่ๆ ก็มีใครบางคนพูดขึ้น
“ช้าก่อน”
น้ำเสียงกังวานใส ทุกคนเพ่งตามอง ที่แท้ก็คู่ร่วมบำเพ็ญอายุน้อยของจี้เซียวผู้นั้น
ไม่มีใครคาดคิดว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เขาจะกล้าปริปากพูด
สายตาของทุกคนจับจ้องไปยังคุณชายน้อยในอาภรณ์ผ้าดิ้น ใบหน้าซีดขาวคล้ายกำลังหวาดหวั่นผู้นั้น
“ข้าบำเพ็ญเพียรคู่กับเขา เขาเคยทิ้งถ้อยคำสั่งเสียไว้จริงๆ ว่า…หลังเขาบรรลุมรรคผลขึ้นสู่แดนสวรรค์ กระบี่เล่มนี้จะมอบมันให้กับอนุชนรุ่นหลังที่มีฝีมือโดดเด่น พวกท่านต่างเป็นความหวังและอนาคตของแดนมนุษย์ กระบี่วิเศษมอบให้ผู้กล้าผู้มีความสามารถ มิจำกัดอยู่ที่พรรคใดสำนักใด”
มีคนคิด หรือว่าหานซานเตรียมการจัดการไว้ก่อนแล้ว
ทว่าพวกเขากับเจ้าสำนักต่างมีสีหน้าตะลึงพรึงเพริด ถามอย่างประหลาดใจ “วาจานี้จริงแท้กระนั้นหรือ”
“แน่นอน ข้าขอสาบานด้วยเกียรติของคู่ร่วมบำเพ็ญของข้า”
ทันทีที่เขากล่าวจบ เสียงก้องกังวานของใครบางคนก็ดังขึ้น “ในเมื่อเจินเหรินพูดเองว่าไม่จำกัดพรรคใดสำนักใด เช่นนั้นพวกเราก็สมควรทำตามคำสั่งเสียของเขา!”
เมิ่งเสวี่ยหลี่เอ่ยขึ้น “คู่ร่วมบำเพ็ญของข้าเคยกล่าวไว้ ยามนั้นเขาตั้งกฎแดนสนธยาฮั่นไห่ไว้ก็เพื่อคัดเลือกอนุชนรุ่นหลังผู้มีความสามารถ”
ผู้คนบนหานซานต่างมีสีหน้าซับซ้อน เจ้าสำนักถอนหายใจกล่าว “ที่อยู่ในใจของจี้เซียวคือทั่วหล้า ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นถ้อยคำสั่งเสียที่เขาเคยกล่าวไว้จริงๆ”
หกสำนักใหญ่ต่างไม่มีใครยอมใคร เดิมสำนักหานซานเตรียมการทำลายกระบี่ไว้ก่อนหน้าแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ จะมีทางเลือกให้ตัดสินว่ากระบี่วิเศษควรอยู่ในมือผู้ใดอย่างเปิดเผยยุติธรรมเกิดขึ้นอีกหนึ่งทาง
ร้อยปีก่อนหลังศึกระหว่างมนุษย์และมารสิ้นสุด จี้เซียวมิปรารถนาจะเห็นมนุษย์ขัดแย้งกันเอง จึงกำหนดให้ทุกๆ ยี่สิบปีใช้แดนสนธยาฮั่นไห่เป็นลานประลอง โดยมีสานุศิษย์ฝีมือโดดเด่นของสำนักต่างๆ เข้าร่วม
ในที่สุดพวกเขาก็ตกลงยึดเอาการประลองเป็นตัวตัดสินแบ่งทรัพยากรที่ใช้ในการบำเพ็ญเพียร รวมถึงธาตุวัตถุล้ำค่าไร้เจ้าของ สิทธิ์ในการขุดเหมืองศิลาศักดิ์สิทธิ์และอื่นๆ ทุกยี่สิบปี
ด้วยชื่อเสียงบารมีของจี้เซียว ไม่มีผู้ใดไม่ทำตาม การต่อสู้ทำร้ายกันเองในโลกมนุษย์ลดลง ‘การประลองแดนสนธยาฮั่นไห่’ ก็มีสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
เจ้าสำนักหานซานประกาศก้อง “ทุกท่าน การประลองในครั้งถัดไปจะจัดขึ้นในวสันต์แรกของปีหน้า ถึงยามนั้นหานซานยินดีมอบ ‘อุษาไร้เขตขัณฑ์’ เป็นรางวัลให้แด่ผู้ชนะ!”
บรรยากาศเคร่งขรึมถูกทำลาย แต่ละสำนักต่างพากันส่งเสียงเกรียวกราว
“ทำเช่นนี้ไม่เร่งรีบทำลวกๆ ไปหน่อยหรือไร”
“หานซานตัดใจได้จริง…”
ก่อนหน้านี้เพื่อกระตุ้นให้คนหนุ่มสาวเข้าร่วมการประลอง ทางสำนักเองก็ได้นำโอสถนำของวิเศษต่างๆ มาเป็นรางวัล ทว่าเรื่องในวันนี้มิใช่เรื่องล้อเล่น ผู้ชนะจะได้รับสืบทอดอาวุธวิเศษของจี้เซียว กระบี่อุษาไร้เขตขัณฑ์ที่เป็นหนึ่งไม่มีสอง
“สามี!” จู่ๆ เมิ่งเสวี่ยหลี่ก็เดินออกมาจากฝูงชน แสดงคารวะต่อหน้าป้ายวิญญาณของจี้เซียว “ความปรารถนาของท่านบรรลุแล้ว ขอท่านพี่ไปสู่สุคติเถิด”
เห็นเขาท่าทางโศกเศร้ารันทด สองตาเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา รูปร่างแบบบางเซทรุดเจียนล้มเช่นนั้น ทุกคนก็ต่างพากันนิ่งเงียบพูดอะไรไม่ออก
เมิ่งเสวี่ยหลี่คิด โชคดีที่เซียนหมิงไม่อยู่ที่นี่ หาไม่แล้วเขาต้องถ่มน้ำลายรดหน้าข้าเป็นแน่
“จี้เซียว ก่อนไปท่านบอกว่ากลับมาครานี้จะมอบของขวัญให้ข้าชิ้นหนึ่ง ใครจะไปรู้ว่าพบกันครานั้นจะเป็นการจากลาแยกกันอยู่คนละภพ ของขวัญอันใดข้าล้วนมิต้องการ ขอแค่ความคิดคำนึงให้ข้าเท่านั้นก็พอ…”
ถ้อยความที่เขาเอ่ยออกมาแม้จะฟังดูไร้เดียงสา แต่ด้วยความที่เขาอายุยังน้อย ท่าทีไร้เดียงสาที่เผยออกมาให้เห็นกลับทำให้ทุกคนต่างพากันซาบซึ้ง
เหล่าผู้อาวุโสบนเขาหานซานล้วนแอบนึกทอดถอนใจ เจ้าสำนักเองก็รู้สึกรันทด ยามนี้สหายเก่าของหานซานรวมตัวอยู่พร้อมหน้า ร่วมขานขับบทความไว้อาลัยชั้นยอดบทแล้วบทเล่า ทว่าหากจะพูดถึงว่าผู้ใดระทมทุกข์เพราะการจากไปของจี้เซียวด้วยใจแท้จริงไร้สิ้นความคิดอื่นแอบแฝงแล้วล่ะก็ เกรงว่าจะมีจำนวนแค่เพียงนับนิ้วเท่านั้น คู่ร่วมบำเพ็ญไม่เป็นโล้เป็นพายของจี้เซียวผู้นี้นับเป็นผู้มีความจริงใจสูงสุด น่าเวทนาเป็นที่สุด
ทว่าเขากลับได้ยินเมิ่งเสวี่ยหลี่กล่าว “ข้ายินดีเข้าร่วมการประลองฮั่นไห่ในปีหน้า หากสามารถชนะเอากระบี่ประจำกายของท่านกลับมาได้ การบำเพ็ญเพียรของท่านข้าย่อมไม่สูญเปล่า”
เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกคราว เจ้าสำนักรีบเดินขึ้นหน้าประคองเมิ่งเสวี่ยหลี่ลุกขึ้น กระซิบตำหนิเขาเบาๆ “เหลวไหล การประลองหาได้ง่ายดายอย่างที่เจ้าคิดไม่ หากแต่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย” ผู้อาวุโสแห่งเขาหานซานรีบพยายามแก้ไขสถานการณ์ “อาวุโสเมิ่งเพียงพลั้งเผลอชั่วครู่เท่านั้น ไม่อาจนับเป็นจริงได้”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ยิ้มรันทดออกมาคราหนึ่ง “คู่ร่วมบำเพ็ญข้าสิ้นชีพมรรคาสูญ ข้าตามเขาไปอีกคนแล้วจะเป็นอย่างไร”
แขกเหรื่อทั้งหลายต่างวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา ลืมแม้แต่จะผ่อนเสียงพูดคุยกัน
“เพียรบำเพ็ญของเขาอ่อนด้อย แต่ใจคอกลับเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ มิเสียแรงที่อริยกระบี่เอ็นดูเขายิ่งนัก”
“เหตุใดต้องเอาชีวิตไปทิ้งเปล่าๆ ด้วย ข้าได้ยินว่าตลอดสามปีเขาไม่เคยย่างเท้าออกจากยอดเขาฉางชุนแม้เพียงก้าว มิน่าถึงไร้เดียงสาโง่งมเช่นนี้”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ไม่หวั่นไหว เขายืนตัวตรง สายตาจับจ้องอยู่ที่ป้ายวิญญาณของจี้เซียว “หากวิญญาณบนสวรรค์ของท่านรับรู้ ได้โปรดเป็นพยานให้ข้าด้วย!”
โปรดติดตามตอนต่อไป…