everY
ทดลองอ่าน กระบี่คู่หานซาน เล่มที่ 2 บทที่ 2 #นิยายวาย
ออดอ้อนฉอเลาะ
“อะไรนะ จิงตี๋ถูกผู้ใดทำร้าย!” เมิ่งเสวี่ยหลี่ประหลาดใจผลุนผลันลุกขึ้นยืน หลายวันมานี้เขาประมือกับคนมาก็ไม่ใช่น้อย ย่อมคุ้นเคยรู้ดีถึงฝีมือของผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มเหล่านั้น จิงตี๋จัดได้ว่ามีฝีมือไม่ธรรมดา ชุยจิ่งศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักหานซานเขาเองก็เคยเจอมาแล้ว ฝีมือของพวกเขาสองคนเรียกได้ว่าพอฟัดพอเหวี่ยง แล้วใครกันถึงสามารถจับจิงตี๋มัดเล่นงานแต่ฝ่ายเดียวได้ แดนสนธยานี้ยังมียอดฝีมือแฝงกายอยู่เช่นนั้นหรือ
เมิ่งเสวี่ยหลี่หันหน้าไปทางจี้เซียว “ไหนๆ พวกเราก็เคยร่วมเดินทางกันมา เห็นคนใกล้ตายมิยื่นมือช่วยเหลือไหนเลยจะเรียกตนว่าผู้มีคุณธรรมได้ ยังมีพรรคพวกของเขาอีก ทุกคนล้วนนิสัยไม่เลว”
จี้เซียวยิ้มอบอุ่น “หากเจ้าอยากไป เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ลากเชวี่ยเซียนหมิงลุกขึ้น “ไป”
เชวี่ยเซียนหมิงสบถออกมาคราหนึ่ง โยนกิ่งไม้ว่างเปล่าในมือทิ้ง “คิดว่าที่ข้าลำบากลำบนตามหาเจ้าเพื่อย่างปลา ถือโอกาสช่วยคนสร้างบุญกุศลหรือไรกัน ข้ามีเรื่องสำคัญต้องการปรึกษากับเจ้า! เจ้ารีบกลับแดนอสูรไปพร้อมกับข้า…”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ปิดปากเชวี่ยเซียนหมิง “กลับหานซาน กลับยอดเขาฉางชุน! จบการประลองแล้วพวกเราจะกลับบ้านทันที!”
เขาพอเดาออกว่าแดนอสูรคงเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น หาไม่แล้วนกยูงมีหรือจะมาตามหาเขาถึงที่นี่ แต่หากผู้เป็นศิษย์ถามขึ้นมาสองสามประโยคอย่างชาวอสูรเข้ามาในแดนสนธยาได้เช่นไร เหตุใดเจ้าถึงจะไปแดนอสูร เขาเองก็นึกไม่ออกว่าควรตอบเช่นไร เซียวถิงอวิ๋นคล้ายรับรู้ได้ถึงความลำบากใจของเขา ถึงได้ไม่เอ่ยปากถาม เมิ่งเสวี่ยหลี่ด้านหนึ่งก็นึกชื่นชมในความอบอุ่นมีน้ำใจ เอาใจใส่รู้จักอดทนอดกลั้นของอีกฝ่าย ด้านหนึ่งก็รู้สึกละอายใจ
สุดท้ายเชวี่ยเซียนหมิงก็ทานเมิ่งเสวี่ยหลี่ไม่ไหว ยอมเดินขึ้นหน้านำทาง
เมิ่งเสวี่ยหลี่แอบพินิจพิจารณาสีหน้าของผู้เป็นศิษย์อยู่เงียบๆ เขาถ่ายเสียง “ถิงอวิ๋น ข้าไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังเจ้า เรื่องในอดีตของข้า ไว้วันหน้าจะค่อยๆ เล่าให้เจ้าฟัง ขอเวลาข้าสักหน่อย”
จี้เซียวยัดเมล็ดสนที่แกะเปลือกเสร็จแล้วกำหนึ่งให้เขา ก่อนจะพูดสั้นๆ ชวนให้รู้สึกสบายใจ
“ข้าจะรอ”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ประคองเมล็ดสนขาวหอมนุ่มละมุนไว้ในกำมือ ในใจรู้สึกอบอุ่น ด้วยเพราะไม่อาจตัดใจกินจึงเก็บมันใส่ถุงสัมภาระ
เห็นพวกเขาสองคนส่งสายตาให้กันไปมาเช่นนั้น เชวี่ยเซียนหมิงก็อดตาหลับตาเหลือกไม่ได้ “พวกเจ้าสองคนออดอ้อนฉอเลาะไปมาต่อหน้าข้าเช่นนี้ ไม่คิดถึงหัวอกข้าบ้างเลย…”
เมิ่งเสวี่ยหลี่กระโดดเข้าไปปิดปากเชวี่ยเซียนหมิงอีกคราว “เหลวไหล!”
เชวี่ยเซียนหมิงนึกสนุก เขาขยิบตาถ่ายเสียงบอกเมิ่งเสวี่ยหลี่ “ฮ่าๆ คู่ร่วมบำเพ็ญของจี้เซียวมีใจเป็นอื่น ตกหลุมรักศิษย์ของตัวเองเข้าให้แล้ว! บอกมาตามตรง เจ้าอยากได้เขาใช่หรือไม่ ถ้าอยากได้ก็บอกมา พวกเราเป็นพี่น้องกัน ข้าย่อมต้องช่วยเจ้าอยู่แล้ว! อสูรเฒ่าอย่างพวกเราคิดล่อลวงลูกนกวัยกระเตาะ ง่ายแค่เอื้อมมือคว้า เขาเพิ่งออกผจญโลก บริสุทธิ์ไร้เดียงสาไม่ต่างอันใดกับกระดาษขาว เจ้าเป็นอาจารย์ เขาย่อมต้องพึ่งพาวางใจเจ้า ที่เจ้าต้องทำก็แค่หว่านเสน่ห์ล่อลวงเขาเพิ่มเล็กน้อย…”
เมิ่งเสวี่ยหลี่แก้มแดงระเรื่อ ไม่รู้ว่าอายหรือโมโห “หุบปาก! ข้ากับถิงอวิ๋นล้วนบริสุทธิ์ใจ หาได้มีความคิดสกปรกอย่างที่เจ้าว่า!”
เขาบริสุทธิ์ใจไม่มีอันใดให้ต้องละอายจริงอย่างนั้นหรือ ภาพเหตุการณ์ในอดีตปรากฏขึ้นในสมองอย่างรวดเร็ว เมิ่งเสวี่ยหลี่พยายามบังคับตัวเองไม่ให้คิด หันไปไล่ชกต่อยเชวี่ยเซียนหมิงเป็นพัลวัน
จี้เซียวยกยิ้มมุมปากเดินอยู่ทางด้านหลัง เห็นคู่ร่วมบำเพ็ญตัวน้อยกระโดดโลดเต้นสนุกสนาน ไล่ชกต่อยอสูรนกยูงตลอดทางเช่นนั้น เขาก็อดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายน่ารักน่าใคร่ยิ่งนัก ขณะเดียวกันก็รู้สึกกลัดกลุ้มอยู่เล็กๆ
“เฮ้อ ยังทำตัวเป็นเด็กน้อยไม่เลิก…”
จิงตี๋ไม่ได้สติ ท่ามกลางความเจ็บปวดแสนสาหัสเขาคล้ายกำลังฝันร้าย ภาพในฝันแหลกละเอียดไม่เป็นชิ้นดี ท่ามกลางเสียงหัวเราะสนุกสนานเสียงกระซิบกระซาบของผู้คน ยังมีเสียงเด็กน้อยไร้เดียงสาตะโกนเรียกเขาว่าศิษย์พี่หญิงๆ
เขาอยากบอกว่าข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ใช่ จิงตี๋รวบรวมกำลังทั้งหมดหมายส่งเสียง แต่จู่ๆ เขาก็ลืมตาขึ้น ดวงดาวดารดาษเหนือฟากฟ้ายามราตรีกับเงาไม้พลิ้วไหวปรากฏขึ้นต่อสายตา จิงตี๋สายตาพร่ามัว มองเห็นเงาร่างคนผู้หนึ่งกำลังขยับไหว
เพราะเสียเลือดมากไป น้ำเสียงเขาถึงได้แหบพร่าหมดสิ้น “เสวี่ยหลี่ เจ้ามาช่วยข้าแล้วหรือ” ในแดนสนธยา นอกจากเมิ่งเสวี่ยหลี่แล้วยังจะมีใครช่วยเขาจากเงื้อมมือของหนิงเวยได้อีก
“เสวี่ยป้าเจ้าน่ะสิ!”
‘ผัวะ’ แก้มขวาจิงตี๋เจ็บแปลบ เขาถูกอีกฝ่ายตบเรียกสติ แม้จะไม่แรงนักแต่น้ำเสียงของอีกฝ่ายกลับดุดันยิ่งยวด
“ตื่นหรือยัง!”
จิงตี๋เพ่งตามองดูอีกคราว เขาหัวเราะแผ่วเบา “ที่แท้ก็ท่านยายซ่งของข้านี่เอง ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าไม่มีทางทอดทิ้งพี่น้อง…”
บนพื้นเต็มไปด้วยคราบเลือด หนิงเวยกับชายชุดดำหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนานแล้ว จิงตี๋กับพรรคพวกเอนกายรวบรวมกำลังพิงร่างอยู่ใต้ต้นไม้ เขาเป็นคนสุดท้ายที่ได้สติ
เห็นอีกฝ่ายเป็นเช่นนั้นซ่งเฉี่ยนอี้ก็นึกโมโห เพิ่งผ่านประตูนรกมาแท้ๆ แต่กลับยังทำเหมือนไม่นึกแยแสอันใด ราวกับว่าคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่ใช่ตนเอง ดังนั้นนางจึงยกแขนขึ้น
‘ผัวะ’ แก้มซ้ายของจิงตี๋โดนเข้าอีกฝ่ามือ รอยประทับนิ้วสีแดงจางๆ เข้าคู่กับแก้มขวา เขาถามอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
“ไยเจ้าถึงตบข้า”
“ได้สติหรือยัง” ซ่งเฉี่ยนอี้กวาดตามองไปรอบๆ พลางพูดอย่างโมโห “รู้จักพวกเจ้านับเป็นโชคร้ายของข้าโดยแท้!”
หลังถูกทำให้โมโห นางก็ถอนตัวออกจากกลุ่มเดินทางเพียงลำพัง เดิมทีตั้งใจจะไปค่ายเวทเคลื่อนย้ายออกจากแดนสนธยา ทว่าพอใจเริ่มเย็นลง ยิ่งเดินนางก็ยิ่งนึกเสียใจ ครั้นนึกถึงที่ตกลงกันไว้ในตอนแรกว่าจะมาพร้อมกันไปพร้อมกัน สุดท้ายนางก็กัดฟันเดินทางกลับเมืองจงยาง และเพราะรู้ถึงนิสัยใจคอวิธีเดินทางของพรรคพวกเป็นอย่างดี นางจึงเชื่อว่าจะสามารถพบเจออีกฝ่ายได้ระหว่างทาง
แต่ใครเล่าจะนึกว่าตอนพบเจอกันพวกเขาทั้งสี่จะถูกจับแขวนอยู่บนต้นไม้สูง ลมพัดร่างแกว่งไปมา เลือดไหลหยดท่วมพื้น เป็นตายมิอาจรู้
พวกเขาทั้งสี่คน จิงตี๋อาการสาหัสที่สุด แค่อ้าปากก็กระอักเลือดแล้ว ส่วนสวีซานซาน หลิวจิ้ง เจิ้งมู่ แม้จะบาดเจ็บแต่ก็ยังมีเรี่ยวแรงพูดคุยหยันเย้ยตัวเองอยู่
หลิวจิ้งกล่าว “ขอบคุณศิษย์น้องซ่ง หากเจ้าไม่กลับมา พวกเราคงจบชีวิตอยู่ที่นี่หมดแล้ว ข้าขอมอบบทเพลง ‘ผู้ฝึกทักษะแพทย์ที่ยิ่งใหญ่ เลิศภพจบแดน’ ให้กับศิษย์น้องซ่ง”
สวีซานซาน “ข้าบุกเหนือตะลุยใต้ทั่วเขาเป่ยหมิงซาน นึกไม่ถึงกลับมาตกอยู่ในกำมือเจ้าเด็กขนเหลือง* อย่าให้ข้าได้เจอเขาอีกเชียว ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะเป็นใครข้าก็ไม่ไว้หน้าทั้งนั้น เจอเขาคราหนึ่ง ข้าก็จะเล่นงานเขาคราหนึ่ง”
เจิ้งมู่ “อมิตาภพุทธ เวรกรรมๆ”
ซ่งเฉี่ยนอี้โมโห “พอได้แล้ว! พวกเจ้ายังไม่เข้าใจสถานการณ์อีก ไม่รู้ว่าแดนสนธยาครานี้มันเป็นอย่างไรกันแน่!”
พวกเขาสี่คนเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน มองดูนางด้วยสายตางุนงงไม่เข้าใจ
ห่างออกไปไม่ไกล จู่ๆ น้ำเสียงกระจ่างชัดของใครบางคนก็ดังขึ้น
“เช่นนั้น…เจ้าคิดว่ามันเป็นเช่นไร”
ทั้งห้าสีหน้าระแวดระวัง ทว่าพอเห็นอีกฝ่ายชัด พวกเขาทั้งหมดก็ต่างถอนหายใจราวกับว่ารูปร่างแบบบางนั้นนำพาความรู้สึกปลอดภัยใหญ่หลวงมาสู่พวกเขาได้
พวกเมิ่งเสวี่ยหลี่สามคนออกจากป่าเดินตรงมายังริมลำธาร
จิงตี๋ยิ้ม “เสวี่ยหลี่ อย่ามองข้า ข้ายามนี้มิน่ามอง”
ดังนั้นจี้เซียวจึงเดินขึ้นหน้าสองก้าว ช่วยบดบังสายตาของเมิ่งเสวี่ยหลี่ให้
จิงตี๋ “…”
ซ่งเฉี่ยนอี้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ “อาวุโสเมิ่ง ข้ามีข้อคาดคะเนบางประการ มาถึงยามนี้ข้าจะบอกทุกอย่างให้ท่านทราบ ก่อนมาแดนสนธยาอาจารย์ได้กำชับข้าว่าอย่าอยู่สู้จนถึงคนสุดท้าย ทางที่ดีให้กลับออกมาก่อนสามวันสุดท้าย คำสั่งของอาจารย์มิอาจขัด ดังนั้นข้าจึงรับปาก”
นางครุ่นคิดรอบคอบกว่าพวกจิงตี๋ นับแต่เจอการซุ่มโจมตีครั้งแรก นางก็เริ่มพินิจพิจารณาแล้ว อีกทั้งยังผูกโยงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งก่อนและหลังเริ่มเข้าด้วยกัน ทว่าพรรคพวกคนอื่นๆ กลับก็แค่เห็นนางบันดาลโทสะทำตัวยากเข้าใจ สุดท้ายก็โมโหถอนตัวออกจากกลุ่ม ทุกคนต่างคิดว่าคงเพราะจิงตี๋ทำตัวเหลวไหลกำเริบเสิบสาน ไม่เคยคิดวิเคราะห์ลึกซึ้งอันใด
จิงตี๋ขมวดคิ้ว รู้สึกว่านางระแวงมากเกินไป “แล้วเช่นไร อาจารย์ข้าก็กำชับไว้เช่นนั้นเหมือนกัน”
สวีซานซานกับเจิ้งมู่ต่างเห็นพ้อง
พวกเขาต่างคิดว่าเหมือน ‘บุตรเดินทางพันหลี่มารดาเป็นกังวล’ ศิษย์เดินทางออกจากสำนัก ผู้เป็นอาจารย์กำชับศิษย์ให้เดินทางกลับเร็ววัน ไม่เห็นจะมีอันใดแปลกประหลาด
ตอนเจอกันครั้งแรก จิงตี๋แนะนำทุกคนให้เมิ่งเสวี่ยหลี่รู้จักด้วยความภาคภูมิใจ พวกเขาทุกคนล้วนแต่เป็นสานุศิษย์สายตรงของเจ้าสำนัก ปรมาจารย์ หรือผู้ยิ่งใหญ่ประจำสำนักด้วยกันทั้งสิ้น เป็นความหวังของสำนัก ดังนั้นหากจะได้รับถ้อยความกำชับสั่งเสีย ความเอ็นดูจากผู้เป็นอาจารย์มากหน่อยก็หาใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
จิงตี๋นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ในหัวเชวี่ยเซียนหมิงเต็มไปด้วยเมฆหมอก เมิ่งเสวี่ยหลี่มองดูซ่งเฉี่ยนอี้ด้วยแววตาสงสัย รอฟังคำพูดที่เหลือ
ทุกอย่างเงียบงัน จี้เซียวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ช่วงสามวันสุดท้ายจะมีใครทำอะไรหรือ”
ลมพัดแซกซ่า น้ำในลำธารไหลริน แผ่นหลังของทุกคนหนาวสะท้าน
ซ่งเฉี่ยนอี้ไม่อยากพูดต่อ นางหวังว่ายามนี้ทุกคนจะเข้าใจความหมายของตน ทว่าจิงตี๋กลับยังคงนิ่งเงียบ หากจะให้เขาเชื่อว่าการประลองแดนสนธยาฮั่นไห่ครานี้มีแผนการร้ายซ่อนอยู่เบื้องหลัง ทุกอย่างที่หนิงเวยทำล้วนเป็นไปตามประสงค์ของสำนัก เขายินดีที่จะเชื่อว่าหนิงเวยทำทุกอย่างไปด้วยเพราะบุญคุณความแค้นส่วนตัวมากกว่า
ซ่งเฉี่ยนอี้กล่าว “นี่เป็นการประลองแดนสนธยาครั้งแรกหลังจี้เซียวเจินเหรินลาโลก กฎของเขาจะยังคงมีอยู่หรือจะมีการเปลี่ยนแปลงไป นับแต่นี้ไปผู้ใดจะเป็นผู้กุมอำนาจเหนือแดนสนธยา ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับการประลองครั้งนี้ พวกเจ้าถูกคนของสำนักหมิงเยวี่ยหูซุ่มโจมตี…”
ซ่งเฉี่ยนอี้อยากบอกว่าเรื่องนี้มีสำนักหมิงเยวี่ยหูเป็นผู้นำ นอกจากหานซานแล้ว ห้าสำนักใหญ่ที่เหลือล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ พวกเขาร่วมมือร่วมใจจัดการเรื่องนี้ หลังอริยกระบี่สิ้นได้ไม่นาน ห้าสำนักใหญ่ก็มีสัญญาข้อตกลงลับ สัญญาลับที่ว่านี้มาจากที่ใด นางไม่กล้าคิดต่อ ก่อนหน้านี้บรรดาผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายเหล่านั้นเคยตกลงร่วมมือทำอะไรกันมาก่อนใช่หรือไม่ การตายของอริยกระบี่…
จิงตี๋ตัดบท “ข้าไม่เชื่อ ข้าเป็นศิษย์คนโตของสำนักหมิงเยวี่ยหู หากมีเรื่องเช่นนี้จริง ข้าไหนเลยจะไม่รู้!” เขาพูดย้ำ “ทันทีที่ออกจากแดนสนธยา ข้าจะไปถามอาจารย์ต่อหน้า นอกจากอาจารย์เอ่ยปากยอมรับเอง ข้าไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด”
บรรยากาศกลับกลายเป็นอึดอัด พวกเขาแต่ละคนล้วนกลัดกลุ้ม
ตอนรวมกลุ่มมาแดนสนธยาพวกเขาต่างมีน้ำใจห้าวหาญหมื่นจั้ง ปณิธานฮึกเหิม บอกว่าจะทำคะแนนให้สูงกว่าผู้ชนะการประลองในอดีตให้จงได้ ทว่ายามนี้ทั้งๆ ที่มาถึงช่วงหลังของการประลองแล้วแท้ๆ แต่เหนือหัวกลับถูกเงาดำทั่วแผ่นฟ้าผืนปฐพีครอบงำ ทำเอาหายใจแทบไม่ออก
ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเมิ่งเสวี่ยหลี่พูดขึ้น “เฮ้อ ข้าคิดว่าเรื่องใหญ่อะไรเสียอีก”
โปรดติดตามตอนต่อไป…