everY
ทดลองอ่าน กระบี่คู่หานซาน เล่มที่ 2 บทที่ 4 #นิยายวาย
คิดแทนผู้อื่น
เมิ่งเสวี่ยหลี่กับจี้เซียวเดินเคียงไหล่อยู่ด้วยกัน แม้ไม่พูดอันใด ทว่าพวกเขาสองคนกลับเข้าใจกันดี
จิงตี๋และพรรคพวกเดินอยู่ทางด้านหน้าพูดคุยสอดแทรกเรื่องตลก หัวเราะเสียงดังลั่นอยู่กับ ‘พี่น้องผู้บำเพ็ญพรตอิสระแซ่เชวี่ย’ ทว่าแท้ที่จริงแล้วพวกเขาก็แค่อาศัยการสนทนาปลุกเร้าความกล้าให้กับตัวเอง ไม่ปรารถนาจะคิดว่าเบื้องหลังแผนการชั่วร้ายดังกล่าวมีอันใดซ่อนอยู่ หากจะบอกว่าพวกเขาไม่วิตกกังวลกับสิ่งที่ประสบพบเจอเป็นครั้งแรกนี้แม้แต่น้อย นั่นย่อมเป็นวาจาโกหกคำโต
ผู้คนในโลกผู้บำเพ็ญพรตส่วนใหญ่ไม่รู้ถึงภัยพิบัติร้ายกาจที่ซ่อนลึกอยู่ในแดนสนธยา ทำได้เพียงจินตนาการไปตามข่าวสารที่ได้มาจากคนที่ถอนตัวจากการประลองในช่วงแรกกับช่วงกลางเท่านั้น
เรื่องที่ผู้คนตื่นเต้นพูดถึงกันไม่หยุดปากย่อมหนีไม่พ้นเรื่องของเมิ่งเสวี่ยหลี่คู่ร่วมบำเพ็ญของอริยกระบี่ เมิ่งเสวี่ยหลี่มีชื่อเสียงมาแต่ไหนแต่ไร เพียงแต่ในอดีตชื่อเสียงของเขาล้วนติดลบ ทว่ายามนี้กลับมีชื่อเสียงดีงาม
แต่ก่อนผู้คนในแดนมนุษย์ล้วนพูดถึงเขาว่า ‘งามก็งามอยู่ เสียดายที่เป็นแค่ของพื้นๆ’ ทว่ายามนี้ผู้คนกลับบอกว่า ‘เป็นคู่สวรรค์อุ้มสม กิ่งทองใบหยกอยู่แต่เดิม น่าเสียดาย…’ ที่จี้เซียวเจินเหรินลาโลกนี้ไปแล้ว
ก่อนหน้านี้ผู้คนล้วนกล่าวว่าเขาโชคดี สวรรค์ส่งสานุศิษย์ชั้นยอดลงมาให้ถึงสองคน คนหนึ่งเป็นร่างสถิตวิญญาณกระบี่แต่กำเนิด อีกคนสร้างชื่อจากการประลองบนลานสำแดงกระบี่ ทันทีที่พวกเขาเติบใหญ่ ไม่แน่ว่าอาจสืบทอดยอดเขาฉางชุนต่อ นำความรุ่งโรจน์มาสู่หานซาน ทว่ายามนี้ผู้คนกลับบอกว่าอวี๋ฉี่ซูกับเซียวถิงอวิ๋นล้วนโชคดี เพราะเมิ่งเสวี่ยหลี่ไม่ใช้กระบี่ ดังนั้นทันทีที่เขาชนะการประลองได้อุษาไร้เขตขัณฑ์มาครอบครอง วันข้างหน้าย่อมต้องมอบกระบี่วิเศษให้ผู้เป็นศิษย์
แม้แต่ศิษย์หานซานที่อายุน้อยที่สุดก็ยังชอบรำลึกถึงตอนที่เมิ่งเสวี่ยหลี่ช่วยพวกเขาคลี่คลายข้อสงสัยยามเรียนอยู่ในวิหารถกสัจธรรม
‘ข้ารู้อยู่แต่แรกแล้วว่าอาวุโสเมิ่งมิใช่คนธรรมดา คลี่คลายปัญหาลึกซึ้งได้อย่างง่ายดาย เปลี่ยนยากเป็นง่าย มีความสามารถสูงส่ง’
‘ยิ่งไปกว่านั้นเขายังอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยวางท่า ศิษย์พี่อวี๋โชคดียิ่งนัก’
ครั้นพวกจางซู่หยวนที่เดินทางร่วมกับเมิ่งเสวี่ยหลี่ถูกประมุขยอดเขาจื่อเยียนสั่งให้เดินทางมารายงานข่าวกลับถึงเขาหานซาน เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ดังกระฉ่อนถึงขีดสุด
พวกเขาเข้าไปยังตำหนักกลางบนเขายอดประมุข พบเจินเหรินเจ้าสำนัก รายงานเรื่องราวที่ได้พบเห็นให้อีกฝ่ายฟังโดยละเอียด
สุดท้ายจางซู่หยวนก็พูดขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “อาวุโสเมิ่งหามีอันตรายใดๆ ไม่ เพียงเป็นห่วงสำนัก”
เจ้าสำนักโบกมือด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าได้รับยันต์ส่งข่าวจากประมุขยอดเขาจื่อเยียนแล้ว พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ”
เขาส่งยันต์ส่งข่าวแผ่นหนึ่งให้ประมุขยอดเขาจื่อเยียน ให้เฝ้าทางออกแดนสนธยาไว้ให้ดี พร้อมรับตัวเมิ่งเสวี่ยหลี่ออกมาทุกเมื่อ ทั้งยังเรียกประชุมประมุขยอดเขาคนอื่นๆ
ประมุขยอดเขาจ้งปี้ถอนหายใจ “เสวี่ยหลี่คงลำบากไม่น้อย ขนาดอยู่แดนสนธยาถูกคนซุ่มโจมตีเล่นงาน กลับยังมีใจคิดถึงสำนัก หากเขามิใช่คู่ร่วมบำเพ็ญของจี้เซียว อาศัยความสามารถของตนเอง ชีวิตย่อมดำเนินไปได้อย่างสะดวกสบาย นับแต่ขึ้นเขาหานซานมา สามปีมิถามไถ่เรื่องราวทางโลกใดๆ ยินดีไร้ชื่อไร้เสียง ไม่นำพาต่อถ้อยคำครหา เห็นได้ชัดว่าเดิมมีอุปนิสัยไม่ยินดียินร้ายต่อลาภยศ ดูท่าหากมิใช่เพราะจี้เซียวลาโลกไปอย่างไม่คาดคิด เขาคงไม่ยินดีไปจากยอดเขาฉางชุน ถูกลากเข้าสู่วังวนความขัดแย้งด้วยฐานะไม่ธรรมดาของตน…”
ประมุขยอดเขาหลิวหลันขมวดคิ้ว “ที่เขาเป็นห่วงใช่ว่าจะไร้เหตุผล หากพวกเราได้ยินว่างานประลองมีภัยพิบัติแล้วบุ่มบ่ามรีบร้อนเดินทางไปแดนสนธยา ถึงตอนนั้นหานซานย่อมไร้คนดูแล ถูกศัตรูโจมตีได้โดยง่าย”
ประมุขยอดเขาเยวี่ยเชวียประชดออกมาคราหนึ่ง “ ‘ศัตรู’ อันใด นอกจากสำนักหมิงเยวี่ยหูแล้ว เบื้องหลังเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ยังจะมีผู้ใดอีก ลงมือกับเด็กรุ่นหลังเช่นนี้นับเป็นผู้มีความสามารถอันใดได้ ข้าขอพูดชัดๆ…ว่ากันว่าปรมัตถ์ล่วงรู้ฟ้าดิน แยกแยะแปดทิศ กุยชิงเจินเหรินเจ้าได้ยินข้าด่าเจ้าหรือไม่!”
เจ้าสำนักมองดูอีกฝ่าย สีหน้ายุ่งเหยิงแววตาสับสน ไม่นึกอยากแก้ไขถ้อยความอันใด เมิ่งเสวี่ยหลี่มิใช่เด็กรุ่นหลัง หากแต่รุ่นเดียวกับพวกเขา
ประมุขยอดเขาจื่อเยียนไม่อยู่ หลังทั้งสี่ปรึกษากันเป็นที่เรียบร้อยว่าจะตรวจสอบซ่อมแซมค่ายเวทคุ้มกันเขาเช่นไร ให้ศิษย์สายตรงออกลาดตระเวนแบบใด พวกเขาก็แยกย้ายกลับยอดเขาจัดการตามแผนที่ได้ตกลงไว้
ส่วนเรื่องราวภายในสำนัก เจินเหรินเจ้าสำนักรู้สึกว่าเมิ่งเสวี่ยหลี่คิดมากเกินไป หลังงานประลองแดนสนธยาเริ่ม ข่าวสารที่เขารู้เกี่ยวกับหุบเขาจิ้งซือคือปรมาจารย์ไท่หังไท่ซั่งจั่งเหล่ากำลังเตรียมเข้ากักตนเป็นเวลานาน สานุศิษย์รุ่นหลังของเขาล้วนถูกเรียกตัวเข้าไปฟังโอวาทในหุบเขา คัดคัมภีร์เต๋าสวดอธิษฐานขอพร ไม่ทำการเคลื่อนไหวนอกหุบเขา เรื่องนี้ทำให้ความขัดแย้งระหว่างประมุขยอดเขาทั้งห้ากับไท่ซั่งจั่งเหล่าคลี่คลาย ทั่วทั้งหานซานเปี่ยมด้วยชีวิตชีวาเฉกช่วงเวลายามวสันต์
เจ้าสำนักครุ่นคิด “ระยะนี้ข่าวคราวจากแดนสนธยามีมามิได้ขาด ให้พวกสานุศิษย์ได้รับรู้มากหน่อยก็ดี อาศัยการต่อสู้ฝึกปรือฝีมือกับคนนอก เปิดโลกทัศน์ให้กับสานุศิษย์วัยหนุ่มเหล่านั้นให้ตระหนักถึงความโหดร้ายของโลกผู้บำเพ็ญพรต พวกเขาถึงจะเข้าใจว่ายามเผชิญหน้ากับศัตรู การเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันนั้นสำคัญเพียงใด”
คิดสิ่งใดมักได้สิ่งนั้น หลังส่งบรรดาประมุขยอดเขากลับได้ไม่นาน ตำหนักกลางก็มีแขกมาเยี่ยมเยือน ผู้มาคือโจวอี้ศิษย์คนโตของไท่ซั่งจั่งเหล่า
ครั้งที่แล้วเขาเข้าตำหนักกลางมาตอนสอบคัดเลือกรับศิษย์จากวิหารถกสัจธรรม พร้อมกับคำสั่งของผู้เป็นอาจารย์ให้รับเซียวถิงอวิ๋นเป็นศิษย์ แต่เพราะเซียวถิงอวิ๋นเลือกฝากตัวเป็นศิษย์กับยอดเขาฉางชุน ทำให้เขาได้แต่กลับไปมือเปล่า
เจ้าสำนักเดินขึ้นหน้า “ศิษย์น้องโจว ระยะนี้ปรมาจารย์สบายดีหรือไม่”
โจวอี้พยักหน้าตอบ “ทุกอย่างล้วนเป็นไปด้วยดี อาจารย์กักตัวครานี้เพื่อยืดอายุขัย กว่าจะออกมาก็คงอีกยี่สิบสามสิบปี”
เจ้าสำนักรู้สึกประหลาดใจเล็กๆ “นานเพียงนั้น?”
โจวอี้พยักหน้า “อาจารย์มีเรื่องบางอย่างมิอาจวางใจ ต้องการมอบหมายให้ท่านเป็นการเฉพาะ จึงให้ข้ามาเชิญท่านเข้าหุบเขา”
สีหน้าเจ้าสำนักเปลี่ยนเป็นผ่อนคลาย หลายปีมานี้ท่าทีที่โจวอี้มีต่อยอดเขาทั้งห้าล้วนแต่เย็นชาดูแคลน อากัปกิริยาอันใดล้วนลึกลับคลุมเครือ ไม่เคยสุภาพเปี่ยมมารยาทเช่นนี้มาก่อน
“ได้ ข้าจะตามเจ้าไปเดี๋ยวนี้”
ก่อนหน้านี้ตอนจี้เซียวยังมีชีวิตอยู่ ไท่ซั่งจั่งเหล่าพำนักอยู่ในหุบเขาไม่ข้องแวะกับเรื่องราวภายนอก แม้สำนักมีเรื่อง เขาก็จะเรียกเจ้าสำนักกับประมุขยอดเขาทั้งหลายไปรับฟังโอวาท วางท่ายกหลักการเหตุผลต่างๆ ขึ้นข่ม
เจ้าสำนักคิด ต่อไปจะไม่พบเจออีกฝ่ายนานถึงยี่สิบสามสิบปี ยอมให้อีกฝ่ายได้วางท่า กล่าวโอวาทสักสองสามประโยคก็หามีอันใดหนักหนาเกินไปไม่ กักตนเนิ่นนานเช่นนี้ไม่แน่ว่าชาวบ้านอาจคิดตกแล้วก็เป็นได้ เช่นนั้นตนเองก็ยื่นบันไดให้อีกฝ่ายได้ใช้ไต่ลงมาก็แล้วกัน แนะให้อีกฝ่ายปล่อยวางเรื่องราวบาดหมางครั้งก่อนที่มีกับหูซื่อและจี้เซียว ทั้งหานซานร่วมใจต่อต้านรับมือศัตรูภายนอก ไม่มีการชิงดีชิงเด่นภายในอีก…เขาคิดพลางเดินมาถึงทางเดินอีเสี้ยนเทียนที่เชื่อมต่อระหว่างโลกภายนอกกับหุบเขาจิ้งซือ
น่าเสียดายที่คนมักใช้ความคิดเห็นของตนพิจารณาผู้อื่นอยู่เสมอ
หลังไปจากตำหนักกลาง พวกจางซู่หยวนสามคนก็แวะมาเป็นแขกอยู่บนยอดเขาฉางชุน พูดคุยสนทนากินเปี๊ยะจินซือเถาดื่มชาน้ำผึ้งดอกจินซือเถาที่อีกฝ่ายเตรียมต้อนรับ แต่ไม่ว่าอวี๋ฉี่ซูจะได้ยินถ้อยคำเล่าลือว่าเมิ่งเสวี่ยหลี่องอาจห้าวหาญไร้ผู้ต่อกรสักเพียงใด เขาก็ยังคงไม่วางใจ
อวี๋ฉี่ซูอุ้มหนูผีเก็บทรัพย์ไว้ในอ้อมแขน “ศิษย์พี่ทั้งสาม พวกท่านร่วมเดินทางอยู่กับอาจารย์ข้า ตลอดทางต่างฝ่ายต่างช่วยดูแลซึ่งกันและกัน คงลำบากไม่ใช่น้อย”
ทั้งสามต่างเอ่ยปากมิกล้าขึ้นพร้อมกัน “เกรงใจกันเกินไปแล้ว อันที่จริงการเดินทางครานี้อาวุโสเมิ่งต่างหากที่คอยดูแลพวกเรา”
อวี๋ฉี่ซูถาม “เช่นนั้นพี่เมิ่งของข้า เอ้อ ข้าหมายถึงอาจารย์ข้า อยู่ในแดนสนธยาเป็นเช่นไรบ้าง เหมือนกับที่คนนอกเล่าลือว่าทำการ ‘ทดสอบคุณธรรมมโนธรรม’ จริงหรือไม่”
ทั้งสามเกรงว่าเขาจะวิตกกังวล จึงเลือกเล่าเรื่องน่าสนใจที่เกิดขึ้นในแดนสนธยาให้เขาฟังโดยละเอียด อย่างเรื่องกลุ่มผู้บำเพ็ญพรตอิสระที่ลอบปล้นที่หุบเขาเมฆาเขียวแต่ไม่สำเร็จ เรื่องเมล็ดสนเต็มพื้น เรื่องปลอมตัวเป็นแกะอ้วนร่วมกับอาวุโสเมิ่งที่ธารเฮยสุ่ย รวมถึงเรื่องอสุนีบาตฟาดใส่จิงตี๋…อวี๋ฉี่ซูกุมท้องหัวเราะลั่น แอบนึกอิจฉาที่ตัวเองเกิดมาช้า ไร้วาสนาเข้าร่วมการประลองแดนสนธยา เผลอกระตุกขนหนูผีเก็บทรัพย์ในมือ
ช่วงเวลาแห่งความสุขมักสั้นเสมอ ไม่ทันได้รู้ตัวท้องฟ้าก็มืดลงทีละน้อย แก้วชามเกลื่อนกลาด หลังส่งแขก อวี๋ฉี่ซูก็ระบายลมหายใจออกมาคราหนึ่ง เก็บข้าวของ เดินไปเลี้ยงปลาอยู่ริมสระเหมือนเช่นทุกครั้ง
สายลมยามราตรีอบอุ่น ยอดเขาฉางชุน ต้นจินซือเถา และหนูผีเก็บทรัพย์เติบโตได้เองตามธรรมชาติ จะมีก็แต่เพียงปลาไนสามตัวนี้เท่านั้นที่ต้องให้เขาดูแล
นิสัยพูดคุยกับปลาไนเหมือนจะถ่ายทอดถึงกันได้ อวี๋ฉี่ซูยืนอยู่ริมสระพึมพำไม่ขาดปาก “กินเยอะๆ ข้ารับปากศิษย์พี่ที่กักตัวบำเพ็ญเพียรกับอาจารย์ที่เดินทางไกลไปแดนสนธยาว่าจะดูแลพวกเจ้าเป็นอย่างดี กินให้เยอะๆ จะได้อ้วนๆ…”
ผ่านไปครู่หนึ่งจู่ๆ ปลาไนก็สะบัดหางกระแทกเงาจันทร์กลางสระกระจาย ผิวน้ำแตกกระเซ็นไม่ต่างอันใดกับมุกพราว อวี๋ฉี่ซูเปียกโชกไปทั้งตัว
จู่ๆ สายลมยามค่ำก็กลับกลายเป็นเหน็บหนาว เขาเนื้อตัวสั่นสะท้าน ปาดน้ำบนใบหน้าทิ้ง ใจคิดว่าฉางชุนสี่ฤดูอบอุ่นเฉกวสันต์ หาเคยหนาวเหน็บไม่ ทว่าไม่ว่าจะครุ่นคิดพินิจพิจารณาสักเท่าใด เขาก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงมีลมหนาวจากหุบเขาจิ้งซือพัดมาถึงที่นี่ได้
ใจเขาไม่สงบ อวี๋ฉี่ซูหมอบอยู่ข้างสระ ก้มมองลงไป “กระโดดอะไรของพวกเจ้า”
เขาเห็นปลาไนสามตัวหัวหางเชื่อมถึงกัน ว่ายวนเป็นวงกลมอย่างรวดเร็ว ล้อมเงาจันทร์ไว้ตรงกลาง ภาพอัศจรรย์ทำเขาตื่นตะลึงพูดอะไรไม่ออก
อวี๋ฉี่ซูสองตาเบิกกว้าง “มรรคาจารย์เบื้องบน…”
ปลาไนยิ่งว่ายก็ยิ่งเร็วขึ้นทุกที เพียงชั่วพริบตาก็เกิดเป็นวังน้ำวนไหลเชี่ยว หอบม้วนเอาน้ำในสระขึ้นมาเป็นชั้นๆ ใบไม้ร่วง สาหร่ายจอกแหน ตะไคร่น้ำริมสระถูกเหวี่ยงกระเด็นไปทั่วทุกสารทิศ เกิดเป็นแรงดึงดูดมหาศาล
ไม่นานยอดเขาฉางชุนก็สั่นไหวสะท้านสะเทือน
ตอนน้ำสาดกระเซ็นปะทะใบหน้า อวี๋ฉี่ซูครึ่งตัวหมอบนอนอยู่ริมสระ ยังไม่ทันได้เคลื่อนลมปราณก็ถูกน้ำลากลงไปในสระ
“เกิดอะไรขึ้น!”
อวี๋ฉี่ซูหายใจติดขัด หล่นลงไปในสระลึก
ผู้บำเพ็ญพรตยืดจังหวะหายใจได้ยาวนาน ยามอยู่ใต้น้ำอาศัยการหมุนเวียนพลังปราณภายในร่างรักษาชีวิตไว้ชั่วขณะ อวี๋ฉี่ซูพยายามเคลื่อนไหว แม้จะเห็นพวยน้ำม้วนตัวลอยขึ้นสู่ด้านบน แต่ร่างของเขากลับไม่ต่างอันใดกับวัวดินจมหายลงไปใต้น้ำ จมดิ่งลงสู่เบื้องล่างอย่างรวดเร็ว
ผิดปกติ ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าสระน้ำใสกระจ่างมองเห็นก้น แล้วเหตุใดถึงได้ลึกเช่นนี้
ยามนี้เขามองไม่เห็นแสงจันทร์เล็กๆ เหนือผิวน้ำแล้ว รอบด้านมีเพียงกระแสน้ำเย็นเยียบมืดดำ ได้แต่คาดคะเนความลึกไปตามแรงดันน้ำที่เปลี่ยนไป ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด หลังจากร่างของเขาจมลงไปได้ประมาณร้อยกว่าจั้ง จู่ๆ เบื้องหน้าก็พลันมีประกายแสงสีทองวาบผ่าน ส่องสว่างอยู่มุมหนึ่ง
ร่างของเขายังจมดิ่งไม่หยุด อวี๋ฉี่ซูวาดเหวี่ยงมือทั้งสองข้างไปทางประกายแสงสีทอง ลำแสงดังกล่าวมีลักษณะแบนยาวแฝงไว้ซึ่งกลิ่นคาว สัมผัสเรียบลื่นเกลี้ยงเกลาคล้ายแผ่วเบาแต่กลับแข็งแกร่งยิ่ง ขนาดประมาณปากชาม อวี๋ฉี่ซูประคองพิจารณาดูมันโดยละเอียด รู้สึกคุ้นตาอยู่ไม่น้อย จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในสมอง หากเจ้าสิ่งนี้เป็นส่วนเล็กๆ ของสัตว์ร้ายอะไรสักอย่าง เช่นนั้นแล้วตัวจริงของมันย่อมต้องใหญ่โตมโหฬารเกินกว่าจะจินตนาการได้
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ครั้นตระหนักได้ว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไร จู่ๆ ใจของอวี๋ฉี่ซูก็พลันหนักอึ้ง ร่างกายสั่นสะท้าน
มันคือเกล็ดชิ้นหนึ่ง เกล็ดของ ‘ปลาไน’ ที่อยู่ในสระ
“กรร…”
เสียงคำรามแผ่วเบายืดยาวใต้น้ำห่างไกลดังใกล้เข้ามา
โปรดติดตามตอนต่อไป…