everY
ทดลองอ่าน กระบี่คู่หานซาน เล่มที่ 2 บทที่ 5 #นิยายวาย
ใช้พลังทำลายทักษะ
ในกลุ่มของจิงตี๋ นิสัยของเชวี่ยเซียนหมิงกับผู้ควบคุมสัตว์เข้าขากันมากที่สุด เพียงแต่เชวี่ยเซียนหมิงรูปลักษณ์ภายนอกงดงามเหลาะแหละ ภายในมุทะลุหยาบกระด้าง ไม่เหมือนสวีซานซานที่นอกในไม่มีอันใดแตกต่าง
เชวี่ยเซียนหมิงกล่าวชม “พยัคฆ์ขาวของเจ้างดงามยิ่ง”
“ดูเผินๆ มันอาจคล้ายดุดัน แต่แท้ที่จริงแล้วมันเชื่อฟังคำข้าเป็นพิเศษ” สวีซานซานพูดอย่างได้ใจ “ไกวไกว มานอนกลิ้งให้สหายเชวี่ยดูหน่อย”
เชวี่ยเซียนหมิงเอื้อมมือหมายลูบหัวของมัน แต่พยัคฆ์ขาวนัยน์ตาสีทองกลับชักเท้าถอยหลังสองก้าว เนื้อตัวแข็งขึง ส่งเสียงคลุมเครืออยู่ในลำคอ
สวีซานซานกลุ้มใจ ก่อนหน้านี้มันไม่ยอมให้อาวุโสเมิ่งขึ้นขี่ ตอนนี้ไม่ยอมให้สหายแซ่เชวี่ยแตะต้อง เขาค้อมกายกระซิบลงที่ข้างหูของพยัคฆ์ขาว “ไกวไกว เจ้าขี้อายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร รู้จักรักษาหน้าข้าบ้าง”
เชวี่ยเซียนหมิงโบกมือ “ไม่เป็นไร พวกเจ้าเป็นคน…อะแฮ่ม ข้าหมายความว่าแดนมนุษย์ของพวกเรา สำนักควบคุมสัตว์ของพวกเจ้า ใครฝีมือร้ายกาจที่สุด แล้วควบคุมสัตว์วิเศษอะไร”
สัตว์วิเศษในแดนมนุษย์กับชนเผ่าอสูรในแดนอสูรมิใช่ชนเผ่าเดียวกัน เขาก็แค่อยากรู้เท่านั้น
ผู้ควบคุมสัตว์พูดเสียงดัง เมิ่งเสวี่ยหลี่พอได้ยินบทสนทนาของพวกเขาสองคนก็หันไปมองเซียวถิงอวิ๋นด้วยสีหน้าอับจน
สวีซานซานพูดขึ้นด้วยความภาคภูมิ “อาจารย์ของข้าคือเจ้าสำนัก งูยักษ์ของเขามีสายเลือดมังกรเขียว ข้าเคยเห็นกับตามาก่อน ส่วนค่ายเวทคุ้มกันสำนักของพวกเราก็มีวิหคหลวน* อยู่ตัวหนึ่ง ว่ากันว่ามีสายเลือดของพญาหงส์เฟิ่งหวงไหลเวียนอยู่ในกาย ทว่าเฟิ่งหวงสูญไปจากสามภพนานแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าจริงเท็จอันใด พวกมันสองตัวไม่เคยสู้กันมาก่อน หากสู้กันขึ้นมาจริงๆ สำนักของข้าคงไม่แคล้วถูกเพลิงผลาญวอดวายหมดสิ้น”
เชวี่ยเซียนหมิงถ่ายเสียงหยันเย้ยเมิ่งเสวี่ยหลี่ “อสูรยิ่งใหญ่เช่นเจ้าพอมาถึงแดนมนุษย์กลับเป็นได้แค่สัตว์วิเศษที่จี้เซียวเลี้ยงไว้ในบ้าน ซ้ำยังถูกขังไว้บนยอดเขาฉางชุนเล็กกระจิริด เทียบไม่ได้แม้แต่กับเซิ่นโซ่ว”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ “ถุย! เจ้าลองสืบข่าวในแดนมนุษย์ดูให้ดีเสียก่อน ใครบ้างที่รู้ว่าข้ากับจี้เซียวเป็นเพียงคู่ร่วมบำเพ็ญปลอมๆ ผู้ใดบ้างกล้าบอกว่าจี้เซียวไม่เอ็นดูโปรดปรานข้า!”
เชวี่ยเซียนหมิง “แหวะ!” หลังอาเจียนเสร็จเขาก็หาเรื่องคุยใหม่ “ยังแข่งเป็นที่โปรดปรานกับเซิ่นโซ่วเช่นนี้ เจ้าคงไม่ได้แอบหลงรักจี้เซียวหรอกกระมัง”
เมิ่งเสวี่ยหลี่จีบปาก “ข้าไม่ชอบเขา เขาเองก็ไม่ชอบข้า”
เชวี่ยเซียนหมิงรออยู่ครู่หนึ่ง แต่กลับไม่พบสหายสนิทโหวกเหวกสบถด่า เห็นแต่จอมอสูรเขาเสวี่ยซานในอดีตก้มหน้า ใบหูแดงระเรื่อ
เขาบอกแย่แล้วกับตัวเองในใจ ทว่ายังไม่ทันได้ซักถามรายละเอียด สวีซานซานก็เปิดปากขึ้นอีกครา
“พวกมันสองฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใคร จึงไม่อาจบอกได้ว่าตนใดร้ายกาจที่สุด ทว่าตอนยังเล็กข้าได้ยินอาจารย์บอกว่าลึกเข้าไปในทะเลตะวันตกมีเจียว* ชั่วร้ายสามตัว รูปร่างใหญ่โต เกล็ดสีทองส่องประกาย เดิมเป็นชนเผ่าอสูร หลังแอบลักลอบเข้ามาในแดนมนุษย์ พวกมันก็ออกทะเลก่อกวนผู้คนอยู่เป็นระยะๆ จับคนกินเป็นอาหารจนทำให้พวกชาวบ้านบนเกาะในทะเลตะวันตกตกทุกข์ได้ยาก หากผู้ใดสามารถกำราบให้พวกมันตกลงยอมทำพันธสัญญาสัตว์อสูรได้ คนผู้นั้นย่อมเป็นผู้ควบคุมสัตว์อันดับหนึ่ง ถึงตอนนั้นพวกมันจะยอมศิโรราบด้วยใจ ไม่มีข้อโต้แย้ง!”
จี้เซียวขมวดคิ้วน้อยๆ คล้ายอับจนคล้ายละอายใจ ในใจคิด ข้าไม่อยากเป็น ‘ผู้ควบคุมสัตว์อันดับหนึ่ง’ และเป็นไม่ไหวด้วย
ทุกคนต่างรู้ว่าเขาเป็นคนพูดน้อย นอกจากเมิ่งเสวี่ยหลี่แล้วก็ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเขา
เมิ่งเสวี่ยหลี่ถ่ายเสียงถาม “เป็นอะไร”
“…ไม่มีอะไร” จี้เซียวตอบทันที
สวีซานซานเดินโอบไหล่อยู่กับเชวี่ยเซียนหมิง สนิทสนมยิ่งยวด “ตอนนั้นข้าตั้งปณิธานว่าต้องจับเจียวชั่วนั่นมาฝึกให้จงได้ แต่พอโตขึ้นข้าก็เข้าใจว่านั่นก็แค่ความฝันของคนโง่เท่านั้น นั่นเพราะสัตว์วิเศษยิ่งร้ายกาจมากเท่าใดพวกมันก็ยิ่งยโสมากขึ้นเท่านั้น หากความสามารถของเจ้าเทียบสัตว์วิเศษมิได้ พวกมันไหนเลยจะยอมทำพันธสัญญาด้วย มีเพียงสยบมันให้ได้ ขังมันไว้หลายๆ วันก่อน หลังจากนั้นค่อยพูดคุยกับมัน มันถึงจะยอมก้มหัวให้ ในบ้านไม่มีทะเลแล้วไหนเลยจะขังเจียวได้ ฝันกลางวันชัดๆ”
เชวี่ยเซียนหมิงเอ่ยปากด้วยความประหลาดใจ “เจียว? ว่ากันว่ายามกลายเป็นมังกรมันจะสามารถบรรลุเพียรบำเพ็ญขึ้นสู่แดนสวรรค์ ทว่าตอนนี้ไอทิพย์ซบเซา เจียวคิดกลายร่างเป็นมังกรทำลายกำบังโลกนี้เกรงว่าจะมิใช่ง่าย”
สวีซานซานเกาหัว “มีคำพูดเช่นนี้ด้วยหรือ ข้าเป็นผู้ควบคุมสัตว์แต่กลับไม่รู้เรื่องนี้ เห็นชัดว่าสหายเชวี่ยมีความรู้ลึกล้ำยิ่งนัก นับถือๆ!”
เชวี่ยเซียนหมิงดั่งได้อาบลมวสันต์ ปลาบปลื้มไปกับถ้อยคำชื่นชมของอีกฝ่าย “มิกล้าๆ”
หากมิใช่เพราะต้องปกปิดฐานะอสูรของตนแล้วล่ะก็ เขาก็นึกอยากพ่นเพลิงอสูรออกมาย่างไก่ย่างปลาให้อีกฝ่ายสักตัวสองตัวจริงๆ
ท่ามกลางบทสนทนาเรื่อยเปื่อย ในที่สุดทุกคนก็เดินทางมาถึงค่ายเวทเคลื่อนย้ายที่อยู่ใกล้ที่สุด พวกเขาสำรวจดูสถานการณ์โดยรอบหมายพิสูจน์การคาดเดาของตน
นี่คือค่ายเวทเคลื่อนย้ายที่อยู่ใกล้เมืองจงยางที่สุด มีขนาดเล็กใหญ่ต่างจากค่ายเวทเคลื่อนย้ายที่จี้เซียวกับเมิ่งเสวี่ยหลี่ใช้ส่งกลุ่มขุดแร่พวกนั้นออกไปอยู่เล็กน้อย
ยังไม่ทันจะได้เข้าใกล้ พวกเขาทั้งแปดก็สังเกตเห็นคนสามคนยืนห่างแท่นพิธีทรงกลมส่องประกายแสงสีฟ้าอยู่ไม่ไกล ดูจากการแต่งตัวคนพวกนั้นน่าจะเป็นผู้บำเพ็ญพรตอิสระกลุ่มหนึ่ง กำลังเดินวนไปวนมารอบแท่นนั้นราวกับแมลงวันไม่มีหัว
แทบจะในเวลาเดียวกันอีกฝ่ายก็มองเห็นพวกเขา ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างจากกันราวๆ สิบกว่าจั้ง หนึ่งในนั้นตะโกนมาแต่ไกล “สหายร่วมมรรคาทั้งหลายอย่าได้เข้าใจผิด พวกข้ากำลังจะใช้ค่ายเวทเคลื่อนย้ายไปจากที่นี่ เพียงแต่ค่ายเวทนี้มีปัญหา พวกเราออกไปไม่ได้”
รอปล้น วางกับดักอยู่บริเวณค่ายเวทเคลื่อนย้าย เป็นวิธีการที่พบเจอได้บ่อยในแดนสนธยา เมิ่งเสวี่ยหลี่มีคนมากกว่าซ้ำยังท่าทางดุดัน ด้วยกลัวว่าพวกเขาจะเข้าใจผิดชิงลงมือโจมตีเล่นงานก่อน ทั้งสามจึงรีบชักเท้าทะยานร่างถอยออกไปพลางตะโกนอธิบาย
“ทุกท่าน! พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้ ไปหาค่ายเวทเคลื่อนย้ายอื่น!”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ตะโกน “อย่าเพิ่งไป รอก่อน!”
เห็นอีกฝ่ายคิดขวาง คนทั้งสามก็หันหลังวิ่งเร็วยิ่งกว่าเก่า ใช้วิชาตัวเบาพาร่างหายลับเข้าไปในป่า ไม่เหลือร่องรอยให้เห็นแม้แต่เงา
เมิ่งเสวี่ยหลี่ลูบหน้าถามจี้เซียว “หน้าตาข้าเหมือนคนร้ายมากหรือไรกัน”
จี้เซียวจ้องมองหน้าเขาอย่างจริงจัง พูดตามตรง “ไม่ ข้ากลับรู้สึกว่างดงามยิ่ง”
เชวี่ยเซียนหมิงหันหน้าไปทางอื่น ปิดปากไออย่างรุนแรงพลางเดินไกลออกไป รู้สึกเหมือนนับวันก็ยิ่งไม่เข้าใจเมิ่งเสวี่ยหลี่ ตกลงเขาชอบผู้แข็งแกร่งแต่เย็นชาอย่างจี้เซียวเจินเหริน หรือว่าชอบศิษย์วัยขบเผาะกันแน่
แดนอสูรไม่ขาดอสูรรูปงาม เชี่ยวชาญทักษะลวงล่อ ทว่าตอนที่เมิ่งเสวี่ยหลี่เป็นจอมอสูรเขาเสวี่ยซาน เขาไม่เคยสนใจเรื่องเช่นนี้แม้แต่น้อย ยามต่อสู้หรือก็จัดการกับศัตรูแบบเดียวกันหมด ไม่สนว่ารูปร่างหน้าตาภายนอกเช่นไร ชายหรือว่าหญิง ล้วนแต่ลงมือหนักหน่วงรุนแรง
ระหว่างพูดคุย คนอื่นๆ ก็เดินเข้าไปห้อมล้อมสำรวจดูค่ายเวทเคลื่อนย้าย แท่นพิธีแลดูเรียบร้อย ไม่มีร่องรอยความเสียหาย ประกายแสงสีฟ้ายังคงหมุนวน แต่เมื่อพิจารณาดูโดยละเอียดก็จะพบว่าทั้งสี่ด้านของแท่นมีแสงสีม่วงจางๆ คล้ายกำแพงไร้รูปร่างขวางกั้น ทำให้พวกเขาไม่อาจผ่านเข้าไปได้
หลิวจิ้งพึมพำ “นี่คือค่ายเวทสะบั้นจิต เป็นค่ายเวทที่อาจารย์ข้าคิดค้นขึ้น หนิงเวยสามารถใช้ค่ายเวทสะบั้นจิตได้…ที่แท้สำนักอู้อิ่นกวนก็มีส่วนด้วย”
ซ่งเฉี่ยนอี้นึกตำหนิอยู่ในใจ ต้องไม่ใช่เพียงอู้อิ่นกวนกับหมิงเยวี่ยหูแน่ พวกเขามีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไหนเลยจะขาดที่เหลือได้
เมิ่งเสวี่ยหลี่เอ่ยขึ้น “พูดให้ชัดอีกหน่อย“
หลิวจิ้งเทียบประกายแสงสีม่วง ขยับชนวนเวท “หลังตัดไอทิพย์จากฟ้าดิน คนที่อยู่ในค่ายเวทจะยกระดับลมปราณไม่ขึ้น ตอนนี้เขาใช้มันผนึกค่ายเวทเคลื่อนย้าย ก็ถูก ค่ายเวทเคลื่อนย้ายมีจิตกระบี่กับพลังของอริยกระบี่ ไหนเลยบอกว่าจะทำลายก็ทำลายได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางเลือก ได้แต่สร้างค่ายเวทสะบั้นจิตครอบไว้อีกชั้น…”
สวีซานซานถาม “หมายความว่าอย่างไร”
เจิ้งมู่เอ่ย “พูดให้ง่ายกว่านี้หน่อย”
หลิวจิ้งคิด “หากบอกว่าค่ายเวทเคลื่อนย้ายคือประตูเข้าออกแดนสนธยา เพียงเปิดประตูก็สามารถเชื่อมต่อไปยังโลกภายนอกได้ แต่เพราะไม่อาจปิดประตูบานนี้ พวกเขาจึงสร้างประตูกั้นไว้อีกชั้น ขอเพียงปิดตายประตูบานที่สองไม่ให้ผู้คนผ่านเข้าไปได้ ประตูด้านในไหนเลยจะใช้การได้…”
ซ่งเฉี่ยนอี้ตัดบท “พอแล้ว ข้าฟังเข้าใจได้แต่แรกแล้ว”
พรรคพวกอีกสองคนไม่กล้าถามต่อ
ทุกคนต่างมีความถนัดเชี่ยวชาญต่างกันไป เมิ่งเสวี่ยหลี่ถามผู้ใช้เวท “มีทางทำลายมันหรือไม่”
หลิวจิ้งพูดอย่างดึงดัน “ข้าจะลองดู”
พรรคพวกของเขามองดูด้วยสายตาวาดหวัง หลิวจิ้งวิ่งไปตามแท่นพิธีทรงกลม มือข้างหนึ่งถือชนวนเวทขยับหมุนอย่างรวดเร็ว มืออีกข้างโยนวัตถุเวทแตกต่างกันออกไปสิบกว่าชนิด ทันทีที่ตกถึงพื้นพวกมันก็เริ่มขยับ ล้อมรอบแท่นพิธีทั้งหมด วาดเส้นสายสลับซับซ้อนขึ้นบนพื้น กำบังแสงสีม่วงประเดี๋ยวมืดประเดี๋ยวสว่างตามหลิวจิ้งที่ขยับร่างเปลี่ยนตำแหน่งไปมาไม่หยุด
ทว่าคิ้วเขายังคงขมวดแน่น สีหน้าเคร่งขรึมมากขึ้นทุกที เม็ดเหงื่อผุดพรายอยู่บนหน้าผากราวกับสายฝน
เวลาผ่านผัน ประกายแสงสีม่วงสว่างชัดมากขึ้นเรื่อยๆ จิงตี๋ร้อนใจ “ยากเพียงนั้นเชียว เจ้าเป็นผู้ใช้เวทหนุ่มที่เก่งที่สุดของอู้อิ่นกวนมิใช่หรือ”
“เจ้าจะไปเข้าใจอะไร!” หลิวจิ้งพูดอย่างโมโห “ข้ากำลังประลองวิชาเวทกับอาจารย์ข้าอยู่!”
นอกจากต้องเผชิญหน้ากับอานุภาพของค่ายเวทแล้ว เขายังต้องแบกรับแรงกดดันทางจิตใจอย่างใหญ่หลวงอีกด้วย
หลิวจิ้งโยนชนวนเวท สูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ข้าทำไม่ได้ ค่ายเวทของอาจารย์ซับซ้อนลึกล้ำยิ่งนัก นับแต่เล็กข้าก็ไม่เคยแก้ไขมันได้สักครั้ง แม้แต่ปริศนาห่วงเหล็กที่เขาสร้างขึ้นข้าก็ยังแก้ไขไม่สำเร็จ ข้าทำไม่ได้…”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “เจ้าทำได้แน่ วันนี้ทำไม่ได้ ก็ต้องมีสักวันที่ทำได้”
หลิวจิ้งพยักหน้าด้วยสีหน้าซีดเผือด
เมิ่งเสวี่ยหลี่กล่าวต่อ “ให้ข้าลองดู พวกเจ้าถอยออกไปสักหน่อยก่อน”
จิงตี๋ประหลาดใจ “อาวุโสเมิ่งเข้าใจเวทสะบั้นจิต?”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ส่ายหน้า “ไม่แม้แต่น้อย”
จี้เซียวนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา พาทุกคนถอยหลัง
อันที่จริงในใจเมิ่งเสวี่ยหลี่ไม่มีแผนอะไรทั้งสิ้น เขาเคลื่อนพลังปราณทั่วร่าง เหวี่ยงกระบี่ฟันลงไป
เห็นเช่นนั้นหลิวจิ้งก็ตะโกนเสียงดัง “ไม่ได้!” ใช้แรงทำลายค่ายเวท หากทำลายได้ย่อมเป็นเรื่องดี แต่หากไม่สำเร็จย่อมถูกพลังสะท้อนกลับ พลังปราณที่โจมตีใส่ค่ายเวทจะถูกดูดซับเข้าไปก่อนจะเล่นงานกลับใส่คนที่โจมตี
แต่ทันทีที่กาลมิสิ้นผ่านผันถูกเหวี่ยงลงไป มือของจี้เซียวที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อกว้างก็ยื่นออกมาเล็กน้อย นิ้วกลางกับนิ้วโป้งจีบเข้าหากันก่อนดีดออกไปเบาๆ เสมือนหนึ่งดอกกล้วยไม้ผลิบาน
เพล้ง…
ทุกคนได้ยินเสียงน้ำแข็งปริแตก ครั้นเห็นประกายแสงสีม่วงหายไปใต้คมกระบี่ของเมิ่งเสวี่ยหลี่ พวกเขาก็รู้สึกประหลาดใจพูดอะไรไม่ออก
จี้เซียวขยับนิ้วน้อยๆ เก็บกลับเข้าแขนเสื้อ ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
เมิ่งเสวี่ยหลี่งุนงง เขากุมกาลมิสิ้นผ่านผันไว้ในกำมือ รับรู้อยู่เลาๆ ว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง ครั้นเห็นทุกคนจ้องมองดูตัวเองเช่นนั้น เขาก็ลูบจมูกพลางเอ่ย “บังเอิญ แค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น”
หลิวจิ้งแม้จะตื่นเต้นดีใจที่เห็นค่ายเวทถูกทำลาย แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าตนเองเสียเวลาเรียนศาสตร์เวทไปเปล่าๆ ถึงยี่สิบปี ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกสับสน “นี่…นี่มันอะไรกัน อาวุโสเมิ่งใช้พลังทำลายทักษะเวท?”
จี้เซียวนึกขึ้นได้ถึงคำพูดที่คู่ร่วมบำเพ็ญแต่งไว้ก่อนหน้านี้ จึงรีบเอ่ยปากแก้ไข “ใช้คุณธรรมสยบใจคน”
เมิ่งเสวี่ยหลี่รีบเดินขึ้นหน้า ลูบแท่นพิธีอย่างปวดใจ เขาพูดเสียงแผ่ว “ค่ายเวทสะบั้นจิตถูกทำลายแล้ว แต่ค่ายเวทเคลื่อนย้ายเหมือนจะพลอยถูกทำลายไปด้วย…”
ครั้นเห็นรอยบากบนแท่น หลิวจิ้งก็นึกไม่ออกว่าตนเองควรแสดงอารมณ์เช่นไร “…จริง”
สวีซานซานงุนงง “หมายความว่าอย่างไร หรือที่พวกเราทำไปเมื่อครู่ล้วนเสียเปล่า?”
เมิ่งเสวี่ยหลี่กระซิบ “ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
บรรยากาศกลับกลายเป็นหนักอึ้ง ฝูงกาในป่าบินออกจากรังมาหาอาหาร ปีกกระพือพึ่บพั่บบินว่อนอยู่เต็มฟ้า
ซ่งเฉี่ยนอี้ขมวดคิ้ว “ไม่ถูก ค่ายเวทเคลื่อนย้ายอาบไว้ด้วยพลังอภินิหารของอริยกระบี่ แม้แต่ผู้แข็งแกร่งก็ยังมิอาจทำลาย ทำได้เพียงใช้ค่ายเวทสะบั้นจิตผนึกไว้ แล้วอาวุโสเมิ่งจะทำลายมันได้อย่างไร”
โปรดติดตามตอนต่อไป…