ทดลองอ่าน กระบี่คู่หานซาน เล่มที่ 2 บทที่ 5 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน กระบี่คู่หานซาน เล่มที่ 2 บทที่ 5 #นิยายวาย

ใช้พลังทำลายทักษะ

ในกลุ่มของจิงตี๋ นิสัยของเชวี่ยเซียนหมิงกับผู้ควบคุมสัตว์เข้าขากันมากที่สุด เพียงแต่เชวี่ยเซียนหมิงรูปลักษณ์ภายนอกงดงามเหลาะแหละ ภายในมุทะลุหยาบกระด้าง ไม่เหมือนสวีซานซานที่นอกในไม่มีอันใดแตกต่าง

เชวี่ยเซียนหมิงกล่าวชม “พยัคฆ์ขาวของเจ้างดงามยิ่ง”

“ดูเผินๆ มันอาจคล้ายดุดัน แต่แท้ที่จริงแล้วมันเชื่อฟังคำข้าเป็นพิเศษ” สวีซานซานพูดอย่างได้ใจ “ไกวไกว มานอนกลิ้งให้สหายเชวี่ยดูหน่อย”

เชวี่ยเซียนหมิงเอื้อมมือหมายลูบหัวของมัน แต่พยัคฆ์ขาวนัยน์ตาสีทองกลับชักเท้าถอยหลังสองก้าว เนื้อตัวแข็งขึง ส่งเสียงคลุมเครืออยู่ในลำคอ

สวีซานซานกลุ้มใจ ก่อนหน้านี้มันไม่ยอมให้อาวุโสเมิ่งขึ้นขี่ ตอนนี้ไม่ยอมให้สหายแซ่เชวี่ยแตะต้อง เขาค้อมกายกระซิบลงที่ข้างหูของพยัคฆ์ขาว “ไกวไกว เจ้าขี้อายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร รู้จักรักษาหน้าข้าบ้าง”

เชวี่ยเซียนหมิงโบกมือ “ไม่เป็นไร พวกเจ้าเป็นคน…อะแฮ่ม ข้าหมายความว่าแดนมนุษย์ของพวกเรา สำนักควบคุมสัตว์ของพวกเจ้า ใครฝีมือร้ายกาจที่สุด แล้วควบคุมสัตว์วิเศษอะไร”

สัตว์วิเศษในแดนมนุษย์กับชนเผ่าอสูรในแดนอสูรมิใช่ชนเผ่าเดียวกัน เขาก็แค่อยากรู้เท่านั้น

ผู้ควบคุมสัตว์พูดเสียงดัง เมิ่งเสวี่ยหลี่พอได้ยินบทสนทนาของพวกเขาสองคนก็หันไปมองเซียวถิงอวิ๋นด้วยสีหน้าอับจน

สวีซานซานพูดขึ้นด้วยความภาคภูมิ “อาจารย์ของข้าคือเจ้าสำนัก งูยักษ์ของเขามีสายเลือดมังกรเขียว ข้าเคยเห็นกับตามาก่อน ส่วนค่ายเวทคุ้มกันสำนักของพวกเราก็มีวิหคหลวน* อยู่ตัวหนึ่ง ว่ากันว่ามีสายเลือดของพญาหงส์เฟิ่งหวงไหลเวียนอยู่ในกาย ทว่าเฟิ่งหวงสูญไปจากสามภพนานแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าจริงเท็จอันใด พวกมันสองตัวไม่เคยสู้กันมาก่อน หากสู้กันขึ้นมาจริงๆ สำนักของข้าคงไม่แคล้วถูกเพลิงผลาญวอดวายหมดสิ้น”

เชวี่ยเซียนหมิงถ่ายเสียงหยันเย้ยเมิ่งเสวี่ยหลี่ “อสูรยิ่งใหญ่เช่นเจ้าพอมาถึงแดนมนุษย์กลับเป็นได้แค่สัตว์วิเศษที่จี้เซียวเลี้ยงไว้ในบ้าน ซ้ำยังถูกขังไว้บนยอดเขาฉางชุนเล็กกระจิริด เทียบไม่ได้แม้แต่กับเซิ่นโซ่ว”

เมิ่งเสวี่ยหลี่ “ถุย! เจ้าลองสืบข่าวในแดนมนุษย์ดูให้ดีเสียก่อน ใครบ้างที่รู้ว่าข้ากับจี้เซียวเป็นเพียงคู่ร่วมบำเพ็ญปลอมๆ ผู้ใดบ้างกล้าบอกว่าจี้เซียวไม่เอ็นดูโปรดปรานข้า!”

เชวี่ยเซียนหมิง “แหวะ!” หลังอาเจียนเสร็จเขาก็หาเรื่องคุยใหม่ “ยังแข่งเป็นที่โปรดปรานกับเซิ่นโซ่วเช่นนี้ เจ้าคงไม่ได้แอบหลงรักจี้เซียวหรอกกระมัง”

เมิ่งเสวี่ยหลี่จีบปาก “ข้าไม่ชอบเขา เขาเองก็ไม่ชอบข้า”

เชวี่ยเซียนหมิงรออยู่ครู่หนึ่ง แต่กลับไม่พบสหายสนิทโหวกเหวกสบถด่า เห็นแต่จอมอสูรเขาเสวี่ยซานในอดีตก้มหน้า ใบหูแดงระเรื่อ

เขาบอกแย่แล้วกับตัวเองในใจ ทว่ายังไม่ทันได้ซักถามรายละเอียด สวีซานซานก็เปิดปากขึ้นอีกครา

“พวกมันสองฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใคร จึงไม่อาจบอกได้ว่าตนใดร้ายกาจที่สุด ทว่าตอนยังเล็กข้าได้ยินอาจารย์บอกว่าลึกเข้าไปในทะเลตะวันตกมีเจียว* ชั่วร้ายสามตัว รูปร่างใหญ่โต เกล็ดสีทองส่องประกาย เดิมเป็นชนเผ่าอสูร หลังแอบลักลอบเข้ามาในแดนมนุษย์ พวกมันก็ออกทะเลก่อกวนผู้คนอยู่เป็นระยะๆ จับคนกินเป็นอาหารจนทำให้พวกชาวบ้านบนเกาะในทะเลตะวันตกตกทุกข์ได้ยาก หากผู้ใดสามารถกำราบให้พวกมันตกลงยอมทำพันธสัญญาสัตว์อสูรได้ คนผู้นั้นย่อมเป็นผู้ควบคุมสัตว์อันดับหนึ่ง ถึงตอนนั้นพวกมันจะยอมศิโรราบด้วยใจ ไม่มีข้อโต้แย้ง!”

จี้เซียวขมวดคิ้วน้อยๆ คล้ายอับจนคล้ายละอายใจ ในใจคิด ข้าไม่อยากเป็น ผู้ควบคุมสัตว์อันดับหนึ่งและเป็นไม่ไหวด้วย

ทุกคนต่างรู้ว่าเขาเป็นคนพูดน้อย นอกจากเมิ่งเสวี่ยหลี่แล้วก็ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเขา

เมิ่งเสวี่ยหลี่ถ่ายเสียงถาม “เป็นอะไร”

“…ไม่มีอะไร” จี้เซียวตอบทันที

สวีซานซานเดินโอบไหล่อยู่กับเชวี่ยเซียนหมิง สนิทสนมยิ่งยวด “ตอนนั้นข้าตั้งปณิธานว่าต้องจับเจียวชั่วนั่นมาฝึกให้จงได้ แต่พอโตขึ้นข้าก็เข้าใจว่านั่นก็แค่ความฝันของคนโง่เท่านั้น นั่นเพราะสัตว์วิเศษยิ่งร้ายกาจมากเท่าใดพวกมันก็ยิ่งยโสมากขึ้นเท่านั้น หากความสามารถของเจ้าเทียบสัตว์วิเศษมิได้ พวกมันไหนเลยจะยอมทำพันธสัญญาด้วย มีเพียงสยบมันให้ได้ ขังมันไว้หลายๆ วันก่อน หลังจากนั้นค่อยพูดคุยกับมัน มันถึงจะยอมก้มหัวให้ ในบ้านไม่มีทะเลแล้วไหนเลยจะขังเจียวได้ ฝันกลางวันชัดๆ”

เชวี่ยเซียนหมิงเอ่ยปากด้วยความประหลาดใจ “เจียว? ว่ากันว่ายามกลายเป็นมังกรมันจะสามารถบรรลุเพียรบำเพ็ญขึ้นสู่แดนสวรรค์ ทว่าตอนนี้ไอทิพย์ซบเซา เจียวคิดกลายร่างเป็นมังกรทำลายกำบังโลกนี้เกรงว่าจะมิใช่ง่าย”

สวีซานซานเกาหัว “มีคำพูดเช่นนี้ด้วยหรือ ข้าเป็นผู้ควบคุมสัตว์แต่กลับไม่รู้เรื่องนี้ เห็นชัดว่าสหายเชวี่ยมีความรู้ลึกล้ำยิ่งนัก นับถือๆ!”

เชวี่ยเซียนหมิงดั่งได้อาบลมวสันต์ ปลาบปลื้มไปกับถ้อยคำชื่นชมของอีกฝ่าย “มิกล้าๆ”

หากมิใช่เพราะต้องปกปิดฐานะอสูรของตนแล้วล่ะก็ เขาก็นึกอยากพ่นเพลิงอสูรออกมาย่างไก่ย่างปลาให้อีกฝ่ายสักตัวสองตัวจริงๆ

ท่ามกลางบทสนทนาเรื่อยเปื่อย ในที่สุดทุกคนก็เดินทางมาถึงค่ายเวทเคลื่อนย้ายที่อยู่ใกล้ที่สุด พวกเขาสำรวจดูสถานการณ์โดยรอบหมายพิสูจน์การคาดเดาของตน

นี่คือค่ายเวทเคลื่อนย้ายที่อยู่ใกล้เมืองจงยางที่สุด มีขนาดเล็กใหญ่ต่างจากค่ายเวทเคลื่อนย้ายที่จี้เซียวกับเมิ่งเสวี่ยหลี่ใช้ส่งกลุ่มขุดแร่พวกนั้นออกไปอยู่เล็กน้อย

ยังไม่ทันจะได้เข้าใกล้ พวกเขาทั้งแปดก็สังเกตเห็นคนสามคนยืนห่างแท่นพิธีทรงกลมส่องประกายแสงสีฟ้าอยู่ไม่ไกล ดูจากการแต่งตัวคนพวกนั้นน่าจะเป็นผู้บำเพ็ญพรตอิสระกลุ่มหนึ่ง กำลังเดินวนไปวนมารอบแท่นนั้นราวกับแมลงวันไม่มีหัว

แทบจะในเวลาเดียวกันอีกฝ่ายก็มองเห็นพวกเขา ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างจากกันราวๆ สิบกว่าจั้ง หนึ่งในนั้นตะโกนมาแต่ไกล “สหายร่วมมรรคาทั้งหลายอย่าได้เข้าใจผิด พวกข้ากำลังจะใช้ค่ายเวทเคลื่อนย้ายไปจากที่นี่ เพียงแต่ค่ายเวทนี้มีปัญหา พวกเราออกไปไม่ได้”

รอปล้น วางกับดักอยู่บริเวณค่ายเวทเคลื่อนย้าย เป็นวิธีการที่พบเจอได้บ่อยในแดนสนธยา เมิ่งเสวี่ยหลี่มีคนมากกว่าซ้ำยังท่าทางดุดัน ด้วยกลัวว่าพวกเขาจะเข้าใจผิดชิงลงมือโจมตีเล่นงานก่อน ทั้งสามจึงรีบชักเท้าทะยานร่างถอยออกไปพลางตะโกนอธิบาย

“ทุกท่าน! พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้ ไปหาค่ายเวทเคลื่อนย้ายอื่น!”

เมิ่งเสวี่ยหลี่ตะโกน “อย่าเพิ่งไป รอก่อน!”

เห็นอีกฝ่ายคิดขวาง คนทั้งสามก็หันหลังวิ่งเร็วยิ่งกว่าเก่า ใช้วิชาตัวเบาพาร่างหายลับเข้าไปในป่า ไม่เหลือร่องรอยให้เห็นแม้แต่เงา

เมิ่งเสวี่ยหลี่ลูบหน้าถามจี้เซียว “หน้าตาข้าเหมือนคนร้ายมากหรือไรกัน”

จี้เซียวจ้องมองหน้าเขาอย่างจริงจัง พูดตามตรง “ไม่ ข้ากลับรู้สึกว่างดงามยิ่ง”

เชวี่ยเซียนหมิงหันหน้าไปทางอื่น ปิดปากไออย่างรุนแรงพลางเดินไกลออกไป รู้สึกเหมือนนับวันก็ยิ่งไม่เข้าใจเมิ่งเสวี่ยหลี่ ตกลงเขาชอบผู้แข็งแกร่งแต่เย็นชาอย่างจี้เซียวเจินเหริน หรือว่าชอบศิษย์วัยขบเผาะกันแน่

แดนอสูรไม่ขาดอสูรรูปงาม เชี่ยวชาญทักษะลวงล่อ ทว่าตอนที่เมิ่งเสวี่ยหลี่เป็นจอมอสูรเขาเสวี่ยซาน เขาไม่เคยสนใจเรื่องเช่นนี้แม้แต่น้อย ยามต่อสู้หรือก็จัดการกับศัตรูแบบเดียวกันหมด ไม่สนว่ารูปร่างหน้าตาภายนอกเช่นไร ชายหรือว่าหญิง ล้วนแต่ลงมือหนักหน่วงรุนแรง

ระหว่างพูดคุย คนอื่นๆ ก็เดินเข้าไปห้อมล้อมสำรวจดูค่ายเวทเคลื่อนย้าย แท่นพิธีแลดูเรียบร้อย ไม่มีร่องรอยความเสียหาย ประกายแสงสีฟ้ายังคงหมุนวน แต่เมื่อพิจารณาดูโดยละเอียดก็จะพบว่าทั้งสี่ด้านของแท่นมีแสงสีม่วงจางๆ คล้ายกำแพงไร้รูปร่างขวางกั้น ทำให้พวกเขาไม่อาจผ่านเข้าไปได้

หลิวจิ้งพึมพำ “นี่คือค่ายเวทสะบั้นจิต เป็นค่ายเวทที่อาจารย์ข้าคิดค้นขึ้น หนิงเวยสามารถใช้ค่ายเวทสะบั้นจิตได้…ที่แท้สำนักอู้อิ่นกวนก็มีส่วนด้วย”

ซ่งเฉี่ยนอี้นึกตำหนิอยู่ในใจ ต้องไม่ใช่เพียงอู้อิ่นกวนกับหมิงเยวี่ยหูแน่ พวกเขามีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไหนเลยจะขาดที่เหลือได้

เมิ่งเสวี่ยหลี่เอ่ยขึ้น “พูดให้ชัดอีกหน่อย“

หลิวจิ้งเทียบประกายแสงสีม่วง ขยับชนวนเวท “หลังตัดไอทิพย์จากฟ้าดิน คนที่อยู่ในค่ายเวทจะยกระดับลมปราณไม่ขึ้น ตอนนี้เขาใช้มันผนึกค่ายเวทเคลื่อนย้าย ก็ถูก ค่ายเวทเคลื่อนย้ายมีจิตกระบี่กับพลังของอริยกระบี่ ไหนเลยบอกว่าจะทำลายก็ทำลายได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางเลือก ได้แต่สร้างค่ายเวทสะบั้นจิตครอบไว้อีกชั้น…”

สวีซานซานถาม “หมายความว่าอย่างไร”

เจิ้งมู่เอ่ย “พูดให้ง่ายกว่านี้หน่อย”

หลิวจิ้งคิด “หากบอกว่าค่ายเวทเคลื่อนย้ายคือประตูเข้าออกแดนสนธยา เพียงเปิดประตูก็สามารถเชื่อมต่อไปยังโลกภายนอกได้ แต่เพราะไม่อาจปิดประตูบานนี้ พวกเขาจึงสร้างประตูกั้นไว้อีกชั้น ขอเพียงปิดตายประตูบานที่สองไม่ให้ผู้คนผ่านเข้าไปได้ ประตูด้านในไหนเลยจะใช้การได้…”

ซ่งเฉี่ยนอี้ตัดบท “พอแล้ว ข้าฟังเข้าใจได้แต่แรกแล้ว”

พรรคพวกอีกสองคนไม่กล้าถามต่อ

ทุกคนต่างมีความถนัดเชี่ยวชาญต่างกันไป เมิ่งเสวี่ยหลี่ถามผู้ใช้เวท “มีทางทำลายมันหรือไม่”

หลิวจิ้งพูดอย่างดึงดัน “ข้าจะลองดู”

พรรคพวกของเขามองดูด้วยสายตาวาดหวัง หลิวจิ้งวิ่งไปตามแท่นพิธีทรงกลม มือข้างหนึ่งถือชนวนเวทขยับหมุนอย่างรวดเร็ว มืออีกข้างโยนวัตถุเวทแตกต่างกันออกไปสิบกว่าชนิด ทันทีที่ตกถึงพื้นพวกมันก็เริ่มขยับ ล้อมรอบแท่นพิธีทั้งหมด วาดเส้นสายสลับซับซ้อนขึ้นบนพื้น กำบังแสงสีม่วงประเดี๋ยวมืดประเดี๋ยวสว่างตามหลิวจิ้งที่ขยับร่างเปลี่ยนตำแหน่งไปมาไม่หยุด

ทว่าคิ้วเขายังคงขมวดแน่น สีหน้าเคร่งขรึมมากขึ้นทุกที เม็ดเหงื่อผุดพรายอยู่บนหน้าผากราวกับสายฝน

เวลาผ่านผัน ประกายแสงสีม่วงสว่างชัดมากขึ้นเรื่อยๆ จิงตี๋ร้อนใจ “ยากเพียงนั้นเชียว เจ้าเป็นผู้ใช้เวทหนุ่มที่เก่งที่สุดของอู้อิ่นกวนมิใช่หรือ”

“เจ้าจะไปเข้าใจอะไร!” หลิวจิ้งพูดอย่างโมโห “ข้ากำลังประลองวิชาเวทกับอาจารย์ข้าอยู่!”

นอกจากต้องเผชิญหน้ากับอานุภาพของค่ายเวทแล้ว เขายังต้องแบกรับแรงกดดันทางจิตใจอย่างใหญ่หลวงอีกด้วย

หลิวจิ้งโยนชนวนเวท สูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ข้าทำไม่ได้ ค่ายเวทของอาจารย์ซับซ้อนลึกล้ำยิ่งนัก นับแต่เล็กข้าก็ไม่เคยแก้ไขมันได้สักครั้ง แม้แต่ปริศนาห่วงเหล็กที่เขาสร้างขึ้นข้าก็ยังแก้ไขไม่สำเร็จ ข้าทำไม่ได้…”

เมิ่งเสวี่ยหลี่ตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “เจ้าทำได้แน่ วันนี้ทำไม่ได้ ก็ต้องมีสักวันที่ทำได้”

หลิวจิ้งพยักหน้าด้วยสีหน้าซีดเผือด

เมิ่งเสวี่ยหลี่กล่าวต่อ “ให้ข้าลองดู พวกเจ้าถอยออกไปสักหน่อยก่อน”

จิงตี๋ประหลาดใจ “อาวุโสเมิ่งเข้าใจเวทสะบั้นจิต?”

เมิ่งเสวี่ยหลี่ส่ายหน้า “ไม่แม้แต่น้อย”

จี้เซียวนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา พาทุกคนถอยหลัง

อันที่จริงในใจเมิ่งเสวี่ยหลี่ไม่มีแผนอะไรทั้งสิ้น เขาเคลื่อนพลังปราณทั่วร่าง เหวี่ยงกระบี่ฟันลงไป

เห็นเช่นนั้นหลิวจิ้งก็ตะโกนเสียงดัง “ไม่ได้!” ใช้แรงทำลายค่ายเวท หากทำลายได้ย่อมเป็นเรื่องดี แต่หากไม่สำเร็จย่อมถูกพลังสะท้อนกลับ พลังปราณที่โจมตีใส่ค่ายเวทจะถูกดูดซับเข้าไปก่อนจะเล่นงานกลับใส่คนที่โจมตี

แต่ทันทีที่กาลมิสิ้นผ่านผันถูกเหวี่ยงลงไป มือของจี้เซียวที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อกว้างก็ยื่นออกมาเล็กน้อย นิ้วกลางกับนิ้วโป้งจีบเข้าหากันก่อนดีดออกไปเบาๆ เสมือนหนึ่งดอกกล้วยไม้ผลิบาน

เพล้ง…

ทุกคนได้ยินเสียงน้ำแข็งปริแตก ครั้นเห็นประกายแสงสีม่วงหายไปใต้คมกระบี่ของเมิ่งเสวี่ยหลี่ พวกเขาก็รู้สึกประหลาดใจพูดอะไรไม่ออก

จี้เซียวขยับนิ้วน้อยๆ เก็บกลับเข้าแขนเสื้อ ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น

เมิ่งเสวี่ยหลี่งุนงง เขากุมกาลมิสิ้นผ่านผันไว้ในกำมือ รับรู้อยู่เลาๆ ว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง ครั้นเห็นทุกคนจ้องมองดูตัวเองเช่นนั้น เขาก็ลูบจมูกพลางเอ่ย “บังเอิญ แค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น”

หลิวจิ้งแม้จะตื่นเต้นดีใจที่เห็นค่ายเวทถูกทำลาย แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าตนเองเสียเวลาเรียนศาสตร์เวทไปเปล่าๆ ถึงยี่สิบปี ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกสับสน “นี่…นี่มันอะไรกัน อาวุโสเมิ่งใช้พลังทำลายทักษะเวท?”

จี้เซียวนึกขึ้นได้ถึงคำพูดที่คู่ร่วมบำเพ็ญแต่งไว้ก่อนหน้านี้ จึงรีบเอ่ยปากแก้ไข “ใช้คุณธรรมสยบใจคน”

เมิ่งเสวี่ยหลี่รีบเดินขึ้นหน้า ลูบแท่นพิธีอย่างปวดใจ เขาพูดเสียงแผ่ว “ค่ายเวทสะบั้นจิตถูกทำลายแล้ว แต่ค่ายเวทเคลื่อนย้ายเหมือนจะพลอยถูกทำลายไปด้วย…”

ครั้นเห็นรอยบากบนแท่น หลิวจิ้งก็นึกไม่ออกว่าตนเองควรแสดงอารมณ์เช่นไร “…จริง”

สวีซานซานงุนงง “หมายความว่าอย่างไร หรือที่พวกเราทำไปเมื่อครู่ล้วนเสียเปล่า?”

เมิ่งเสวี่ยหลี่กระซิบ “ข้าไม่ได้ตั้งใจ”

บรรยากาศกลับกลายเป็นหนักอึ้ง ฝูงกาในป่าบินออกจากรังมาหาอาหาร ปีกกระพือพึ่บพั่บบินว่อนอยู่เต็มฟ้า

ซ่งเฉี่ยนอี้ขมวดคิ้ว “ไม่ถูก ค่ายเวทเคลื่อนย้ายอาบไว้ด้วยพลังอภินิหารของอริยกระบี่ แม้แต่ผู้แข็งแกร่งก็ยังมิอาจทำลาย ทำได้เพียงใช้ค่ายเวทสะบั้นจิตผนึกไว้ แล้วอาวุโสเมิ่งจะทำลายมันได้อย่างไร”

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com