everY
ทดลองอ่าน กระบี่คู่หานซาน เล่มที่ 2 บทที่ 7 #นิยายวาย
ทวนสะบั้นจมผืนทราย
มุมปากของปรมาจารย์ไท่หังยกขึ้นน้อยๆ หากแต่เพราะนานมากแล้วที่เขาไม่เคยยิ้ม ดังนั้นสีหน้าจึงแข็งขึงคล้ายไม่รู้ว่ายิ้มเป็นเช่นไร ทว่าน้ำเสียงของเขากลับอ่อนโยนเจื้อยแจ้ว
“ตอนอาจารย์เจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าเพิ่งจะอายุสิบเก้า อาจารย์เจ้าพาเจ้ามายังหุบเขา ขอให้ข้าช่วยตั้งชื่อให้ เขาบอกว่าเจ้าเป็นคนทึ่มทื่อไร้เล่ห์เหลี่ยม หวังว่าวันหน้าจะฉลาดเฉลียวขึ้นสักหน่อย ดังนั้นข้าจึงตั้งชื่อให้เจ้าว่า ‘เจี้ยนเวย’ อาจารย์เจ้ากลับไปด้วยความพึงพอใจ”
คนเหมือนดั่งนาม แท้ที่จริงแล้วคนมีความสามารถสมชื่อนั้นกลับมีไม่มากนัก อันที่จริงการตั้งชื่อก็เป็นแค่ความปรารถนาเท่านั้น ซึ่งอาจเป็นหรือมิเป็นดังหวังก็ได้ โจวอี้พูดถูกเรื่องหนึ่ง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้ หากเป็นหยวนจื่อเยี่ยหรือเฉียนอวี้จือแล้วล่ะก็ พวกเขาคงตื่นตัวระวังตนอยู่ก่อนแล้ว มีหรือจะยอมเดินทางมาตามนัดเพียงลำพัง ดีไม่ดีอาจไม่แม้แต่จะย่างเท้าเหยียบเข้ามายังหุบเขาจิ้งซือเสียด้วยซ้ำ
ได้ยินไท่ซั่งจั่งเหล่าพูดถึงเรื่องราวในอดีต นัยน์ตาเจี้ยนเวยเจินเหรินก็ฉายแววเจ็บปวด
ปรมาจารย์ไท่หังพูดต่อ “เจ้าเป็นเจ้าสำนักมาหลายปี คงลืมเรื่องนี้ไปนานแล้วกระมัง ก่อนจี้เซียวจะเป็นแดนมนุษย์ไร้พ่าย ใครกันที่ค้ำจุนปกป้องหานซานและเหล่าสานุศิษย์ พวกเจ้าเองก็คงลืมแล้วกระมัง ข้าอายุมากแล้ว ทว่าความทรงจำกลับเหนือกว่าคนหนุ่มอย่างพวกเจ้า…ยามนี้เพราะไม่มีเรื่องสำคัญอันใด ข้าถึงได้มีเวลาพูดคุยสัพเพเหระกับเจ้า”
หากไม่มีเลือดสดๆ นองเต็มพื้นกับประกายแสงสีม่วงเย็นยะเยือกของค่ายเวทสะบั้นจิต เขาคงไม่ต่างอันใดกับผู้อาวุโสที่กำลังทักทายพูดคุยอยู่กับเด็กรุ่นหลัง
เจ้าสำนักกัดฟันสะกดกลั้นความเจ็บปวดตอบ “ข้าจำได้!” เลือดของเขาแผ่เป็นวงกว้างอยู่บนพื้นกระเบื้องแก้ว ซึมผ่านเข้าไปในรอยต่อ
“เจ้าจำได้?” ปรมาจารย์ไท่หังถามเองตอบเอง “ยามนั้นอาจารย์ของจี้เซียวกับหูซื่อ ขนาดตายก็ยังบรรลุได้เพียงสภาวะยานต่ำ อาจารย์ของเจ้าเหนือกว่าเล็กน้อยอยู่ในสภาวะยานสูงช่วงต้น ส่วนข้าเข้าสู่สภาวะเทพจำแลงเมื่อสองร้อยปีก่อน ตอนนั้นจี้เซียวอยู่ที่ใด เขาเพิ่งเข้าสู่มรรคาวิถีเท่านั้น…พวกเจ้าจำไม่ได้แล้วแม้แต่น้อย เพียงเห็นใครแข็งแกร่งกว่าก็สนับสนุนผู้นั้น”
เจ้าสำนักสูดลมหายใจเข้าลึก “แข็งแกร่งเป็นกฎข้อหนึ่ง แต่มิใช่กฎเพียงหนึ่งเดียว ฟ้าดินกว้างใหญ่ หลักทำนองคลองธรรมเหนืออื่นใด ท่านกับจี้เซียวไม่ว่าผู้ใดยิ่งใหญ่กว่าก็ไม่มีทางเหนือหลักทำนองคลองธรรมแห่งแผ่นฟ้าผืนพสุธา! ระยะหลังเพียรบำเพ็ญของท่านขาดความพอดิบพอดี ไร้เหตุผล ข้าย่อมไม่ยินดีปฏิบัติตาม”
ไท่ซั่งจั่งเหล่าไม่โกรธแต่กลับยิ้ม รู้สึกว่าเจี้ยนเวยยังไม่เข้าใจสถานการณ์อย่างกระจ่างชัด “เจ้าคิดคุยเหตุผลกับข้า? เจ้ากล้าสอนข้ากระนั้นหรือ ข้าเป็นผู้อาวุโสของเจ้า ไม่ใช่ศิษย์อายุสั้นของเจ้า”
ศิษย์ อายุสั้น แดนสนธยา เจ้าสำนักหลับตา “ชุยจิ่ง พวกเจ้า…” จู่ๆ เขาก็ไม่รู้ว่าควรพูดอันใด
“ชุยจิ่งกลับมาไม่ได้แล้ว” โจวอี้กล่าว “ก่อนเจ้าจะตายกลายเป็นผีข้าจะช่วยให้เจ้าได้รู้เรื่องรู้ราวทั้งหมด สานุศิษย์ที่เข้าร่วมการประลองแดนสนธยาหากสามวันสุดท้ายยังไม่กลับออกมา พวกเขาย่อมไม่มีวันได้กลับมาอีก ชุยจิ่งนิสัยดื้อรั้น ซ้ำยังเป็นความหวังของเจ้า เช่นนี้เขาย่อมต้องอยู่จนถึงวันสุดท้ายแน่” สุดท้ายหานซานย่อมเหลือเพียงสานุศิษย์ชั้นยอดของไท่ซั่งจั่งเหล่าเท่านั้นที่รอดกลับมา
เจ้าสำนักสีหน้าซีดเผือด จิตใจห่อเหี่ยว
“เพราะกฎของจี้เซียวสร้างความไม่พึงพอใจให้กับผู้คนจำนวนมาก ถึงได้มีการร่วมมือกันเช่นนี้ นี่คือความต้องการของผู้คนส่วนใหญ่” ปรมาจารย์ไท่หังเก็บยิ้ม พูดด้วยสีหน้าเมินเฉย “มีคนเคยบอกกับข้าประโยคหนึ่ง ข้ารู้สึกว่ามันมีเหตุผลยิ่ง ผู้บำเพ็ญพรตสามารถฝืนมรรคาสวรรค์ได้ แต่กลับมิอาจฝืนความต้องการของผู้คนส่วนใหญ่ได้”
เกล็ดขนาดใหญ่เท่าปากชาม อวี๋ฉี่ซูคิด เหตุผลข้าเข้าใจ แต่เกล็ดปลาเหตุใดจึงใหญ่โตได้ถึงเพียงนี้
เสียงคำรามทุ้มต่ำน่าเกรงขามประหนึ่งสัตว์ยักษ์ดึกดำบรรพ์ใต้สระลึกตื่น อวี๋ฉี่ซูใจเต้นระส่ำ มือที่ถือเกล็ดสีทองเอาไว้สั่นระริก
เกล็ดขนาดใหญ่ที่หลุดร่วงออกมานี้ใช่ของปลาไนในสระนี้หรือ แล้วสัตว์ประหลาดอะไรกันถึงสามารถส่งเสียงเช่นนี้ออกมาได้
สระน้ำเล็กๆ ที่ข้าเคยเห็น ใช่สระน้ำจริงอย่างนั้นหรือ
กระแสน้ำใต้สระลึกปั่นป่วน เชี่ยวกรากโถมถา พัดร่างเขาไปไกลยิ่งกว่าเก่า ท่ามกลางความมืดหนาหนัก อวี๋ฉี่ซูสังเกตเห็นลำแสงสีทองสายหนึ่ง ดูไม่ต่างอันใดกับแถบผ้าแพรไหม ส่องประกายวับวาวเช่นเดียวกับเกล็ดที่อยู่ในมือเขา หากแต่สว่างไสวยิ่งกว่า
เขาแหวกว่ายไปทางลำแสงสีทองอย่างสุดกำลัง ยิ่งเข้าใกล้แสงที่ว่าก็ยิ่งสุกสว่าง จนสามารถมองเห็นดินเลนใต้น้ำ ไข่มุกสว่างไสวปะการังสดใสงดงาม รวมถึงกุ้งปลาตัวเล็กตัวน้อยที่ว่ายอยู่ได้ชัดถนัดตา จุดที่มีดินเลนกองสะสมกันอยู่ตื้นๆ นั้น เขาสามารถมองเห็นภูมิประเทศสูงต่ำเต็มไปด้วยหุบเหวเขาสูงตัดสลับกันไปมาชัดแจ้ง อวี๋ฉี่ซูไม่ได้ตื่นตะลึงไปกับทัศนียภาพใต้น้ำลึกพวกนั้น จนกระทั่งลำแสงสีทองปรากฏชัดต่อสายตา มันเคลื่อนจากไกลเข้ามาใกล้ ว่ายวนอยู่เหนือหัวเขาช้าๆ มันไม่ใช่แถบผ้าแพรไหมและไม่ใช่ลำแสง หากแต่เป็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายงูยักษ์ลำตัวยาวสิบกว่าจั้ง หัวของมันดูคล้ายหัวเสือ
“เจียว?” อวี๋ฉี่ซูลืมแม้แต่จะกะพริบตา หัวใจแทบกระเด็นออกจากอก ร่างของเขาเล็กเสียยิ่งกว่ากรงเล็บของมัน ตาของอวี๋ฉี่ซูจับจ้องไปยังลำแสงสีทองอีกสองสายที่กำลังแหวกว่ายเลื้อยลดคดเคี้ยวเข้ามา
ไม่ใช่ตัวเดียว หากแต่เป็นสามตัว ปลาไนในสระก็มีสามตัวเช่นกัน
เช่นนี้นี่เอง ที่แท้ก็เช่นนี้เอง อวี๋ฉี่ซูคิด
ตอนที่เข้ามาในยอดเขาฉางชุน เมิ่งเสวี่ยหลี่สอนเขาเป็นครั้งแรกที่ลานทัศนาเหนือทุ่งหญ้าเขียวขจีบนยอดเขา ถ่ายทอดทักษะการต่อสู้แบบประชิดตัวให้ ต่อมาศิษย์พี่เซียวถิงอวิ๋นก็มา ตอนนั้นเขาถามคำถามศิษย์พี่ข้อหนึ่ง อะไรคือการต่อสู้กับกถามรรค อะไรคือการต่อสู้กับจิตมรรคา
คำตอบของศิษย์พี่ค่อนข้างเป็นนามธรรม นามธรรมเสียยิ่งกว่าทะเลเมฆที่เคลื่อนคล้อยกระจัดกระจายอยู่รอบๆ ยอดเขา เขาคล้ายจะเข้าใจอยู่รางๆ แต่ก็เหมือนมีผ้าโปร่งผืนบางขวางกั้นอยู่ชั้นหนึ่ง จนถึงวันนี้นี่คือครั้งแรกที่เขาได้เห็นพลังอภินิหารของปรมัตถ์ด้วยตาตนเอง
ที่แท้…สระน้ำแห่งนี้ก็คือสมุทรกว้าง
ส่วนปลาไนสามตัวนั้นแท้จริงก็คือเจียวสามตัว
เจียวทั้งสามรวมตัวอยู่ด้วยกัน ห่างจากเหนือหัวเขาไปราวๆ สิบกว่าจั้ง ประกายแสงสีทองเหยียดยาวสุดลูกหูลูกตา ส่องสว่างระลอกน้ำใต้สมุทร
ทัศนียภาพดังกล่าวสร้างความหวั่นไหวให้กับผู้ที่ได้พบเห็น ไม่เพียงปลุกเร้าจักษุสัมผัส หากยังประทับลึกอยู่บนจิตมรรคา อวี๋ฉี่ซูเนื้อตัวแข็งทื่อ ลอยกระเพื่อมตามกระแสคลื่น จนกระทั่งเจียวตัวหนึ่งค้อมหัวลงมา หนึ่งคนหนึ่งเจียวสอดประสานสายตา
ใจของอวี๋ฉี่ซูราวกับถูกมนุษย์ยักษ์กุมแน่น เขาคิดอย่างกระวนกระวาย อาจารย์ศิษย์พี่ไม่อยู่ ข้าเป็นคนให้อาหารพวกเจ้าทุกวัน บุญคุณป้อนข้าวป้อนน้ำนี้ ข้ามิได้หวังเรียกร้องสิ่งตอบแทน หวังก็แต่พวกเจ้าจะยั้งปากไม่กินข้าเข้าไปก็เท่านั้น ข้าตัวเล็กกระจิริดเพียงเท่านี้ เพียรบำเพ็ญหรือก็ต่ำต้อย รสชาติไม่ได้เรื่อง ไม่พอแม้แต่จะอุดซอกฟัน
หากจี้เซียวอยู่ด้วยในตอนนี้ เขาย่อมต้องบอกอวี๋ฉี่ซูให้รู้แน่ว่าเจียวเหล่านี้รู้จักวิธีกลืนกินไอทิพย์ ไม่กินมนุษย์เป็นอาหารอีกต่อไป
เขาได้ยินเจียวเหล่านั้นพึมพำพูด คล้ายเสียงวัวร้องคล้ายเสียงเสือคำราม ดังขึ้นๆ ลงๆ ลอยละล่องเชื่องช้ายืดยาว หากเมิ่งเสวี่ยหลี่อยู่ที่นี่ เขาน่าจะฟังภาษาโบราณของชนเผ่าอสูรได้เข้าใจ
“กิน…ได้…หรือไม่” เจียวตัวที่สามถาม
เจียวตัวที่หนึ่ง “กิน…ได้…แต่…ไม่…จำ…เป็น”
เจียวตัวที่สอง “เป็น…ศิษย์…น้อง…ของ…คน…ผู้…นั้น”
ทว่าที่นี่มีเพียงอวี๋ฉี่ซู เขาฟังไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น และไม่รู้อะไรเลยแม้แต่น้อย หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเด็กหนุ่มก็พยายามระงับความหวาดหวั่น ลืมสิ้นว่าคำว่า ‘กลัว’ สะกดเช่นไร
เขาอยากขยับเข้าไปใกล้อีกสักนิด พิจารณาดูอสูรยิ่งใหญ่ในตำนานให้ละเอียด หากเขาถูกกำหนดให้มีชีวิตวันนี้เป็นวันสุดท้าย อย่างน้อยเขาก็ไม่ปรารถนาจะเปลืองเวลาไปกับการสวดอธิษฐานใดๆ
ทว่าเจียวพวกนั้นกลับชักสายตากลับราวกับปรึกษากันเป็นที่เรียบร้อย พวกมันโบกหางเต็มแรง ทะยานร่างขึ้นด้านบน อวี๋ฉี่ซูยังไม่ทันได้ทำอะไรก็ถูกกระแสน้ำขนาดใหญ่ที่เกิดจากการสะบัดหางของพวกมันกระแทกปลิวออกไปไกลเกินสิบกว่าจั้ง ชนเข้ากับกองดินเลนเต็มแรง
งานนี้ขาดทุนชัดๆ เขาคิด ข้าไม่ควรให้อาหารปลาตั้งแต่แรก
อวี๋ฉี่ซูกลืนเลือดลงท้องไปได้ไม่ทันไร เขาก็รู้สึกว่าพื้นสมุทรที่อยู่ด้านล่างสั่นไหว เดิมเขาเข้าใจว่าบางทีอาจเพราะรู้สึกวิงเวียนไปเอง หรือไม่ก็เพราะพวยน้ำที่เกิดเมื่อครู่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวตามมา
เขาฝืนลืมตา คราวนี้ภาพตรงหน้าไม่เพียงทำให้เขาลืมความหวาดหวั่น หากยังลืมความเจ็บปวดด้วย
ลึกลงไปใต้สมุทร ท่ามกลางดินเลนเขามองเห็นกระบี่เล่มหนึ่งปักจมผืนทราย ตัวกระบี่ส่องประกายแสงอบอุ่นสั่นสะท้านเบาๆ ระลอกน้ำแผ่กระจายเป็นวงกว้างโดยมีมันเป็นศูนย์กลาง
กระบี่ยาวสั่นไหวเร็วขึ้น ทำให้พื้นสมุทรสั่นสะเทือนรุนแรง ครั้นฝุ่นธุลีที่เคยจับอยู่บนตัวกระบี่หล่นร่วง อวี๋ฉี่ซูถึงพบว่ากระบี่เล่มนี้มิได้หัก ไม่มีรอยร้าว ไม่มีคราบสนิม หากกลับยังคงกระจ่างวับวาวราวกับคันฉ่อง ส่องสะท้อนใบหน้าของตนเอง
กระบี่ที่ถูกฝังอยู่ในสระน้ำกลางยอดเขาฉางชุน ยังจะเป็นกระบี่วิเศษอันใดได้อีก
อยู่ใต้น้ำไม่มีทางอ้าปาก อวี๋ฉี่ซูถ่ายเสียงอย่างตื่นเต้น “อุษาไร้เขตขัณฑ์ เป็นเจ้าอย่างนั้นหรือ”
พูดจบเขาก็นึกเสียใจ ถึงกับถ่ายเสียงพูดคุยกับกระบี่เช่นนี้ หรือเขาจะเสียสติไปแล้ว!
“ข้าไม่ได้เสียสติ” เมิ่งเสวี่ยหลี่ที่อยู่ในแดนสนธยาพูดซ้ำ
จี้เซียวเอ่ยปากตอบเขาแทบจะในเวลาเดียวกัน “ข้าเชื่อ”
โปรดติดตามตอนต่อไป…