everY
ทดลองอ่าน กระบี่คู่หานซาน เล่มที่ 3 บทที่ 12 #นิยายวาย
วางตนสำรวม
เมิ่งเสวี่ยหลี่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ในอ้อมแขนของคู่ร่วมบำเพ็ญ ลมหายใจสม่ำเสมอ
ก่อนไปจี้เซียวทิ้งไอกระบี่สายหนึ่งไว้บนหัวเตียง ไม่ต่างอันใดกับสายลมอุ่นบนยอดเขาฉางชุน คอยปกป้องคุ้มครองนิทราแสนหวานของเมิ่งเสวี่ยหลี่
ฤดูร้อนเมืองเฟิงเยวี่ย กลางวันฟ้าแจ้งร้อนระอุ กลางคืนสายฝนไปมารวดเร็ว
หลังละอองฝนผ่านพ้นอากาศก็กลับกลายเป็นสดชื่น ท้องฟ้าเปิด ดวงจันทร์แลดูสว่างไสวเป็นพิเศษ ราวกับตะกั่วนองพื้น เสียงแมลงกลางป่าไผ่ดังขึ้นอีกครั้ง ถี่กระชั้นเหมือนก่อนฝนตก
จี้เซียวเดินออกจากเรือนจู๋หลี่ แสงจันทร์จับอยู่บนอกกว้าง ใบหญ้าหยาดฝนเปื้อนอยู่บนชายอาภรณ์ เขาย่ำผ่านแอ่งน้ำไร้สิ้นสรรพเสียง เดินผ่านทางเดินคดเคี้ยว ไม่มีแมลงร้องตกใจ คล้ายว่าเขาจะใช้วิธีแปลกประหลาดอัศจรรย์หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับป่าไผ่
ปลายสุดของป่าไผ่ ลานหลังหอมีอสูรรับใช้สองตนยืนถือโคมไฟเข้าเวรอยู่
จู่ๆ อสูรตนหนึ่งก็ปรายตามอง เอ่ยถามสหายว่า “เจ้าเห็นหรือไม่ มีเงาสีขาวผ่านไป”
“เจ้าตาลายไปหรือไม่ ก็แค่ลมพัดดอกไม้ร่วง” อสูรอีกตนชี้ไปที่เหนือหัว
ท่ามกลางสายลมเย็นหลังฝน ต้นอวี้หลันสูงใหญ่ส่ายไหว กลีบดอกขาวนวลขนาดใหญ่หมุนคว้างร่วงหล่น
อสูรรับใช้ตนนั้นเงยหน้าขึ้น ตะลึงมองดอกไม้ร่ายรำร่วงหล่น “…ใช่ลมงั้นหรือ”
จี้เซียวทะยานร่างผ่านลานเข้าสู่โถงใหญ่ของหอหงเฉินจุ้ยเมิ่งราวกับเข้าสู่ดินแดนร้างไร้ผู้คน ในห้องโถงเสียงเพลงเสียงอึกทึกยังคงดังก้องเหมือนเก่า อาบไล้สุกสว่างด้วยแสงเงินแสงทอง โคมไฟนับพันเปลี่ยนถนนหนทางนอกหอให้สว่างราวกับกลางวัน เหล่าอสูรหัวเราะเริงร่าเดินชมโคมไฟ พลังปราณรอบกายจี้เซียวราวกับหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับถนนทั้งสาย
พ้นจากตรอกถนนหอคณิกา เมืองเฟิงเยวี่ยทั้งเมืองกำลังหลับใหล บ้านเรือนประตูปิดมิดชิด ราวกับโลกอีกใบ
บนถนนมีทหารอสูรลาดตระเวนผ่านไปมาบ้างเป็นครั้งคราว คบไฟส่ายไหวไปมา ชุมนุมหมื่นอสูรใกล้เข้ามาทุกขณะ อสูรนักโทษในเจดีย์เจิ้นเยายังคงลอยนวล เรื่องนี้ทำให้แม่ทัพเฝ้าเมืองชั้นในยิ่งร้อนรน ในเวลาพิเศษเช่นนี้อสูรชั้นสูงสามารถแสวงหาความสุขได้เช่นเก่า ทว่าอสูรชั้นต่ำกลับมิอาจเตร็ดเตร่ยามวิกาล ป้องกันมิให้ตนเองต้องกลายเป็นผู้ต้องสงสัย
ถนนใหญ่ว่างเปล่า เงาไม้สองข้างทางไหวพลิ้ว โคมไฟใต้ชายคาส่ายไหว จี้เซียวเดินเอ้อระเหยไปอย่างช้าๆ สองมือไพล่หลัง
ทหารอสูรลาดตระเวนท่าทางตื่นตัวกลุ่มหนึ่งเดินตรงเข้ามา ก่อนจะเฉียดไหล่ผ่านเขาไป จังหวะย่างก้าวรีบร้อน ทั้งๆ ที่ควรมองเห็นจี้เซียวแต่กลับมองไม่เห็น ราวกับเดินผ่านต้นไม้ต้นหนึ่ง
หลังฝนตกพื้นหินยังไม่แห้ง ใต้แสงจันทร์กระจ่างมันคล้ายมีแสงสีเงินวับวาวอาบอยู่อีกชั้น อุณหภูมิไม่ร้อนไม่หนาว เหมาะที่จะออกมาเดินเล่น
จี้เซียวเมื่อชาติก่อนแทบจะไม่เคยมีเวลาว่างหรือมีอารมณ์ออกมาเดินเล่นกลางค่ำกลางคืนเช่นนี้มาก่อน การมีตัวตนของเขาเป็นที่รู้จักของผู้คนมากเกินไป ความคาดหวังของผู้คนและสถานการณ์รอบด้านต่างบีบบังคับเขา การกลับมาเริ่มบำเพ็ญเพียรใหม่อีกครั้ง เขายิ่งเข้าใจว่าจะวางตนสำรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดินเช่นไร
ตลอดการเดินทางในแดนอสูร เขายืนอยู่หลังเมิ่งเสวี่ยหลี่ โน้มนำอีกฝ่ายอย่างสงบเยือกเย็น ราวกับลมวสันต์กลายกลับเป็นฝน ให้ความชุ่มชื้นกับสรรพสิ่งเงียบๆ
สำหรับจี้เซียวแล้ว แน่นอนว่ามีวิธีที่ง่ายและตรงไปตรงมากว่า ทว่าคู่ร่วมบำเพ็ญปฏิบัติต่อกันมิใช่สำราญเพียงชั่วข้ามคืน หากต้องบรรลุมรรคาขึ้นสู่แดนเซียนร่วมกัน เรื่องเกี่ยวกับวิถีมรรคาของเมิ่งเสวี่ยหลี่ เขายินดีอดทนให้มากหน่อย สุขุมละเอียดรอบคอบ ให้เมิ่งเสวี่ยหลี่ได้คลายปมในใจเอง ยุติบุญคุณความแค้นเมื่อกาลก่อน โอกาสบรรลุย่อมไม่เกินความคาดหมาย
เมื่อครู่จี้เซียวถามเมิ่งเสวี่ยหลี่ว่า ‘หลังเข้าเมืองมา เมืองเฟิงเยวี่ยเป็นเช่นไรเจ้าก็เห็นด้วยตาตนเองแล้ว รู้สึกเช่นไรบ้าง’ คำตอบของเมิ่งเสวี่ยหลี่ยาวมาก ส่วนใหญ่ล้วนเพราะความเข้าใจที่อีกฝ่ายมีต่อผู้สร้างเมือง จี้เซียวไม่รู้จักหลิงซาน หากให้เขามองดูเมืองเฟิงเยวี่ย เขาคงไม่แคล้ว ‘มอง’ ดูมันจริงๆ มองดูตามสภาพของสิ่งปลูกสร้าง ใบหน้าของเหล่าอสูร เส้นทางลมยามค่ำคืน จันทร์กระจ่าง เมื่อมุมมองและสายตาแตกต่างกัน สิ่งที่พบเห็นย่อมแตกต่าง
ทุกสรรพสิ่งทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตในเมืองล้วนมีส่วนสร้างเมืองนี้ขึ้นมา โลดแล่นไปตามแนวโคจรของไอทิพย์แห่งฟ้าดินที่นี่
ผู้บำเพ็ญพรตเมื่อจิตตระหนักรู้บรรลุถึงระดับหนึ่งก็จะสามารถสอดส่องสืบเสาะแนวโคจรไร้รูปลักษณ์ชนิดนี้ได้ หรือก็คือ ‘แนวโคจรไอทิพย์’
ดังนั้นในสายตาของจี้เซียว สีสันของต้นไม้ใบหญ้า หอตำหนักปะรำศาลา ถนนชายคาต่างๆ ล้วนค่อยๆ จางลง กลับกลายเป็นภาพโปร่งแสง ราวกับกระจกที่แสงจันทร์ทะลุผ่าน เหลือไว้ก็แต่เงารางๆ
ภาพแนวโคจรไอทิพย์ที่ปกคลุมอยู่ด้านบนจำนวนนับไม่ถ้วนค่อยๆ ปรากฏชัด พวกมันมิได้ยุ่งเหยิงไร้ระเบียบ ตรงกันข้ามกลับตัดสลับ เปลี่ยนแปลง ยืดขยาย ถักทอกลายเป็นตาข่ายครอบคลุมแผ่นฟ้าผืนปฐพีตามกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัด
จุดที่สายตาสามารถมองเห็น โลกที่เคยเป็นรูปธรรมยามนี้กลับกลายเป็นนามธรรม เหลือก็แต่เส้นสายกระจ่างชัด เสมือนหนึ่งปัดเมฆหมอกออกไปจนสามารถมองเห็นบุปผาหลังม่านหมอกได้
จี้เซียวขมวดคิ้วน้อยๆ เมืองเฟิงเยวี่ยนี้ไม่ปกติจริงๆ แนวโคจรไอทิพย์เป็นระเบียบเกินไป คล้าย ‘ค่ายเวทฉางชุนนิรันดร์’ บนยอดเขาฉางชุน อันเป็นผลลัพธ์จากการขัดเกลาอย่างตั้งอกตั้งใจ
นั่นก็แปลว่าเมืองเฟิงเยวี่ยแห่งนี้มีค่ายเวทซ่อนอยู่
ค่ายเวทเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ชาวอสูรไม่ชำนาญ ซ้ำยังเป็นค่ายขนาดใหญ่ซับซ้อนละเอียดแม่นยำเช่นนี้อีก แดนมนุษย์ใครเล่าที่จะมีความสามารถสอนจอมอสูรตนใหม่ให้รู้จักวางค่ายเวทเช่นนี้
จี้เซียวนึกถึงตอนอยู่แดนสนธยาฮั่นไห่ ขณะที่เมิ่งเสวี่ยหลี่นำสานุศิษย์เข้าร่วมการประลองกลุ่มหนึ่ง นั่งสมาธิทำลายสภาวะอยู่ยังลานช่องแสงกลางเมืองจงยาง ตัวเขาคอยยืนเฝ้ารักษาความปลอดภัยอยู่ข้างๆ บังเอิญเจอเข้ากับผู้รับใช้สกุลโจวแห่งไหวสุ่ย ปลอมตัวเป็นผู้บำเพ็ญพรตสำนักหมิงเยวี่ยหูบุกเข้ามา คิดจับตัวเมิ่งเสวี่ยหลี่กลับไปพิพากษา พวกเขาบอกว่าพวกเขาได้รับคันฉ่องสะท้อนเงา เวทศัสตราจากปรมาจารย์ไท่หัง สามารถฉายเงาจิตวิญญาณ พิสูจน์ว่าเมิ่งเสวี่ยหลี่เป็นอสูรได้…ทว่าหลังจากการต่อสู้ชุลมุนคราวนั้น พูดไม่พูดถึงก็หามีอันใดสำคัญไม่
แดนมนุษย์มีคันฉ่องสะท้อนเงาจากแดนอสูร บนเจดีย์เจิ้นเยามีโซ่เจาะกระดูก เมืองเฟิงเยวี่ยมีค่ายเวทยิ่งใหญ่
สองภพอยู่ห่างกันสิบหมื่นแปดพันหลี่ เรื่องราวต่างๆ กลับสามารถร้อยเรียงต่อกันราวกับสร้อยมุก
จี้เซียวถอนหายใจ ดูเผินๆ จอมอสูรเขาหลิงซานกับกุยชิงเจินเหรินจะมีการเจรจาอะไรกันบางอย่าง กุยชิงมอบเวทศัสตรากับค่ายเวท ช่วยให้ตำแหน่งจอมอสูรของหลิงซานมีเสถียรภาพ เพื่อเป็นการตอบแทน หลิงซานมอบศัสตราวุธวิเศษของชาวอสูร ‘คันฉ่องสะท้อนเงา’ ให้กุยชิงยืม กุยชิงส่งต่อให้ไท่หัง ช่วยอีกฝ่ายโค่นล้มหานซาน
ไท่หังคิดว่าตนวางแผนการรอบคอบ แต่แท้แล้วกลับเป็นเพียงหมากบนกระดาน กุยชิงคิดว่าตนเองเป็นคนควบคุมหมาก แต่กลับไม่รู้ว่ามีกระดานหมากที่ใหญ่กว่าอยู่อีกหรือไม่
จี้เซียวอดคิดมากไม่ได้ การคิดมากขึ้นอีกก้าวนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แดนมนุษย์ยามนี้มีเพียงสองคนเท่านั้นที่บรรลุขั้นปรมัตถ์ กุยชิงมีอายุยืนยาวเจ้าแผนการ หากจะพูดถึงศาสตร์คำนวณอนุมานแล้ว หูซื่อจัดว่าเหนือชั้นกว่า
จี้เซียวทอดตามองไป แนวโคจรไอทิพย์หมื่นพันล้วนพุ่งไปรวมตัวกันอยู่ที่แกนเวท ตำหนักที่มีหลังคาทรงโค้งกลางเมืองเฟิงเยวี่ย
ยามนี้ภาพวาดบนผนังในตำหนักเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว จอมอสูรเขาหลิงซานลงมือลงแรงด้วยตนเอง ตั้งแต่วางแผนบนกระดาษไปจนกระทั่งเสร็จงาน จัดเป็นงานใหญ่ที่กินเวลาเนิ่นนานถึงสามปี เป็นผลงานยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีในแดนอสูรมาก่อน
ใต้แสงเทียนส่ายไหว อสูรรูปร่างต่างๆ นานาอ้าปากกางเล็บประหนึ่งมีชีวิต ถูกผนึกอยู่บนผนัง
จิตรกรในตำหนักผู้อบอุ่นอ่อนโยนทว่าคล้ายมีความทุกข์แฝงอยู่ภายในใจกับวิหคหลวนอสูรน้อยน่ารักมีชีวิตชีวากำลังชมภาพใต้แสงเทียนอยู่ในตำหนัก
แต่ไม่ว่าจะดูสักกี่ครั้ง วิหคหลวนก็ยังคงรู้สึกหวั่นไหว อดนึกเสียดายไม่ได้ นางถาม “ท่านจะไม่วาดเพียงพอนจริงหรือ”
“ข้าจะ” จิตรกรหนุ่มยิ้ม “สหายของข้ารายนั้นก็ต้องมาชุมนุมหมื่นอสูรเช่นกัน”
เดิมเบาะแสความเคลื่อนไหวของเมิ่งเสวี่ยหลี่ล้วนอยู่ในกำมือเขา แต่ทว่าจู่ๆ มันกลับเลือนหายไร้ร่องรอย ราวกับได้รับคำชี้แนะจากคนนอก ทหารอสูรค้นหาจนทั่วแต่กลับไม่พบตัว เจอก็แต่ร่างไร้วิญญาณของแม่ทัพเหยี่ยวใต้หน้าผาเขาเฮยซานเท่านั้น ด้วยเหตุนี้หลิงซานจึงโมโหเดือดดาลยิ่ง ทว่าพอคิดดูอีกทีเขากลับรู้สึกว่ามีแต่เช่นนี้เท่านั้นถึงจะยิ่งน่าสนใจ ดังนั้นจึงเฝ้ารอที่จะได้พบเจอเมิ่งเสวี่ยหลี่อีกครั้งด้วยใจวาดหวัง
วิหคหลวนรู้ สหายเก่าของจิตรกรหนุ่มผู้นี้คือเพียงพอนหิมะที่อยู่ใน ‘ภาพค่ำคืนดวงดาวภูเขาหิมะ’ นางนึกอธิษฐานด้วยใจ หวังว่าพวกเขาจะสามารถคืนดีกันได้
จิตรกรหนุ่มส่ายหน้า “บางทีเขาอาจมีสหายใหม่ไปแล้ว สหายที่ดีกว่าข้า”
วิหคหลวนพูดโดยไม่ต้องคิด “เฉพาะภาพวาดชั้นเลิศ ความจริงใจเต็มกระดาษภาพนั้น โลกนี้ยังจะมีใครดีกว่าท่านอีก”
ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ “ขอบคุณ”
ตอบได้ไม่เลว เช่นนั้นคืนนี้ข้าจะไม่กินเจ้า ปล่อยให้เจ้ามีชีวิตต่ออีกสักคืน
“เงินทองหาง่าย ผู้รู้ใจหายาก” หลิงซานคิด นอกจากข้ากับเมิ่งเสวี่ยหลี่แล้ว ชาวอสูรทั้งหมดล้วนคิดอ่านเรียบง่าย โง่เขลาเบาปัญญา หากเมิ่งเสวี่ยหลี่ตายไปแล้วจริงๆ ข้าคงเหงามิใช่น้อย
เพราะเข้าใจผิดคิดว่าจิตรกรหนุ่มผู้งดงามยกย่องตนเองเป็น ‘ผู้รู้ใจ’ วิหคหลวนจึงใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาทันควัน นางก้มหน้าหัวใจเต้นระส่ำ
หลิงซานต้องการทุกสิ่งอย่าง มีอำนาจปกครองหมื่นอสูรแล้ว เขายังเริ่มคิดถึงพี่น้องที่คบหากันด้วยใจ ต้องการมิตรภาพอันอบอุ่น แต่กลับรู้สึกว่าอสูรทั้งมวลไม่มีตนใดคู่ควร
เขาคิดว่าอสูรที่มีสติปัญญาล้ำเลิศสูงส่งที่สุดสมควรได้รับทุกสิ่ง
ยามฟ้าสาง งานเลี้ยงรื่นเริงในหอคณิกาสิ้นสุด จี้เซียวกลับมาถึงเรือนจู๋หลี่
เขาคลี่กระดาษฝนหมึกอยู่ที่หน้าต่าง วาดแนวโคจรไอทิพย์ในเมืองเฟิงเยวี่ย
หลังวาดเสร็จ คู่ร่วมบำเพ็ญยังคงหลับใหล ในจานหมึกยังคงมีน้ำหมึกเหลือ
จี้เซียวคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาเปลี่ยนกระดาษแผ่นใหม่ ลากเส้นสองสามครา ก่อเกิดเป็นเค้าโครงของภาพใหม่…
เพียงพอนขาวตัวน้อยตัวหนึ่งกำลังนอนอยู่บนกองผ้าห่มไหมละเอียด อุ้งเท้าทั้งสี่กางออก เผยช่วงท้องออกมาอย่างเปิดเผย ท่วงท่าสบายอกสบายใจ ฟ้ายังไม่แจ้ง ในห้องยังคงมืดสลัว แสงอรุโณทัยสาดผ่านป่าไผ่นอกหน้าต่างเข้ามา ส่องเพียงพอนน้อยที่กำลังหลับใหลให้สว่างไสว
เมื่อสนุกเต็มที่ เขาก็วางพู่กันลงแล้วเดินไปยังโต๊ะชาที่อยู่กลางโถง ปอกเมล็ดสนให้คู่ร่วมบำเพ็ญ
เมิ่งเสวี่ยหลี่ตื่นขึ้นมา แม้ไม่เห็นเงาของจี้เซียวอยู่ข้างกาย แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย ได้กลิ่นหอมของเมล็ดสน ในใจก็รู้สึกสงบ
เขาหยิบเสื้อขึ้นมาคลุมกาย ลงจากตั่งไปหาคู่ร่วมบำเพ็ญ ขณะเดินผ่านโต๊ะหนังสือ หางตาก็บังเอิญชำเลืองเห็นกระดาษบนโต๊ะ
ภาพวาดนั้นเส้นสายเรียบง่าย คล้ายตวัดลากตามอำเภอใจ ทว่ากลับมีชีวิตชีวาอย่างที่สุด เมิ่งเสวี่ยหลี่จ้องมองดูภาพนั้น ราวกับมองเห็นเพียงพอนน้อยที่กำลังหลับเอียงหัวหลบแสง ขยับหูอ่อนนุ่มเป็นระยะๆ
เขาหน้าแดง ม้วนภาพดังกล่าวเก็บเข้าแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง
ที่อยู่ใต้ภาพเพียงพอนเมิ่งคือกระดาษอีกแผ่น บนกระดาษเต็มไปด้วยเส้นสายละเอียดซับซ้อน ไม่พบร่องรอยหยุดชะงักของพู่กัน ราวกับว่าทุกเส้นล้วนผ่านการวัดมาเป็นอย่างดี
เมิ่งเสวี่ยหลี่ตั้งสติพิจารณา สายตาถูกเส้นสายเหล่านั้นลากจูง ในใจรู้สึกอัศจรรย์
“เจ้าเห็นอันใดบ้าง” ไม่รู้ว่าจี้เซียวมาหยุดยืนอยู่ข้างหลังเขาเมื่อไร
เมิ่งเสวี่ยหลี่ได้สติ เขายิ้ม “ข้าเห็นท่านวันนี้อารมณ์ดีไม่น้อย ภาพเขียนลายน้ำหมึกของอริยกระบี่หาได้ยากยิ่ง ข้าเก็บเอาไว้แล้ว หากมีโอกาสข้าจะนำมันไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินที่เหิงทงจวี้หยวน”
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน กระบี่คู่หานซาน เล่ม 3 ฉบับเต็ม