everY
ทดลองอ่าน กระบี่คู่หานซาน เล่มที่ 3 บทที่ 6 #นิยายวาย
พร้อมปะทุ
ในรถลาก เมิ่งเสวี่ยหลี่ยังไม่ทันเปิดปาก ชื่อชูกลับขมวดคิ้วน้อยๆ ชิงตวาดขึ้นมาก่อน
“เหลวไหล! นายข้าเป็นผู้ใดเจ้าก็ยังไม่รู้งั้นหรือ เรียกหัวหน้าของเจ้าออกมาคุยกับข้า!”
ก่อนถูกจับเข้าเจดีย์เจิ้นเยา จิ้งจอกม่วงเองก็เป็นแม่ทัพอสูรเลื่องชื่อ ครั้นทหารอสูรสบเข้ากับสายตาแหลมคมของเขาในใจก็พลันสั่นสะท้าน ถูกท่าทางน่าเกรงขามของอีกฝ่ายทำอกสั่นขวัญแขวน ใจคิด ขนาดสารถียังน่าเกรงขามเพียงนี้ อสูรชั้นสูงที่นั่งอยู่ในรถไม่รู้จะร้ายกาจเพียงใด
ทหารอสูรเอ่ยปากขออภัยติดๆ แต่กระนั้นก็ยังประคองถาดไว้ “ผู้น้อยเป็นหัวหน้า ขอใต้เท้าระงับโทสะด้วย ได้โปรดอภัยที่ผู้น้อยมีตาหามีแววไม่…”
เซิ่นโซ่วซ่อนตัวอยู่ในแขนเสื้อของเมิ่งเสวี่ยหลี่พ่นไออสูรเข้มข้นที่สุดออกมา กดดันจนพวกทหารอสูรต่างพากันรู้สึกแน่นอก สองขาสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุม
จู่ๆ ผ้าโปร่งก็เลิกออกมุมหนึ่ง ผู้รับใช้ในอาภรณ์ขาวเสื้อคลุมยาวสีดำอีกคนโผล่ใบหน้างดงามครึ่งหนึ่งออกมาให้เห็น ท่าทางน่าเกรงขามยิ่งกว่าหนุ่มน้อยในอาภรณ์สีม่วง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาคล้ายหมดความอดทน
“นายท่านของพวกข้าคือจอมอสูรเขาคุนซาน เป็นแขกคนสำคัญที่จอมอสูรเขาหลิงซานเชิญมาด้วยตนเอง ต้องการเข้าตำหนักนภาครามเพื่อร่ำสุราหยกเสวนากับจอมอสูรเขาหลิงซาน ถูกเจ้าขวางทางทำชักช้าเสียการเช่นนี้ เจ้ารับผิดชอบไหวหรือ”
หัวหน้ากองกำลังทหารอสูรนึกสะดุ้งตกใจ ‘ตำหนักนภาคราม’ เป็นตำหนักกลางที่จอมอสูรเขาหลิงซานใช้ต้อนรับแขกสำคัญ สุราหยกเป็นสุราชั้นเลิศของตำหนัก ไม่ใช่ชื่อสถานที่ที่อสูรตนใดจะพูดออกมาตามอำเภอใจได้ ที่มันรู้จักก็เพราะเคยได้ยินแม่ทัพพยัคฆ์พูดถึงครั้งหนึ่ง
ตอนผู้รับใช้รายนั้นเลิกม่าน หัวหน้ากองกำลังทหารอสูรรวบรวมความกล้าช้อนตาขึ้นแอบมองคราหนึ่ง ก่อนจะรีบก้มหน้ากลับลงไป
อสูรชั้นสูงในอาภรณ์สีดำตนหนึ่งกำลังเอนกายพิงอยู่กับเบาะอ่อน ไม่ต่างอันใดกับดาวล้อมเดือน ผู้รับใช้อาภรณ์ขาวเสื้อคลุมยาวสีดำกำลังถือจอกสุราคอยรับใช้ มีครึ่งอสูรวัยกระเตาะสองตนหมอบทุบขาอยู่ใต้เข่า ข้างๆ ยังมีชายหนุ่มอาภรณ์ขาวนั่งอยู่อีกคน คล้ายหิมะน้ำแข็งบนภูผาสูง
ตอนทหารอสูรมองไป อสูรชั้นสูงตนนั้นกำลังช้อนตาพิจารณาดูอักษรคำว่า ‘เฟิงเยวี่ย’ เหนือประตูเมืองอย่างไม่อินังขังขอบ ราวกับกำลังชื่นชมพินิจพิเคราะห์เส้นสายลายอักษรนั้นอยู่ แม้แต่หางตาก็ยังไม่ชำเลืองมองมา
ผู้รับใช้ของตนกับทหารเฝ้าประตูเมืองประจันหน้ากัน สถานการณ์ตึงเครียดเช่นนี้ ทว่าในสายตาเขากลับเป็นราวเสียงนกเสียงแมลงเท่านั้น ไม่มีค่าอันใดให้ต้องใส่ใจ
หัวหน้ากองกำลังทหารอสูรรู้สึกหวาดหวั่นอยู่เล็กน้อย หลายวันมานี้เขาต้อนรับอสูรต่างถิ่นเข้าเมือง พบเจออสูรชั้นสูงที่ชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร บ้างก็นิสัยดุร้ายฉุนเฉียว ยากระงับโทสะ บ้างก็ภายนอกเข้มแข็งภายในกลับขี้ขลาด สร้างสถานการณ์หมายตบตา หากไม่ใช่เพราะอยู่ดีกินดี ได้รับความเคารพยำเกรงจากอสูรชั้นต่ำมาเป็นเวลาช้านานแล้วล่ะก็ อีกฝ่ายไหนเลยจะสงบนิ่งเยือกเย็นน่าเกรงขามเช่นนี้ได้
เขารู้สึกหวั่นไหว มีเรื่องกับอสูรชั้นสูงเช่นนี้หามีผลดีอะไรกับตัวเองไม่ ก่อนหน้านี้เขาเคยขวางอสูรต่างถิ่นที่ไม่ยอมสำแดงเทียบเชิญตนหนึ่ง ใครจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายกลับเป็นสหายของแม่ทัพอสูรในตำหนัก โดนอีกฝ่ายแดกดันเย้ยหยันว่า ‘เป็นแค่ทหารเฝ้าประตูเมือง แม้แต่หน้าข้าก็ยังไม่ไว้?’ ทำเอาเขาต้องขอโทษขอโพยอีกฝ่ายเป็นการใหญ่
ประตูชั้นในของเมืองเฟิงเยวี่ยสูงนับสิบจั้ง แลดูใหญ่โตมโหฬารภายใต้ตะวันรอน เสียงเอะอะหน้าประตูเมืองเช่นนี้ย่อมดึงดูดความสนใจของเหล่าอสูรทั้งในและนอก ต่างจับกลุ่มกระซิบกระซาบวิพากษ์วิจารณ์อยู่บนท้องถนน
“นั่นมันอสูรชั้นสูงตนใด”
“ดูเหมือนจะเป็นจอมอสูรเขาคุนซาน ใจใหญ่สุดๆ เจ้าดูอสูรชั้นต่ำนอกเมืองพวกนั้น พวกมันล้วนได้เงินรางวัลกันไปไม่น้อย!”
“จริงหรือ รีบไปเชิญเขาเข้าเมืองเร็ว!”
ก่อนเข้าเมือง พวกเมิ่งเสวี่ยหลี่ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยว่ายิ่งเปิดเผย ยิ่งวางท่าให้มีสง่าราศีมากเท่าใดก็ยิ่งถูกสงสัยน้อยลงเท่านั้น
จิ้งจอก นกยูง ล้วนเป็นชาวอสูรที่เชี่ยวชาญทักษะแปลงกาย พรสวรรค์ของพวกจิ้งจอกเหนือชั้นกว่านกยูงขั้นหนึ่ง พวกมันไม่เพียงสามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างของตนเองได้ หากยังสามารถตกแต่งแก้ไขใบหน้าของผู้อื่นได้ด้วย
ปี้โหยวกับหร่วนฮุยขี้ขลาด มักตัวสั่นอยู่เป็นประจำ ไม่อาจปลอมตัวเป็นผู้รับใช้เย่อหยิ่งยโส เมิ่งเสวี่ยหลี่ให้พวกเขาปลอมตัวเป็น ‘ผู้ติดตามที่เขาบังคับจับตัวมา’
จี้เซียวทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยท่วงทำนองถูกทำนองคลองธรรมไร้ซึ่งกลิ่นอายชั่วร้าย ไม่เหมือนอสูรแม้แต่น้อย เมิ่งเสวี่ยหลี่ให้เขาปลอมตัวเป็น ‘บ่าวคนโปรดที่ถูกอสูรชั้นสูงบังคับจับตัวมา’
ความคิดนี้เป็นจี้เซียวและเมิ่งเสวี่ยหลี่ช่วยกันเพิ่มเติมรายละเอียด
‘ชาวอสูรตั้งชื่อไร้จินตนาการ จึงมักใช้ชื่อสถานที่มาตั้งเป็นชื่ออยู่เสมอ ชื่อของสถานที่ในแดนอสูรจึงมักซ้ำกันอยู่บ่อยๆ ไม่เหมือนผู้บำเพ็ญพรตชาวมนุษย์ที่มีสมญานามหลายหลาก อสูรส่วนใหญ่ก็ล้วนใช้นามจอมอสูรเขาลูกนั้น จอมอสูรแม่น้ำสายนี้ จอมอสูรป่าโน่นนี่ แดนอสูรกว้างใหญ่ไพศาล ยามนั้นข้าเดินทางเที่ยวท่องไปทั่ว เคยเจออสูรชั้นสูงนาม ‘จอมอสูรเขาคุนซาน’ มาก่อน แค่ชื่อนี้ก็มีถึงสิบกว่าตนแล้ว ระยะนี้เมืองเฟิงเยวี่ยมีจอมอสูรจากทั่วทุกสารทิศมารวมตัวกัน ไม่ว่าตนใดก็ล้วนล่วงเกินไม่ได้ ทหารเฝ้าประตูเมืองเป็นก็แค่อสูรชั้นต่ำ ไหนเลยจะจำได้แยกออก บอกชื่อ ‘จอมอสูรเขาคุนซาน’ ไป ไม่มีผู้ใดกล้าถามแน่ว่า ‘ท่านเป็นจอมอสูรเขาคุนซานตนใด มาจากตะวันออกหรือตะวันตก’ ทำเช่นนั้นเท่ากับดูแคลนอสูรชั้นสูงตนนั้นว่าชื่อเสียงโด่งดังไม่พอ’
เห็นหัวหน้ากองกำลังทหารอสูรตะลึงนิ่ง ในใจชื่อชูก็นึกกลัดกลุ้ม ทว่ากลับไม่แสดงออกให้อีกฝ่ายได้เห็น “ยังไม่หลีกทางอีก” เขาไม่พูดว่า ‘เปิดทาง’ หากแต่ใช้คำว่า ‘หลีกทาง’ ด้วยท่าทางหยิ่งยโสอย่างที่สุด
หัวหน้ากองกำลังทหารอสูรทำมือเป็นสัญญาณ ทหารเฝ้าประตูเมืองรีบเคลื่อนย้ายสิ่งกีดขวาง ภายใต้แรงกดดันที่มองไม่เห็น พวกเขาต่างเหงื่อเย็นท่วมร่าง
“เชิญใต้เท้าเข้าเมืองได้…”
รถลากเคลื่อนผ่านไปตามถนนเข้าเมืองไปอย่างยิ่งใหญ่
ครั้นประตูเมืองเปิดออก ทัศนียภาพในเมืองชั้นในก็ปรากฏขึ้นต่อสายตา ถนนโอ่อ่ากว้างขวาง ถูกปูลาดด้วยหินขาวเส้นทองขัดมันขนาดหกตารางฉื่อ ฟากฟ้าตะวันตกยามสายัณห์ส่องแสงอาบไล้อยู่ด้านบน เกิดเป็นแสงสะท้อนสุกสว่าง เจิดจ้าแสบตาราวกับทุกหนแห่งล้วนเต็มไปด้วยเงินและทอง
อสูรชั้นต่ำในเมืองจำนวนมากแยกย้ายกันยืนอยู่สองข้างทาง ปากพร่ำพูดถ้อยคำมงคลอย่าง ‘ท่านอสูรผู้ยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม’ และรอรับเงินรางวัล
ชื่อชูกับเฟยอวี่แอบถอนหายใจโล่งอก
ในม่านโปร่ง ครึ่งอสูรทั้งสองทรุดตัวเป็นอัมพาตอยู่กับพื้น เกือบจะประคองร่างมนุษย์ไม่ไหว เมิ่งเสวี่ยหลี่กับจี้เซียวสบตากันคราหนึ่งก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคิดอะไร ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากพูดจาอันใด
สายลมพัดจนม่านโปร่งมุมหนึ่งเลิกเปิด
“ช้าก่อน!” ทหารอสูรในชุดเกราะกลุ่มหนึ่งเดินผ่าน แม่ทัพพยัคฆ์ที่เป็นหัวหน้าหยุดหันหน้ากลับมามอง ก่อนจะก้าวเท้ายาวๆ มาหยุดอยู่ที่หน้ารถลาก ท่วงท่าองอาจห้าวหาญ
เขาแสดงคารวะก่อน ทว่าน้ำเสียงกลับแข็งกร้าวยิ่ง “ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาพิเศษ จอมอสูรเขาหลิงซานมีคำสั่ง ตรวจสอบแขกอสูรที่จะเข้ามาในเมืองทุกตน ขอใต้เท้าได้โปรดสำแดงเทียบเชิญ อย่าให้พวกข้าน้อยต้องลำบากใจ”
หัวหน้ากองกำลังทหารอสูรเฝ้าประตูเมืองค้อมเอววิ่งเหยาะๆ เข้ามาหาแม่ทัพพยัคฆ์ ใช้พลังอสูรถ่ายเสียง “ท่านแม่ทัพระวังตัวด้วย อสูรตนนี้ฐานะไม่ใช่เบา มั่งคั่งโอ้อวด ไม่เพียงมีไออสูรร้ายกาจ หากยังมีครึ่งอสูรหน้าตางดงามกับผู้รับใช้ท่าทางหยิ่งยโส…นอกจากนี้ยังสามารถจับกุมผู้บำเพ็ญพรตชาวมนุษย์มาเป็นบ่าวได้ด้วย!”
สองฟากฝั่งถนนในเมือง เสียงเหล่าอสูรค่อยๆ แผ่วลง ความเงียบแผ่ขยายไปอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดทั่วทั้งถนนก็มีแต่ความเงียบงัน สายตานับพันคู่จับจ้องอยู่ระหว่างแม่ทัพพยัคฆ์กับรถลากคันนั้น
ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าระยะนี้แม่ทัพพยัคฆ์อารมณ์ไม่สู้ดี เนื่องจากเขาเคลื่อนกองกำลังโดยพลการจึงถูกจอมอสูรเขาหลิงซานตำหนิ
ยิ่งเป็นอสูรที่สันทัดข่าว พวกมันล้วนรู้ว่าจอมอสูรเขาหลิงซานมีคำสั่ง หากก่อนชุมนุมหมื่นอสูรแม่ทัพพยัคฆ์ยังจับกุมตัวนักโทษกลับมาไม่ได้ ถึงตอนนั้นเขาจะต้องตกเป็นนักโทษเสียเอง ดังนั้นแม่ทัพพยัคฆ์ในเวลานี้ไม่ว่าอสูรตนใดในสายตาของเขาล้วนแต่คล้ายนักโทษอสูรด้วยกันทั้งสิ้น
ชื่อชูกับเฟยอวี่แม้ดูเผินๆ จะไม่สะทกสะท้าน แต่ในใจกลับบอกกับตัวเองว่าแย่แล้ว นี่ไม่ใช่พยัคฆ์เหลืองที่พลาดท่าเสียทีพวกเราอยู่ใต้เจดีย์เจิ้นเยาหรือไรกัน สองอสูรเนื้อตัวสั่นสะท้านขนลุกตั้งชัน โชคดีที่พวกมันอยู่ในร่างมนุษย์ มีเสื้อผ้าอาภรณ์ห่อหุ้ม
จี้เซียวมองดูเมิ่งเสวี่ยหลี่ปราดหนึ่ง พยักหน้าน้อยๆ ยากจะมีผู้ใดสังเกตเห็น
ในเมืองนอกเมืองล้วนมีแต่เหล่าอสูรนับร้อยนับพัน
เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ผลลัพธ์การอนุมานจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นในหัวของจี้เซียว เขากำหนดเส้นบุกตะลุยฝ่าวงล้อมไว้เป็นที่เรียบร้อย
เมิ่งเสวี่ยหลี่รู้ได้ทันที และตัดสินใจอย่างแน่วแน่
เขากระแอมออกมาเบาๆ คราหนึ่ง กวักมือไปทางแม่ทัพพยัคฆ์ “มา เจ้าขึ้นมา ข้าจะให้เจ้าดูให้ชัดถนัดตา”
แม่ทัพพยัคฆ์โมโหท่าทีราวกับกวักเรียกแมวเล่นของอีกฝ่าย ขณะเดียวกันก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา บางทีอาจเป็นอสูรชั้นสูงที่จอมอสูรเขาหลิงซานเชิญมาเป็นพันธมิตร ดังนั้นจึงไม่กล้าทำตัวกำเริบเสิบสาน
เมิ่งเสวี่ยหลี่สอดมือข้างหนึ่งเข้าไปในแขนเสื้อกว้างคล้ายจะหยิบของ ห้านิ้วเกาะกุมอยู่บนวัตถุเย็นเยียบ แท้ก็คือด้ามกระบี่ที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ
กระบี่อยู่ในฝัก พร้อมปะทะ
แม่ทัพอสูรขยับใกล้เข้าไปทีละก้าว ชุดเกราะที่ห่อหุ้มอยู่ทั้งร่างดังลั่น ไออสูรเพิ่มสูง เขาจ้องดูรถลากเขม็ง คล้ายต้องการมองทะลุม่านโปร่งเข้าไปภายใน
ถนนยาวเหยียดเงียบสงัด เหล่าอสูรต่างพากันกลั้นลมหายใจ
ติดตามบทที่ 7 ได้ในวันที่ 30 พ.ย. 63