everY
ทดลองอ่าน กระบี่คู่หานซาน เล่มที่ 3 บทที่ 8 #นิยายวาย
เสแสร้งตลบตะแลง
ตอนผู้รับใช้ทั้งสองสบถด่าสีหน้าท่าทางแลดูกระปรี้กระเปร่า สองตาเป็นประกาย พอเห็นเช่นนั้นจิตใจของเถ้าแก่หอคณิกาก็พลันเตลิดเปิดเปิง
“ชุมนุมหมื่นอสูรกำลังจะมาถึง แต่เจดีย์เจิ้นเยากลับพังทลาย นี่เป็นลางร้ายโดยแท้ มิน่าจอมอสูรเขาหลิงซานถึงได้โมโห!” เขากลอกตาไปมา “ดังนั้นข้าถึงได้บอกว่าท่านพี่รอให้อสูรนักโทษถูกจับได้เสียก่อน ค่อยเข้าตำหนักไปร่วมดื่มสุราเฉลิมฉลองกับจอมอสูร เบิกบานทั้งแขกทั้งเจ้าภาพถึงจะดี สองสามวันนี้ท่านมิสู้ให้ผู้น้องเป็นเจ้ามือ นำท่านเยี่ยมชมเมืองเฟิงเยวี่ย ข้ากับท่านพี่พบกันครั้งแรกแต่กลับรู้สึกสนิทสนมราวกับเป็นสหายเก่า ยินดีมอบห้องพักหรูหราชั้นหนึ่งให้ท่านพี่กับพรรคพวกเข้าพัก”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ครุ่นคิด สีหน้าลังเลไม่ตอบ
เถ้าแก่หอคณิกาพูดขึ้นอีก เขาบอกว่าในหอของตนเต็มไปด้วยอสูรโฉมสะคราญ สุราอาหารรสเลิศ เมืองเฟิงเยวี่ยทัศนียภาพงดงาม ปากของเขาเสมือนหนึ่งน้ำตก วาจาไหลทะลักออกมาไม่ขาดสาย แฝงไว้ซึ่งถ้อยคำอวดโอ้ฐานะมั่งมี ความรอบรู้ และอารมณ์ขันไว้อย่างแนบเนียน
จี้เซียวถ่ายเสียงบอกกับเมิ่งเสวี่ยหลี่ “ไม่มีอันใดไม่ได้”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ฝืนยิ้ม แสร้งพูดอย่างเจ็บปวดว่า “ต้องรบกวนให้ท่านแสดงเป็นบ่าวคนโปรดของข้าต่อแล้ว”
จี้เซียวมีหรือจะไม่รู้ความคิดอ่านของอีกฝ่าย เขาเพียงไม่เปิดโปงมันออกมาก็เท่านั้น ข้อมือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อขยับน้อยๆ เมิ่งเสวี่ยหลี่ไม่ทันระวังถูกโซ่ที่เกี่ยวอยู่กลางหว่างนิ้วลาก ร่างกายซวนเซหมอบล้มลงบนตัวจี้เซียว
เขารีบยื่นมือสอดเข้าไปในแขนเสื้อกว้างของจี้เซียว หมายควบคุมข้อมือของคู่ร่วมบำเพ็ญ ทว่าฝ่ามือของเขากลับถูกอีกฝ่ายหยุดไว้ไม่อาจขยับ ด้วยกลัวจะถูกเถ้าแก่หอคณิกามองออกถึงเส้นสนกลใน เมิ่งเสวี่ยหลี่จึงรีบถ่ายเสียงแผ่วเบา “ข้าผิดไปแล้ว! อริยกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ ไว้หน้าข้าสักเล็กน้อยด้วย!”
จี้เซียวถึงได้ปล่อยมือเขา
ตอนดึงมือออก เมิ่งเสวี่ยหลี่ก็เกาอุ้งมือคู่ร่วมบำเพ็ญเบาๆ คราหนึ่ง
จี้เซียวตะลึงเล็กน้อย อุ้งมือราวกับถูกขนอ่อนละมุนวาดผ่าน เขายื่นมือจับตามสัญชาตญาณ แต่กลับกุมได้เพียงความว่างเปล่า
เมิ่งเสวี่ยหลี่กะพริบตาเจ้าเล่ห์ได้ใจ คล้ายสัตว์ตัวน้อยที่หลอกล่อนายพรานก่อนจะถอยจากไป
เถ้าแก่หอคณิกาพูดได้เพียงครึ่งก็เห็น ‘จอมอสูรเขาคุนซาน’ ที่จู่ๆ ก็นึกสนุกโผเข้าใส่ร่างของผู้บำเพ็ญพรตชาวมนุษย์ต่อหน้า มือข้างหนึ่งสอดเข้าไปในแขนเสื้อกว้างของชาวบ้าน ไม่รู้เล่นสนุกหยอกเย้าอันใดกับอีกฝ่ายครู่หนึ่ง ครั้นพอใจแล้วถึงได้ชักมือกลับ
ผู้บำเพ็ญพรตชาวมนุษย์ท่าทางงามสง่าสูงส่ง แต่กลับถูกโซ่ทองเส้นเล็กๆ พันธนาการไว้ ไม่อาจสลัดหลุด จำต้องทนรับการหยามหมิ่น เถ้าแก่หอคณิกาคิด ชาวอสูรอาจทนรับการปฏิบัติเช่นนี้ได้ ทว่ามนุษย์ยึดถือความถูกต้อง ยุติธรรม ศีลธรรม และเกียรติยศ คาดว่าจะไม่อาจทนรับต่อการปฏิบัติเช่นนี้ได้ คนผู้นั้นพยายามควบคุมอารมณ์ ได้แต่กุมหมัดแน่น กล้าโกรธมิกล้ากล่าว
“ขายหน้าแล้ว” เมิ่งเสวี่ยหลี่ลุกขึ้นยืน เอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
เถ้าแก่หอคณิกากล่าว “มิได้ๆ! ผู้น้องเข้าใจดี!”
ชื่อชูถ่ายเสียง “อสูรพ่อเล้าตนนี้คิดว่าท่านกับเขาเป็นอสูรจำพวกเดียวกัน!”
เฟยอวี่พูดเสริม “ท่านดูสายตาของเขา เขาถูกใจข้ากับจิ้งจอกม่วงแล้ว หึๆ ซ้ำยังเชิญพวกเราไปพักที่หอของเขาอีก เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ!”
ชื่อชูนึกสนุก เขายิ้มหยาดเยิ้มให้อีกฝ่าย ยิ้มจนฝ่ายหลังจิตใจสั่นไหว
เมิ่งเสวี่ยหลี่ตระหนักได้ทันที เห็นอสูรพ่อเล้าชำเลืองมองจิ้งจอกม่วงและกระสาขาวเช่นนั้น เขาก็นึกเห็นอกเห็นใจอีกฝ่ายขึ้นมาทันที
“เช่นนั้นก็รบกวนแล้ว”
“ท่านพี่เกรงใจเกินไปแล้ว!” เถ้าแก่หอคณิกายินดีปรีดาเป็นที่สุด หันไปเลิกม่านตะโกนเสียงดังฟังชัด “นำทางแขกคนสำคัญไปที่หอ!”
อสูรตะพาบกลุ่มหนึ่งเบียดเสียดออกมาจากหมู่อสูรที่อยู่ริมถนน แสดงคารวะไปทางรถลาก ห้อมล้อมคุ้มครองรถลากค่อยๆ เคลื่อนขึ้นหน้าไปช้าๆ
ที่แท้ลูกน้องของหอคณิกาก็ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางเหล่าอสูรที่มุงดูอยู่รอบๆ พอได้ยินเสียงเรียกถึงค่อยปรากฏกาย
ชื่อชูแอบหัวเราะ “ที่แท้เขาก็ไม่ได้โง่ เดิมข้าคิดว่าเขาเป็นพวกมัวเมาในตัณหา ถึงกับกล้าขึ้นรถชาวบ้านโดยลำพังเสียอีก”
เฟยอวี่ประคองน้ำชาให้เถ้าแก่หอคณิกา ถ่ายเสียงพูดแผ่วเบา “พาจิ้งจอกเข้าห้อง ยังไม่โง่อีกหรือ”
“หากชาวบ้านมิได้คิดชั่ว พวกเจ้าก็ห้ามทำอะไรเขาเด็ดขาด” เมิ่งเสวี่ยหลี่เตือน เขาเป็นคนแล้ว มีเหตุมีผลมากกว่า
“จอมอสูรเขาเสวี่ยซานคงไม่รู้” ชื่อชูอธิบาย “อสูรพ่อเล้าตนนี้ใช้วิธีล่อลวง บังคับขู่เข็ญอสูรชั้นต่ำหน้าตาสะสวยสร้างความมั่งคั่ง เรื่องชั่วร้ายอันใดล้วนทำหมดสิ้น ต่อมาเขาเข้ามาที่เมืองเฟิงเยวี่ย ทำงานรับใช้หลิงซาน ควบคุมบ่อนและหอคณิกากว่าครึ่งในเมือง สอนอสูรชั้นต่ำให้มอบตัวรับใช้อสูรชั้นสูง ถึงได้มีหน้ามีตากลายเป็น ‘เถ้าแก่หอคณิกา’ อะไรนั่น ท่านดูเอาเถิด ในหัวของเขาล้วนแต่ความคิดชั่วช้าทั้งสิ้น!”
แสงสายัณห์ปกคลุมทั่วทุกแห่งหน กลืนกินเมืองเฟิงเยวี่ยไม่ต่างกับสายน้ำหลาก โคมไฟวิจิตรเหนือสิ่งปลูกสร้างหรูหรางดงามเริ่มถูกจุด
อสูรรับใช้ร่างกายกำยำสิบกว่าตนเปิดถนนนำทาง กวางสี่ตัวลากรถลากหรูหราอาบไล้แสงอาทิตย์อัสดงเคลื่อนไปบนถนนอย่างโอ่อ่า มุกวิเศษโปรยปรายลงจากรถเป็นระยะ อสูรชั้นต่ำจำนวนมากต้อนรับอยู่ตลอดสองข้างทาง ตะโกนชื่นชมความใจกว้างของอสูรผู้ยิ่งใหญ่
จากหนึ่งแพร่ไปสิบ จากสิบแพร่ไปร้อย อสูรชั้นต่ำในเมืองต่างรู้ว่าวันนี้ ‘จอมอสูรเขาคุนซาน’ มือเติบ พลังอสูรลึกล้ำพร้อมผู้รับใช้ยโสโอหังเข้าเมืองมาแล้ว
บทละครที่ต่างกันเพียงรายละเอียดปลีกย่อยล้วนมีให้ได้ดูทุกวัน เมื่อวานก็มี พรุ่งนี้ก็มี จนกระทั่งงานชุมนุมหมื่นอสูรเริ่มต้นขึ้น
แดนอสูรคึกคักไปทั่วทุกแห่งหน มีการระดมพลค้นหาอสูรนักโทษเป็นวงกว้าง แม่ทัพพยัคฆ์คุมกองกำลังเฝ้าประตูเมืองด้วยตนเอง โดยไม่รู้แม้แต่น้อยว่าอสูรนักโทษได้เข้ามาอยู่ในเมืองเฟิงเยวี่ย กลายเป็นอสูรชั้นสูงอยู่ในเมืองชั้นใน ใต้เปลือกตาของจอมอสูรเขาหลิงซานเรียบร้อยแล้ว
ปี้โหยวกับหร่วนฮุยไม่อยากเชื่อว่าพวกตนจะสามารถเข้ามาในเมืองเฟิงเยวี่ยในตำนานได้ง่ายดายเช่นนี้
ภายใต้สถานการณ์พิเศษบางอย่าง ที่ที่อันตรายที่สุดกลับกลายเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด การปรากฏกายที่โดดเด่นที่สุดก็คือการปลอมตัวที่แนบเนียนที่สุด
ไอร้อนยามกลางวันถูกสายลมเย็นยามคืนค่ำพัดจนจางหาย ทิ้งไว้เพียงกลิ่นบุปผาหอมกรุ่นชวนหลงใหล พวกเมิ่งเสวี่ยหลี่ออกมาชมเมืองเฟิงเยวี่ย
เถ้าแก่หอคณิกาพูดคุยสนุกสนานพลางเอ่ยปากแนะนำโน่นนั่นนี่ “เมืองเฟิงเยวี่ยพื้นที่กว้างใหญ่ แบ่งเป็นเขตเหนือใต้ออกตก มีตำหนักของจอมอสูรเขาหลิงซานอยู่ตรงกลาง”
ชื่อชูม้วนม่านโปร่งขึ้น ปล่อยให้ทัศนียภาพงดงามภายนอกปรากฏชัดต่อสายตา ถนนที่ปูลาดด้วยแผ่นหินขาวเส้นทองขัดมันกว้างพอให้รถลากหกคันเคลื่อนไปพร้อมๆ กัน ต้นไม้ที่อยู่สองข้างทางสูงใหญ่เทียมฟ้า มีเหล่าอสูรสัญจรไปมาคึกคัก
ต้นไม้ดอกไม้ สิ่งปลูกสร้างในเมืองล้วนสูงใหญ่กว่าธรรมดาราวกับกำลังค้ำยันแผ่นฟ้าผืนปฐพีไว้ ท้องฟ้าแลดูกว้างใหญ่เป็นพิเศษ
สินค้าที่พวกพ่อค้าอสูรนำมาขายอยู่ข้างทาง แค่ชื่อชูกับเฟยอวี่จ้องมองมากหน่อย เอ่ยปากชมเพียงสองประโยค เถ้าแก่หอคณิกาก็เอ่ยปากสั่งให้อสูรตะพาบที่ติดตามขบวนรถรีบวิ่งไปซื้อมา ส่วนตนก็ยืมดอกไม้ถวายพระ
ครั้นเห็น ‘จอมอสูรเขาคุนซาน’ ไม่ใส่ใจ ทำเพียงแอบอิงสนิทสนมอยู่กับผู้บำเพ็ญพรตชาวมนุษย์เช่นนั้น เถ้าแก่หอคณิกาก็เลิกพะวักพะวน กระโดดลงจากรถไปเด็ดดอกไม้หักกิ่งหลิวซื้อของล้ำค่ามามอบให้ชื่อชูและเฟยอวี่ด้วยตนเอง
ตอนเถ้าแก่หอคณิกาลงจากรถ พ่อบ้านใหญ่ก็รีบตรงเข้ามาลากเขาไปอีกด้าน พูดเตือนว่า “ผู้รับใช้สองตนนั่นถูกจอมอสูรเขาคุนซานตามใจจนยโสโอหังยิ่ง มิควรตอแยด้วย จอมอสูรเขาคุนซานเองก็ไม่เหมือนพวกที่จะพูดดีด้วยได้ง่ายๆ หากเขาไม่ยินยอมยกสองอสูรนั่นให้กับท่าน เถ้าแก่มิเท่ากับเสียเวลาเปล่า?”
“ไม่ถูก เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนเข้าเมืองมา ไยเขาไม่ยอมแสดงเทียบเชิญ แล้วไยต้องหว่านเงินไปทั่วเช่นนั้น”
พ่อบ้านใหญ่ส่ายหน้า
เถ้าแก่หอคณิกาพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ “ก็เพื่อหน้าตาอย่างไรเล่า สำหรับอสูรชั้นสูงแล้ว หน้าตาสำคัญยิ่งกว่าเงินทอง อสูรชั้นสูงตนอื่นๆ รู้จักกับทหารอสูรเฝ้าประตูเมือง ประกาศชื่อ อาศัยใบหน้าเข้าเมือง จอมอสูรเขาคุนซานกลับต้องสำแดงเทียบเชิญ เช่นนี้มิเท่ากับบอกว่าชื่อเสียงของตนไม่เป็นที่เลื่องลือหรือไร ตอนอยู่หน้าประตูเมืองข้าให้เกียรติเขาเช่นนั้น เขามีหรือจะไม่ซาบซึ้งในน้ำใจข้า”
“เถ้าแก่ฉลาดปราดเปรื่อง! ทว่าเรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับผู้รับใช้นั่น”
เถ้าแก่หอคณิกายิ้ม “จอมอสูรจำพวกนี้ข้าพบเจอมามาก ดูเผินๆ อาจเหมือนรับมือได้ยาก แต่ความจริงแล้วขอเพียงสนองความต้องการของเขา พวกเขาย่อมสามารถช่วยให้เจ้าบรรลุถึงเป้าหมายได้ ข้าป้อยอจนเขาดีใจเช่นนั้น ซ้ำข้ายังเชิญเขาไปพำนักที่หอ มอบอสูรโฉมสะคราญตนอื่นให้เขาเป็นการแลกเปลี่ยน หากเขายินยอมนั่นย่อมเป็นการดี แต่หากเขาไม่ ในเขตของข้า พวกเราเจรจาตามมารยาทก่อนแล้วค่อยใช้กำลัง…สองอสูรนั่นตกอยู่ในมือข้าเมื่อไร ถึงตอนนั้นข้าจะทำเช่นไรก็ย่อมได้”
เถ้าแก่หอคณิกากระโดดขึ้นรถ ชื่อชูหรี่ตาจิ้งจอก ยิ้มน้อยๆ ให้อีกฝ่ายอีกคราว
จี้เซียวหลับตานั่งตัวตรง ปล่อยจิตตระหนักรู้ สัมผัสรับรู้เมืองทั้งเมือง
เมิ่งเสวี่ยหลี่กับคู่ร่วมบำเพ็ญถ่ายเสียงปรึกษาแผนการ ชื่อชูกับเฟยอวี่พูดคุยอยู่กับเถ้าแก่หอคณิกา คอยเจรจาออดอ้อนฉอเลาะ สืบดูตื้นลึกหนาบางของอีกฝ่าย ปี้โหยวกับหร่วนฮุยยื่นหน้ามองซ้ายขวาด้วยความอยากรู้อยากเห็น อสูรที่สัญจรไปมาอยู่บนท้องถนน หอสูง ร้านค้าต่างทำพวกเขาตาลาย มองตามไม่ทัน
คนแต่ละคนอสูรแต่ละตนต่างคิดอ่านไม่เหมือนกัน แม้ทั้งหมดจะมารวมตัวอยู่ด้วยกันเพราะวาสนาชักพา แต่กลับพูดคุยหัวร่อต่อกระซิก กลมกลืนอยู่ด้วยกันอย่างน่าประหลาด
รถลากเคลื่อนขึ้นหน้าไม่หยุด ไอน้ำเปียกชื้นพุ่งปะทะใบหน้า ต้นไม้ดอกไม้สองข้างทางยามนี้กลายกลับเป็นต้นหลิว ใบเขียวขยับไหว พลิ้วตามสายลม
เมิ่งเสวี่ยหลี่หันหน้า มองข้ามผ่านแนวหลิวเขียวชอุ่มเห็นประกายน้ำวับวาวอยู่รางๆ
“สีสันแพรวพราวราวทะเลสาบหลิวหลีในแดนมาร”
“ท่านพี่รู้รอบยิ่งนัก!” เถ้าแก่หอคณิกายกย่อง “เพราะใต้ทะเลสาบหลิวหลีนั้นอุดมไปด้วยหินแร่นานาก่อเกิดสีสันสารพัด ไม่ต่างอันใดกับกระจกห้าสี ตอนทะเลสาบแห่งนี้ถูกขุด มีการขนหินแร่จากแดนมารมา สิ่งปลูกสร้างกลางทะเลสาบไม่เพียงสร้างลอกเลียนต้นฉบับ หากยังขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้นถึงสามเท่า…”
ชื่อชูยิ้มเอ่ยวาจาประชดประชัน “จอมอสูรเขาหลิงซานมือเติบแท้”
เถ้าแก่หอคณิกาคิดว่าอีกฝ่ายชื่นชมเลื่อมใสก็ยิ่งคุยโวไม่หยุด “ในเมืองไม่เพียงมีทัศนียภาพงดงามเป็นเอกลักษณ์จากแดนมารอย่างทะเลสาบหลิวหลีและป่าจินเยี่ย หากยังมีสิ่งปลูกสร้างที่มีชื่อเสียงของแดนมนุษย์ น้ำพุร้อนเขาเสวี่ยซานศักดิ์สิทธิ์ เรือนต้นไม้เขาเฮยซาน เถาวัลย์ป่าหงหลินแห่งแดนอสูรเองก็ลดขนาดลงตามอัตราส่วนอยู่กลางเมือง…ไม่ว่าจะเหินฟ้าดำดิน ทัศนียภาพงดงามสามภพ ดอกไม้ต้นหญ้าหายากแปลกตา ทรัพย์สมบัติล้ำค่าอันใด ต่างรวมอยู่ที่นี่!” ครั้นพูดถึงตรงนี้มันก็รู้สึกเป็นเกียรติและโชคดีอยู่ลึกๆ “นี่ถึงจะเป็นเมืองอันยิ่งใหญ่ของพวกเราชาวอสูร ปาฏิหาริย์อันยิ่งใหญ่แท้จริง!”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ขมวดคิ้วน้อยๆ แดนอสูรยังไม่เป็นหนึ่งโดยสมบูรณ์ เหตุใดหลิงซานถึงได้ก่อสร้างนั่นนี่เป็นการใหญ่ สิ้นเปลืองเงินทองทำให้ชาวบ้านต้องยากลำบากเช่นนี้ด้วย หรือการที่เขาสร้างเมืองจัดงานเลี้ยงฉลองยังมีแผนอื่นซ่อนอยู่
ครั้นเห็นสะพานเหนือทะเลสาบ ยามนั้นเขา นกยูง และงูยักษ์ท่องเที่ยวไปทั่ว ทัศนียภาพอัศจรรย์อันใดในสามภพล้วนพบเห็นหมดสิ้น ภาพเหตุการณ์เบิกบานทะเลาะเบาะแว้งในอดีตแวบผ่านสมองเพียงชั่วครู่ ไม่ต่างอันใดกับแสงสว่างบนผิวน้ำ
รถลากเลี้ยวอีกคราว มันเลี้ยวเข้าไปในถนนแคบๆ สายหนึ่ง ประกายแสงจากทะเลสาบเลือนหาย เสียงอึกทึกครึกครื้นดังขึ้น แผ่นฟ้าผืนปฐพีกลับกลายแค่เพียงชั่วพริบตา
หอสูงหมู่เรือนสองข้างทางงดงามตระการตา หลังคากระเบื้องตัวอาคารล้วนสีทองอร่าม ชายคาแต่ละชั้นล้วนแขวนประดับไว้ด้วยโคมแดง ต่วนไหมสีแดงทิ้งตัวลงมาจากราวรั้ว ขยับไหวอยู่ท่ามกลางสายลมยามราตรี
ระหว่างหอสูงกับหมู่เรือนที่อยู่ติดกันเป็นพืดมีระเบียงวนเชื่อมต่อกันกลางอากาศ ตัดผ่านถนน มีผ้าโปร่งสีแดงทิ้งตัวลงมาจากทางด้านบน เกิดเป็นสายเส้นสีแดงสิบหลี่สะบัดพลิ้วอยู่ทั่วทุกแห่งหน
กลิ่นบุปผา กลิ่นสุรา กลิ่นเครื่องประทินโฉม กลิ่นหอมนานาระคนอยู่ด้วยกัน เสียงหัวเราะ เสียงบทเพลง เสียงอสูรคึกคักครึกครื้นดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ปี้โหยวกับหร่วนฮุยไหนเลยจะเคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อน ทั้งสองตกใจหน้าซีด นัยน์ตากลับวับวาวตื่นตาตื่นใจ
ฟ้าแดงพื้นทอง ถนนทั้งสายปกคลุมไปด้วยสีแดงสด ยังไม่ทันได้ลิ้มรสสุราก็เมามายก่อนแล้ว
“หอคณิกาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเฟิงเยวี่ย หอหงเฉินจุ้ยเมิ่งมิได้เป็นแค่หอหลังเดียว หากแต่เชื่อมต่อหอทุกหอบนถนนสายนี้” เถ้าแก่หอคณิกายิ้มกล่าวอย่างเบิกบาน “ที่นี่คือกิจการของข้า อสูรโฉมสะคราญทั้งหมดในหอ พี่คุนซานสามารถเลือกได้ตามใจ!”
รถลากเทียมกวางสี่ตัวจอดอยู่หน้าหอสีทองอร่ามที่ใหญ่โตที่สุด เถ้าแก่หอคณิกาโผล่หน้าออกไปได้ไม่ทันไรก็มีอสูรตะโกนบอก “เถ้าแก่กลับมาแล้ว!”
เพียงพริบตาเดียวในหอนอกหอ ชั้นบนชั้นล่าง แขกเหรื่อนับไม่ถ้วนต่างพากันยื่นหัวมุงดู บ่าวไพร่กลุ่มหนึ่งกรูกันขึ้นมาแย่งทำตัวเป็นที่รองเท้า
เมิ่งเสวี่ยหลี่ไม่สะทกสะท้าน ปล่อยให้เหล่าอสูรที่ห้อมล้อมอยู่โดยรอบพินิจพิจารณาตามอำเภอใจ “ที่นี่นับว่าไม่เลว แต่ออกจะอึกทึกไปสักหน่อย ทำอันใดข้าชอบความสงบเงียบ”
เถ้าแก่หอคณิกายิ้มเป็นที่รู้กัน “เข้าใจๆ ลานด้านหลังของหอนี้เป็นป่าไผ่เขียว เงียบสงัดท่ามกลางความอึกทึก รับรองท่านพี่ต้องพอใจ”
อสูรชั้นสูงเน้นท่วงทำนอง ความชมชอบ สุนทรียะ อสูรชั้นต่ำต่างหากที่ชอบความคึกคัก
เถ้าแก่หอคณิกาเชิญเมิ่งเสวี่ยหลี่ลงมาด้วยกิริยางดงาม ก่อนจะประคองชื่อชูและเฟยอวี่ลงจากรถด้วยตนเอง
ปี้โหยวกับหร่วนฮุยทั้งๆ ที่ยังไม่ได้แตะสุราสักหยด แต่สายตาของพวกเขากลับเมามายเลอะเลือน เดินตามเมิ่งเสวี่ยหลี่อยู่ด้านหลัง
ภายในหอ โคมนับพันสุกสว่าง อาภรณ์นางรำสะบัดไหว อสูรชั้นต่ำรูปร่างงดงามร้องรำทำเพลงเชิญชวนร่ำสุรา อสูรชั้นสูงตระกองกอดหญิงงามซ้ายขวา
ผู้รับใช้กลุ่มหนึ่งเปิดทาง เชิญเมิ่งเสวี่ยหลี่เดินตรงเข้าไปภายใน เถ้าแก่หอคณิกายื่นมือ ชี้ไปยังเวทีสูงกลางโถง พูดด้วยความภาคภูมิใจ
“กลุ่มนักดนตรีที่ดีที่สุดในเมืองเฟิงเยวี่ย สามารถบรรเลงบทเพลงได้ทุกชนิดทั่วทั้งสามภพ”
บนเวทีมีนักดนตรีอสูรกว่าร้อยตน ไม่เพียงมีเครื่องดนตรีตามความนิยมของชาวอสูร หากยังมีฉินเซ่อผีผาคงโหว* ของแดนมนุษย์ พิณใหญ่ขลุ่ยยาวสั้น แตรใหญ่น้อยของแดนมาร สารพัดเครื่องดนตรีทั้งที่เคยได้ยินและไม่เคยได้ยิน เคยเห็นและไม่เคยเห็น
“ข้ามีนางรำที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเมืองเฟิงเยวี่ย” เถ้าแก่หอคณิกาขยับมือ ชี้ไปยังตำแหน่งค่อนข้างอับแสงด้านล่างเวที “เชี่ยวชาญการร่ายรำทุกประเภท! นางจะร่ายรำเปิดงานชุมนุมหมื่นอสูร”
หากมองไปจากจุดที่พวกเมิ่งเสวี่ยหลี่อยู่ จะเห็นก็แต่แผ่นหลังสีเขียวครามอวบอิ่มชุ่มชื้นกำลังขยับไหว ปีกกระพือไปตามเสียงดนตรี ทว่าปีกทั้งสองข้างของอสูรตนนั้นอวบอ้วน กระพือแต่ละครั้งก่อเกิดเสียงลมพึ่บพั่บ ฝืนบินได้แค่หนึ่งจั้งก็โซซัดโซเซลงมาแล้ว
“นางรำผู้นั้นเหมือนจะอ้วนไปสักหน่อย” เมิ่งเสวี่ยหลี่พยายามพูดให้สละสลวย
“แค่กๆๆ!” เถ้าแก่หอคณิกาสะอึก สำลักไอออกมาติดๆ รีบโบกมืออธิบาย “ไม่ใช่ตนนั้น เจ้านกยูงอ้วนนั่นเป็นเพียงแขกที่มาเรียนร่ายรำ! ดูที่อยู่ข้างๆ นั่น!”
ที่แท้ข้างอสูรนกยูงตนนั้นยังมีอสูรปักษาสวรรค์อยู่อีกตน เพราะรูปร่างแบบบางยิ่ง เมื่อครู่ถึงได้ถูกอีกฝ่ายบังมิด
อสูรปักษาสวรรค์เตือนด้วยความหวังดีครั้งแล้วครั้งเล่า “เสี่ยวหยวน หากไม่ขยันร่ายรำ เจ้าจะผอมได้เช่นไร ลดน้ำหนักไม่มีเคล็ดลับ มีแค่สี่คำ กินน้อยขยับมาก!”
ครั้นพูดจบนางก็หันไปส่งสัญญาณมือให้กับพวกนักดนตรี เสียงเพลงดังขึ้นอีกคราว เสียงกลองดังระรัวราวกับสายฝน กระตุ้นให้นกยูงขยับ
เฟยอวี่มองดูอย่างสนอกสนใจ กระทุ้งศอกใส่ชื่อชู “สองสามวันนี้พวกเราพำนักอยู่ที่นี่ เจ้าเองก็ไปร่ายรำด้วยสิ!”
เถ้าแก่หอคณิการีบปราม “ไม่ได้เด็ดขาด! รูปร่างอสูรงดงามพอเหมาะพอเจาะของเจ้านี้ถือเป็นผลงานชั้นยอดที่เทพอสูรทรงเมตตาสร้างสรรค์ แม้นมากไปนิดก็จะอ้วนไป หากน้อยไปหน่อยก็จะผอมเกิน”
ชื่อชูแสร้งทำเป็นขวยเขิน “จริงกระนั้นหรือ”
สองฝ่ายเจ้าๆ ข้าๆ เสแสร้งตลบตะแลงเสวนาอย่างออกรส
เมิ่งเสวี่ยหลี่ยืนตะลึง สายตาจับจ้องอยู่บนแผ่นหลังที่กำลังขยับไหวของนกยูง
จี้เซียวขยับโซ่เบาๆ เรียกสติเขา ถ่ายเสียงถาม “เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ถอนหายใจ “เป็นนกยูงเหมือนกัน ข้าเห็นนกยูงนั่นร่ายรำอย่างเบิกบานใจ แต่กลับไม่รู้ว่ายามนี้เชวี่ยเซียนหมิงอยู่ที่ใด เขาไม่ค่อยดูแลตัวเอง โมโหจากไปเพียงลำพังเช่นนี้ เกรงว่ายามนี้คงผอมจนเหลือแต่หนังติดกระดูก สีขนหม่นหมองหมดสิ้น…”
ติดตามบทที่ 9 ได้ในวันที่ 4 ธ.ค. 63