everY
ทดลองอ่าน คดีลับใต้หมู่ดาว เล่ม 3 บทที่ 120-121 #นิยายวาย
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
การทารุณกรรม ทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การกักขังหน่วงเหนี่ยว
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
การฆ่าตัวตาย และการกินเนื้อเผ่าพันธุ์เดี
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 120
ทำไมต้องแต่งหญิง คงต้องพูดกันตั้งแต่เรื่องที่พวกเขาพยายามหลบเลี่ยงหูตาของคุณซ่งนั่นล่ะ
พูดถึงคุณซ่ง ก็คงยากจะเลี่ยงไม่พูดถึงทรัพย์สมบัติที่ขนย้ายตามร่างคุณนายมาถึงเป่ยผิง
เยวี่ยติ้งถังกลัวจริงๆ ว่าหลิงซูจะพลั้งปากพูดเรื่องเหล่านั้นออกไป
แม้ว่าพ่อบ้านจะเป็นคนกันเอง แต่เรื่องนี้มีความเกี่ยวพันมากมายใหญ่โต ยิ่งคนรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งปลอดภัยเท่านั้น สำหรับคนที่ได้ฟังแล้วการรู้มากเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป
หลังจากกินซุปร้อนๆ แล้วก็มีเหล้าอุ่นมาเสิร์ฟพอดิบพอดี
เหล้าไม่จำเป็นต้องดีกรีสูง เหล้าดอกกุ้ยหรือเหล้าบ๊วยนั้นเหมาะสมที่สุด
สำหรับพวกเขาซึ่งเหน็ดเหนื่อยมาจากการเดินทาง เหล้าสักกาหนึ่งคือสิ่งที่ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายเลือดลมไหลเวียนได้ดีที่สุด ทำให้ความอ่อนระโหยโรยแรงกลับมามีกำลัง ร่างกายผ่อนคลายอย่างถึงที่สุด
หลิงซูพูดคุยเรื่องที่ได้เห็นได้ยินมาจากสกุลกวนไม่หยุด บรรยายเรื่องนิสัยชวนตะลึงจนพูดไม่ออกของพี่น้องสกุลกวนทั้งหลาย ท่านใหญ่ที่ไม่ค่อยมีเหตุผล ท่านรองผู้หลงใหลในของโบราณแต่กลับไม่ได้มีความรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้น มีปณิธานแรงกล้าแต่ไร้ความสามารถ ท่านสามผู้เงียบขรึมไม่พูดไม่จา ท่านสี่ผู้ไหว้เจ้าเข้าทรง ทั้งยังมีท่านห้าที่เพิ่งกลับมาจากเมืองนอก ดูเหมือนสูงส่งบริสุทธิ์แต่กลับสนใจเรื่องการแบ่งมรดกของกวนเหล่าเหยียจื่อไม่แพ้ใคร หลิงซูบรรยายถึงบุคคลเหล่านี้ได้อย่างออกรสออกชาติ
ทว่าฉากที่เหล่าหยวนเปิดคลังนั้น เมื่อออกมาจากปากหลิงซูก็เปลี่ยนเป็นเรื่องเล่าฟุ้งฝอยที่เขาพูดไปเรื่อย เบี่ยงเบนความสนใจของลุงโจวได้ในที่สุด
เมื่อมีหลิงซูร่วมโต๊ะอาหาร ต่อให้มีคนน้อยก็ยังรู้สึกคึกคักได้
ชั่วชีวิตนี้พ่อบ้านชราพบเจอคนมาไม่น้อย แต่คนที่ไม่สมเหตุสมผลจนชวนตะลึงอย่างคนสกุลกวนนั้นมีให้เห็นไม่มาก พ่อบ้านฟังจนเพลิน กระทั่งหลิงซูเล่าจบไปนานเขาจึงค่อยถอนหายใจ
“ที่จริงคุณชายใหญ่ก็เคยบอกเอาไว้ครับว่าการเดินทางครั้งนี้พวกคุณไม่ควรไปกัน นอกจากเรื่องจะไปลำบากกันเปล่าๆ แล้ว ถ้าคุณนายที่อยู่ในปรโลกรู้เรื่องนี้เข้าคงไม่อยากให้เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นหรอกครับ”
เยวี่ยติ้งถังวางถ้วยซุป ก่อนใช้ผ้าเช็ดปาก
“ก็ไม่นับว่าเสียเปล่าหรอก อย่างน้อยก็ได้ชดเชยความเสียใจของแม่ตอนยังมีชีวิตอยู่”
อีกทั้งยังเรียกคืนสมบัติมาได้อีกสองหีบเต็มๆ เพื่อไม่ให้ไปตกอยู่ในมือคนตะวันตก
ทรัพย์สมบัติพวกนั้นจะเรียกได้ว่าเป็นสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ อย่าว่าแต่เหล่าหยวนไม่รู้เลย แม้แต่เขากับหลิงซูเองก็แยกแยะไม่ออก เพียงแต่ตอนที่กวนเหล่าเหยียจื่อยังมีชีวิตอยู่ถึงกับกล้าเสี่ยงอันตรายขนาดนั้น พยายามทุ่มเทมากมายเพื่อปกป้องของเหล่านั้นเอาไว้ ประกอบกับที่มาของมันก็ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว อาจจะมีสักวันที่คนรุ่นหลังบันทึกประวัติศาสตร์แล้วเขียนถึงความเพียรพยายามในการปกป้องทรัพย์สมบัติเหล่านี้ของกวนเหล่าเหยียจื่อเอาไว้บ้างก็ได้ ให้สมกับที่ทุกคนต้องลำบากตรากตรำกันมา
ทว่าตอนนี้ เรื่องเหล่านี้ยังคงเป็นความลับ ไม่อาจให้คนนอกล่วงรู้
พออยู่บ้านก็มักอยากออกไปเตร็ดเตร่ข้างนอก เมื่อเตร่อยู่ข้างนอกนานเกินไปก็เริ่มคิดถึงบ้าน
ที่นี่คืออ่าวเรือให้เขาได้พักผ่อนสบายใจทุกเมื่อยามเหนื่อยล้า เมื่ออยู่ที่นี่เขาไม่จำเป็นต้องคิดหาอุบายวางแผนต่อสู้เอาชีวิตรอด ไม่ต้องกังวลว่าคนข้างกายจะมาลอบทำร้าย และยังมีคนในครอบครัวที่ห่วงใยเอาใจใส่พวกเขา คอยเตรียมข้าวเตรียมซุปร้อนๆ ให้พวกเขาได้ขจัดความเหนื่อยล้าและความสกปรกจากการเดินทางอันยาวนาน
สำหรับหลิงซูแล้ว แม้ว่าที่นี่จะไม่ใช่บ้านของตัวเอง แต่เขาก็อยู่ที่นี่ได้โดยไม่รู้สึกกดดันอะไรเลย
หากหาความกดดันมาใส่หัวใจตัวเอง คนคนนั้นย่อมมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน และเขาก็เป็นคนไม่หาเรื่องวุ่นวายใจให้ตัวเองมาแต่ไหนแต่ไร
ลุงโจวย่อมไม่ให้เขาไปนอนโซฟาห้องรับแขกอยู่แล้ว อีกฝ่ายเก็บกวาดจัดห้องนอนแขกเอาไว้เรียบร้อยแต่เนิ่นๆ หมอนผ้าห่มก็เปลี่ยนเป็นของใหม่และนำไปตากแดดเรียบร้อย หากเข้าไปดมใกล้ๆ ก็จะได้กลิ่นหอมแดด
เยวี่ยติ้งถังเดินลงมา ก่อนจะกลับไปโดยที่ในมือมีสาลี่ตุ๋นน้ำตาลสองถ้วย
ลุงโจวแทบจะพยายามกำจัดความเหน็ดเหนื่อยยากลำบากที่พวกเขาได้รับมาจากข้างนอกไปให้หมดสิ้นภายในวันเดียว เขาตั้งเตาไม่ได้หยุดหย่อน ตอนแรกลุงโจวจะขึ้นมาเสิร์ฟให้หลิงซูด้วยตนเองด้วยซ้ำ แต่เยวี่ยติ้งถังเห็นลุงโจวอายุอานามขนาดนี้แล้วก็ทนไม่ไหวที่จะให้เดินขึ้นเดินลงทั้งวัน จึงถือโอกาสเอามาให้หลิงซูเอง
ชามหนึ่งวางเอาไว้บนหัวเตียงในห้องตนเอง อีกชามยกมาเคาะประตูห้องนอนแขกสองสามครั้ง จึงค่อยได้ยินเสียงคนข้างในเอ่ยอย่างเกียจคร้าน
“เข้ามาสิ”
ความอ่อนเพลียหนักหน่วงทำให้แทบจะหลับไปในวินาทีข้างหน้า
เยวี่ยติ้งถังผลักประตูเข้าไป เขาเห็นอีกฝ่ายกำลังนอนกางแขนกางขาอย่างไม่มีการรักษาภาพลักษณ์ใดๆ ดังคาด เห็นภาพนี้แล้วเยวี่ยติ้งถังเป็นอันต้องขมวดคิ้ว
“นายนอนทับแผล อย่านอนอย่างนี้สิ”
หลิงซูไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง
เยวี่ยติ้งถังเดินเข้าไปใกล้ ก็เห็นว่าอีกฝ่ายสระผมแต่ยังไม่ได้เช็ดให้แห้ง กลับนอนลงไปทั้งที่ผมเปียกอย่างนั้นจนน้ำซึมบนหมอน
“ลุกขึ้นมา”
เยวี่ยติ้งถังถอนหายใจ เขารู้สึกทนไม่ได้
ตอนอยู่ข้างนอกพูดปาวๆ ว่าไม่สนใจอะไรทั้งนั้น พอกลับมาบ้านเห็นอีกฝ่ายทำตามใจอย่างนี้เขาก็เริ่มจะจุกจิกจู้จี้ขึ้นมาอีกแล้ว
หลิงซูรับคำงึมงำ แต่ร่างกายกลับซื่อตรงมาก ไม่ขยับสักนิด
เยวี่ยติ้งถังทนจนทนไม่ไหว ในที่สุดก็ลงมือเอง เขาไปเอาผ้าขนหนูแห้งผืนหนึ่งออกมาจากห้องอาบน้ำแล้วโปะลงบนศีรษะอีกฝ่าย จากนั้นก็เริ่มเช็ดผมให้
“ทางซ้ายอีกหน่อย ใช่ๆ ตรงนั้นแหละ กดตรงจุดเฟิงฉืออีก…”
หลิงซูได้คืบจะเอาศอก ไม่ได้ใส่ใจกับกิริยาที่ค่อนข้างหยาบกระด้างเล็กน้อยของเยวี่ยติ้งถัง กลับสนุกสนานเสียด้วยซ้ำ
เยวี่ยติ้งถังหมดคำจะพูด นี่มันคุณชายใหญ่แต่กำเนิดจริงๆ
ถ้าสกุลหลิงยังไม่ล้มละลาย เจ้าหมอนี่ก็คงยังเป็นคุณหนูคุณชายที่ถูกเลี้ยงประคบประหงมจนเคยตัว แค่หนามกุหลาบตำนิดหน่อยก็ต้องนั่งเป่าแผลไปครึ่งค่อนวันอะไรจำพวกนั้น
หากตอนนั้นหลิงซูเอาทรัพย์สมบัติประจำตระกูลที่พี่สาวให้ไปเรียนหนังสือที่ต่างประเทศ ไม่แน่ว่าอาจจะได้พบกับเยวี่ยติ้งถังที่ต่างบ้านต่างเมืองก็ได้ เพราะวงการนักเรียนนอกก็มีอยู่แค่นั้น เงยหน้าไม่เจอก้มหน้าก็ต้องเจอ เยวี่ยติ้งถังก็จะได้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้แต่งงานกับตู้อวิ้นหนิง และจะได้รู้เรื่องทางสกุลหลิงด้วย
แต่รู้แล้วทำอย่างไรได้เล่า
ตอนนั้นตัวเขาเองก็เป็นเพียงคุณชายที่รู้จักแต่กินใช้ ทำอะไรไม่เป็น ได้แต่พึ่งเงินค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันจากสกุลเยวี่ย ยังไม่เคยสัมผัสโลกกว้างใหญ่หลากหลาย ยังไม่เคยฝึกฝนจนเชี่ยวชาญเรื่องการสงบนิ่งไม่แสดงสีหน้าอาการ และยังไม่เคยพบเห็นโลกที่มีคลื่นลมถาโถมจนชินชา เขาไม่มีสถานะและไม่มีความสามารถ อาจจะไม่ได้เป็นอย่างทุกวันนี้ที่จะสามารถรับอีกฝ่ายเข้ามาอยู่ใต้ปีกของตนได้
บางที การพบเจอกันตอนนี้อาจจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดแล้ว
เช็ดผมไปนวดศีรษะมา เขาก็พบว่าศีรษะนั้นขยับไปตามที่เขานวดไม่ดิ้นรนอีกต่อไป เมื่อมองดูก็พบว่าอีกฝ่ายสบายจนหลับไปแล้วจริงๆ
เยวี่ยติ้งถังลูบผมหลิงซู มันแห้งไปไม่น้อย หากตื่นขึ้นมาวันรุ่งขึ้นคงจะไม่ปวดศีรษะแล้ว เวลานี้เขาควรจะลุกขึ้นปิดไฟแล้วออกไปจากห้องเงียบๆ แต่เขาก็เห็นชามสาลี่ตุ๋นน้ำตาลวางเอาไว้ตรงหัวเตียงโดยที่ยังไม่ถูกแตะต้อง
เยวี่ยติ้งถังยื่นมือออกมาหยิกแก้มข้างหนึ่งของหลิงซูเบาๆ ริมฝีปากบางเคลื่อนเข้าใกล้ พ่นลมหายใจร้อนใส่หูอีกฝ่าย
“พรุ่งนี้เงินเดือนออก สามร้อยต้าหยาง”
???
หลิงซูลืมตาพรึบ ดีดตัวขึ้นมาจากเตียง!
เยวี่ยติ้งถังนั่งอยู่ข้างเตียง ท่าทางสงบนิ่ง
หลิงซูเอ่ย “พรุ่งนี้เงินเดือนออกเหรอ”
เยวี่ยติ้งถังทำหน้าเหมือนกำลังมองคนซื่อบื้อ “พรุ่งนี้เพิ่งกลางเดือน เงินเดือนจะออกได้ยังไง”
“งั้นทำไมฉันได้ยินคำว่าสามร้อยต้าหยางล่ะ”
เยวี่ยติ้งถังเอ่ยเสียงเรียบ “นายได้ยินในฝันล่ะมั้ง”
สองคนจ้องตากันไปมา
หลิงซูยืนยันหนักแน่น “ฉันไม่มีทางฟังผิดหรอก!”
“ในเมื่อตื่นแล้วก็กินของหวานนี่ซะ น้ำใจของลุงโจวจะให้เสียเปล่าไม่ได้”
เขาส่งถ้วยให้อีกฝ่าย จากนั้นก็เดินจากไป
หลิงซู “…”
เขาพยายามเค้นสมองทบทวนความทรงจำเต็มที่ว่าตัวเองฝันไปหรือว่าได้ยินจริงๆ กันแน่
หลิงซูอยู่ที่บ้านสกุลเยวี่ยหนึ่งสัปดาห์เต็ม
เจ็ดวันนี้บาดแผลเก่าของเขายังไม่หายดี เขาจึงไม่ได้ไปรายงานตัวที่กรมตำรวจประจำนคร อย่างไรเสียถึงไปก็ได้แต่นั่งว่างๆ อยู่แล้ว จะทำแผลดูอาการอะไรก็มีหมอประจำตระกูลมาดูให้ถึงบ้านสกุลเยวี่ย เขาเองก็ไม่กล้ากลับบ้านด้วย ไม่อย่างนั้นพี่สาวของเขาต้องดูออกแน่นอนว่าหน้าดูซูบตอบไปอีกทั้งยังเดินกะเผลก เห็นแบบนั้นขาอีกข้างอาจจะโดนพี่ฟาดจนหักไปด้วยก็ได้
อย่างไรเยวี่ยติ้งถังก็ยังต้องไปสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัย หลิงซูจึงได้แต่นั่งนอนรากงอกอยู่ที่บ้านสกุลเยวี่ย
ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกเบื่อ เขาลากลุงโจวให้มาดูการแสดงศิลปะป้องกันตัวสิบแปดกระบวนท่าทุกวัน
วันนี้เป็นซีเซียงจี้หลิงซูไม่ต้องใช้ผู้ช่วยเลย เดี๋ยวเขาก็เลียนแบบชุยอิงอิงผู้อรชรอ่อนหวาน เดี๋ยวเขาก็กระโดดไปอีกฝั่งกลายเป็นจางเซิงที่กำลังทำหน้าตาถมึงทึง เดี๋ยวเขาก็เป็นหงเหนียงผู้ร่าเริงขี้เล่น บางครั้งก็จีบปากจีบคอบีบเสียง บางครั้งก็ทำเสียงทุ้มหยาบ ทำเอาลุงโจวรู้สึกสนุกสนานยกใหญ่ ตัวหลิงซูเองก็เล่นจนสนุกไปด้วย แม้แต่คนรับใช้อื่นๆ ของบ้านเยวี่ยก็ล้วนรู้สึกสนุกเช่นกัน เวลาไม่ต้องทำงานก็มาล้อมวงดูทั้งยังส่งเสียงเชียร์อีกด้วย หลิงซูก็ยิ่งมีกำลังใจขึ้นอีก
จนกระทั่งเยวี่ยติ้งถังเลิกงานกลับมาบ้าน
ชายหนุ่มไม่ได้ว่างเหมือนอย่างหลิงซู ที่กรมตำรวจประจำนครส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีงานอะไร แต่เขายังมีงานสอนอยู่อีก การไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือครั้งนี้ทำให้เสียเวลาไปนาน เวลานั้นยาวนานเกินกว่าเวลาที่เขาลางานไปมาก นอกจากจะต้องกลับไปรายงานตัวที่มหาวิทยาลัยหลังจากที่ตนลางานไปแล้ว เขายังต้องสอนอีกหลายคาบ ชดเชยคาบเรียนที่พวกนักเรียนเรียนล่าช้ากันไปก่อนหน้านี้ให้ทัน
เมื่อสกุลเจินได้ยินว่าเขากลับมาแล้วก็รีบมาหาทันที คนที่มายังคงเป็นเจินซูหลาน
แค่เยวี่ยติ้งถังเห็นเขาก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายมาเพื่อจุดประสงค์อะไร
ก่อนไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือเจินซูหลานเคยมาหาพวกเขา เพราะเรื่องที่เจินฉงอวิ๋นผู้เป็นน้องสาวหายตัวไป และหวังว่าถ้าพวกเขาได้พบเจินฉงอวิ๋นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะช่วยติดต่อสกุลเจินให้
เจินซูหลานไม่รู้ว่าพวกเยวี่ยติ้งถังไม่เพียงแต่ได้พบกับเจินฉงอวิ๋นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเท่านั้น แต่เจินฉงอวิ๋นยังร่วมมือกับคนรัสเซียเพื่อฆ่าคนและขโมยของมีค่าอีกด้วย สุดท้ายก็ตายด้วยน้ำมือของพวกเขาเอง ส่วนเจดีย์ทองประดับอัญมณีเต็มองค์ที่เจินฉงอวิ๋นเอาไปนั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เยวี่ยติ้งถังย่อมไม่บอกเรื่องจริงแก่เจินซูหลาน เขาพูดเพียงว่าพวกเขาไม่ได้พบเจินฉงอวิ๋นเลย และไม่รู้ว่าเธอยังอยู่ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือเปล่า เจินซูหลานก็ไม่ได้ดูสงสัยอะไรพวกเขาเป็นพิเศษ
“ช่างเถอะ ที่จริงตอนที่รบกวนพวกคุณเรื่องนี้ผมก็คิดว่าผมมีความหวังไม่มากนักอยู่แล้ว นิสัยของน้องสาวตัวเองผมก็รู้ดี เธอน่ะเอาแต่ใจมาก คิดว่าทั้งโลกหมุนรอบตัวเธอ นิสัยแบบนี้เวลาอยู่ในบ้านสกุลเจินก็ยังได้รับความรักความเอ็นดูจากพวกเรา ถ้าไปข้างนอกคงไปไหนไม่รอด” เจินซูหลานพูดพลางยิ้มขื่น “คุณพ่อท่านระเบิดอารมณ์ใหญ่เชียวครับ บอกว่าต่อไปถือว่าสกุลเจินไม่มีทายาทอย่างเธอ สัญญาหมั้นหมายระหว่างเธอกับสกุลหลิ่วก็หาน้องสาวอีกคนมาแทนแล้ว”
เยวี่ยติ้งถังเงียบไปครู่หนึ่ง “ผมเสียใจด้วยนะครับ”
เขาเคยชินกับการพูดคำตามมารยาทเช่นนี้ สีหน้าของเขาเรียบนิ่งไม่เห็นพิรุธใดๆ ถึงอย่างไรเจินฉงอวิ๋นก็เป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา เจินซูหลานจึงไม่ได้สงสัยแม้แต่น้อย
“เฮ้อ…ถ้าไม่พูดก็แล้วไป พูดขึ้นมาแล้วก็หงุดหงิดอีก เอาไว้น้องสาวผมแต่งงานจะส่งบัตรเชิญมาทางคฤหาสน์คุณนะครับ ถึงตอนนั้นก็ขอเชิญทั้งคุณและพี่ชายไปให้เกียรติร่วมงาน ร่วมดื่มเหล้ามงคลกันสักแก้ว”
เยวี่ยติ้งถังบอกว่า “แน่นอนครับ คุณเจินเกรงใจเกินไปแล้ว”
ต่อให้เจินฉงอวิ๋นได้รับความรักความเอ็นดูมากเพียงใด ทว่าสำหรับสกุลเจินแล้วเธอก็เป็นเพียงคนที่มีตัวตนพิเศษกว่าคนอื่นหน่อยเท่านั้น แต่เจินซูหลานมีน้องสาวมากมาย ไม่มีเจินฉงอวิ๋นสักคนก็ยังมีคนอื่นให้แต่งงานกับตระกูลที่กำหนดเอาไว้ได้ เจินฉงอวิ๋นคิดว่าความพิเศษของตนนั้นเป็นหนึ่งเดียว และคิดว่าการที่ตนออกไปจากบ้านสกุลเจินจะทำให้เธอได้ออกไปท่องโลกกว้าง แต่ใครจะคาดคิดว่าความลำพองของเธอจะกลายเป็นยันต์เร่งความตายให้ตัวเธอเอง
หากเทียบชะตาชีวิตของคนที่อยากจะหลุดพ้นจากกรงขังเหมือนกันแล้ว จุดจบของเธอกับเหอโย่วอันก็ค่อนข้างจะคล้ายคลึง แต่ระหว่างสองคนนี้ก็กลับแตกต่างกันมากเหลือเกิน
อย่างน้อยที่สุดเยวี่ยติ้งถังก็จะจดจำชื่อของเหอโย่วอันไปชั่วนิรันดร์ แต่อาจจะลืมเลือนชื่อเจินฉงอวิ๋นได้ นอกเหนือจากบิดามารดาญาติพี่น้องของเจินฉงอวิ๋นแล้ว บางทีอาจไม่มีใครจำเธอได้เลยก็เป็นได้
ระหว่างทางกลับมาจากทำงาน เยวี่ยติ้งถังได้พบกับคนที่คาดไม่ถึงคนหนึ่ง ทั้งคู่ถามไถ่ทักทาย อีกฝ่ายถูกเยวี่ยติ้งถังชักชวนให้ขึ้นรถและกลับมาด้วยกัน
หลังจากไปทำงานกลับบ้านมา เยวี่ยติ้งถังก็เกือบจะคิดว่าตนเข้าผิดบ้านเสียแล้ว
บ้านที่เคยเงียบสงบเรื่อยมา คฤหาสน์สกุลเยวี่ยนั้นแม้แต่คนรับใช้จะพูดจากันก็ยังต้องพูดเสียงเบา แต่บัดนี้แม้จะมีประตูกั้นเขาก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะเฮฮาดังออกมาจากข้างใน
คนรับใช้ที่มาเปิดประตูมองเขาอย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่าเขาจะไม่พอใจ และยังอธิบายอย่างระมัดระวังด้วย
“คุณชายสี่ คุณชายหลิงไม่รู้ว่าคุณกลับมาแล้วน่ะครับ”
เยวี่ยติ้งถังรับคำอืม ดูไม่ออกว่ายินดีหรือโกรธเคือง