everY
ทดลองอ่าน คดีลับใต้หมู่ดาว เล่ม 1 บทที่ 8 #นิยายวาย
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
และการฆาตกรรม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 8
เมื่อกินข้าวมื้อนี้เสร็จ หลิงซูก็ถอนหายใจยาวเหมือนได้ชีวิตใหม่
เขาคิดว่าตัวเองไปอยู่ในคุกยังดีซะกว่า อย่างน้อยหูของเขาก็ไม่ต้องมาทนทุกข์อยู่อย่างนี้
แต่ในที่สุดหลิงเหยาก็ทนกลิ่นที่โชยออกมาจากตัวของเขาไม่ไหว เมื่อกินข้าวเสร็จจึงไล่เขาไปอาบน้ำ
“อาบให้สะอาดหน่อยนะ พกเห็บหมัดเต็มตัวมานั่งกินข้าวกับเพื่อนอยู่ได้ เธอนี่จริงๆ เลยเชียว!”
หลิงเหยาลากเขาขึ้นไปชั้นบนแล้วพูดเสียงเบาลง
“บอกมาตามตรง เมื่อคืนไปทำอะไรที่ไหนมากันแน่ ทำไมเนื้อตัวถึงได้สกปรกเหม็นโฉ่กลับมาขนาดนี้!”
หลิงซูเอ่ยด้วยหน้าตาใสซื่อ “ไม่มีอะไรจริงๆ พี่ แค่ไปตามจับคนร้ายหนีคดีแล้วหกล้มนิดหน่อย”
หลิงเหยามีสีหน้าไม่เชื่อ แต่เพราะมีแขกอยู่ที่บ้านเธอจึงได้แต่เขกศีรษะหลิงซูเบาๆ แล้วไม่เซ้าซี้ถามต่อ
หลิงซูคิดแล้วก็ดึงตัวพี่สาวเอาไว้เพื่อถาม “พี่ ช่วงนี้พี่เขยได้พูดกับพี่บ้างไหมว่าเขาเจอเรื่องลำบากในการทำงาน หรือว่าไปล่วงเกินใครเข้าหรือเปล่าน่ะ”
หลิงเหยาสงสัย จากนั้นก็เริ่มเคร่งเครียด
“ก็ไม่นะ ทำไม หรือว่าพี่เขยแกไปมีเรื่องอะไร”
“อย่าระแวงสิ” หลิงซูพูดเรื่อยเปื่อยไปตามเรื่อง “พักนี้หัวหน้าผมเขาพนันกับเพื่อนร่วมงานแล้วแพ้พนัน ก็เลยโดนจับไปด้วยข้อกล่าวหาอะไรมั่วๆ สักอย่าง ผมก็เป็นห่วงพี่เขยไปด้วยน่ะ”
“อย่าทำให้พี่ตกใจสิ เขาไม่ได้เป็นอะไรนะ เมื่อวานเลิกงานกลับมาบ้านนี่อารมณ์ดีมาก ยังไปซื้อเค้กนโปเลียนที่พี่ชอบที่สุดมาจากร้านเหล่าต้าชางเลย”
“เอาล่ะๆ งั้นผมไปอาบน้ำก่อนนะ เดี๋ยวจะพาเจ้าคนแซ่เยวี่ยกลับไปดูที่โรงเรียนเก่าสมัยมัธยมเสียหน่อย”
“อย่าเอาแต่เรียกคนแซ่เยวี่ยคนแซ่เยวี่ยสิ!” หลิงเหยาดึงเขาเอาไว้แล้วพูดเบาๆ “ตอนนี้เขาได้ดิบได้ดีขนาดนี้ ฐานะที่บ้านก็ไม่เลว เห็นแก่ที่เพื่อนเก่ามีน้ำใจมาเยี่ยมเธอ เธอก็ต้องซาบซึ้งน้ำใจเขาสิ รีบไปเอามิตรภาพนี้กลับมาเลยนะ ต่อไปไม่แน่ว่าแม้แต่เรื่องหาภรรยาเธอก็อาจจะต้องให้ติ้งถังช่วยด้วยก็ได้!”
“เขาจะช่วยได้หรือไง ช่วยแกล้งผมด้วยการหาน้องสะใภ้หน้าตาน่าเกลียดๆ ให้พี่สิไม่ว่า”
หลิงเหยาทำท่าเหมือนจะตีเขา แต่หลิงซูปฏิกิริยาว่องไวหลบหายไปหลังประตูห้องอาบน้ำทันที
เขาจงใจถ่วงเวลา ขัดถูอยู่ในห้องน้ำเกือบหนึ่งชั่วโมงจึงค่อยออกมา
เยวี่ยติ้งถังนั่งอยู่ที่เดิมตลอดเวลาตามคาด แม้แต่ท่านั่งก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงสักเท่าไหร่ สีหน้าก็ดูไม่มีความรู้สึกเหลือทนอะไรเลยสักนิด
“จะดื่มน้ำอีกสักแก้วก่อนออกไปข้างนอกไหม เมื่อคืนนายโต้รุ่งอยู่ข้างนอก คงจะเหนื่อยสินะ พักสักหน่อยค่อยออกไปก็ได้” เขาถามไถ่อย่างเป็นห่วงเป็นใย เอาใจใส่ถึงที่สุด
หากไม่มีเรื่องในห้องสอบสวนนั้น หลิงซูก็คงคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนสมัยเรียนที่เอาใจใส่มีน้ำใจจริงๆ
“ถ้านอนพักฉันคงหลับไปหลายชั่วโมง จะให้นายรอนานขนาดนั้นก็เกรงใจ”
“ไม่เป็นไร ยังไงซะถ้ามันนานนักฉันก็จะกินข้าวเย็นที่บ้านนายด้วยเลย พี่สาวนายก็คงไม่ถือสาหรอก”
หลิงเหยาไม่ทันสังเกตคลื่นใต้น้ำที่ก่อตัวระหว่างพวกเขาสองคน เธอยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้เขาอยู่ต่อเพื่อจะได้กินข้าวเย็นด้วยกัน
มีเพียงหลิงซูเท่านั้นที่ฟังออกว่าอีกฝ่ายแฝงแววข่มขู่เอาไว้ในคำพูด
ดวงตาสองคู่จ้องมองกัน ทั้งคู่มองเห็นจากสายตาของกันและกันว่าต่างฝ่ายต่างก็พูดไม่ตรงกับใจ พวกเขาเสแสร้งแกล้งยิ้มแต่ดวงตานั้นไม่ได้ยิ้มตาม
หลายปีมานี้เวลามีคนเสียชีวิตส่วนใหญ่จะต้องเอาศพไว้ที่บ้านก่อนเพื่อรอจะไปฝังบนภูเขา คนที่ไม่มีบ้านไม่มีครอบครัวก็ได้แต่เอาไปไว้ที่อี้จวง* เท่านั้น
สำหรับสถานการณ์ของตู้อวิ้นหนิงนั้นค่อนข้างพิเศษ
เธอเสียชีวิตในคดีฆาตกรรม สถานะของเธอนั้นส่งผลกระทบกับเรื่องนี้ไม่น้อย แม้ว่าตอนนี้สกุลหยวนจะไม่มีใครออกหน้ามาจัดการทำศพให้เธอ แต่ก็ไม่อาจทิ้งศพของเธอเอาไว้เฉยๆ โดยไม่ไยดีได้ ด้วยความร่วมมือจากสมิธ ศพของเธอจึงถูกเก็บเอาไว้ชั่วคราวในห้องเย็นข้างโรงพยาบาลแห่งหนึ่งซึ่งห่างจากสถานีตำรวจเขตเช่าไปไม่ไกล
เวลาผ่านไปสองวัน อากาศหนาวเหน็บ ศพยังไม่เปลี่ยนเท่าไหร่นัก เพียงแต่ผิวของศพดูซีดเซียวมากขึ้น ไม่มีชีวิตชีวาเหมือนตอนยังมีชีวิตก็เท่านั้น
ทั้งสองคนยืนอยู่สองฝั่งของศพ ก้มหน้ามองสำรวจดูเงียบๆ ไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง
เยวี่ยติ้งถังทำลายความเงียบขึ้นก่อน
“มีหนังสือพิมพ์รายงานเรื่องที่เกิดขึ้นกับสกุลหยวนแล้ว สมิธคงจะปิดข่าวเอาไว้ได้ไม่นานนัก ถ้ายังหาฆาตกรตัวจริงไม่เจอ จากการกดดันของสาธารณชนอย่างนี้ สถานีตำรวจเขตเช่าก็คงต้องเอาหลักฐานที่บ่งชี้ตัวผู้ต้องสงสัยตอนนี้เสนอต่อเบื้องบนแล้วล่ะ ถึงตอนนั้นจะประกันตัวนายก็คงยาก ฉันมีปากเสียงกับคนอื่นไปมากก็เพราะเรื่องนี้…เวลาที่เหลืออยู่สำหรับนายน่ะ มีไม่มากแล้วนะ”
เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ตาย เขาก็ได้แต่พยายามทำให้น้ำเสียงของตัวเองฟังดูไม่ได้เย็นชาไร้มนุษยธรรมขนาดนั้น ไม่ว่าที่ผ่านมาเขากับหลิงซูจะมีบุญคุณความแค้นอย่างไรต่อกัน อย่างน้อยตอนนี้เขาสองคนก็มีเป้าหมายร่วมกัน
หลิงซูเดินวนรอบศพสองรอบ สีหน้าของเขาเคร่งเครียด เขามองดูอย่างละเอียด แทบไม่ได้ฟังที่เยวี่ยติ้งถังพูดเลย
“เธอเปลี่ยนไปมาก”
เยวี่ยติ้งถังขยับปาก อยากจะพูดว่าคนคนหนึ่งตอนมีชีวิตกับตอนตายไปแล้วจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิมมากได้อย่างไรกัน
แต่เขาก็ได้รู้อย่างรวดเร็วว่าตนเข้าใจผิด
คำว่าเปลี่ยนที่หลิงซูพูดถึงไม่ใช่ความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ
“เมื่อก่อนเธอใสซื่อมาก มักจะมองออกไปยังโลกภายนอก มักบอกว่าอยากจะไปสำรวจดูให้ทั่วทุกที่ แต่ก็ไม่มีความกล้าพอจะทำให้มันเป็นจริง”
“…”
“ฉันจำได้ว่ามีครั้งหนึ่ง พวกเราไปเจอลูกนกตัวหนึ่งตกจากรังที่เขาด้านหลังโรงเรียน ตู้อวิ้นหนิงถือนกตัวนั้นเอาไว้แล้วก็บอกว่าจะรอให้แม่นกมาตามหามัน แล้วเธอก็รอจนฟ้ามืด
บางครั้งเวลาเดินผ่านขอทานหรือมีคนยากจนมาขอเงิน เธอจะต้องหาเศษเหรียญมาให้ขอทานเสมอ ต่อให้ฉันบอกว่าคนพวกนั้นเบื้องหลังต้องมีพวกหัวหน้าแก๊งขอทานหรือไม่ก็สมาคมชิงปังคอยควบคุมอยู่แน่ เธอก็บอกว่าคนพวกนี้อาจจะทำอะไรอิสระตามใจคิดไม่ได้ ถูกบังคับให้มาขอทาน แต่ยังไงเงินที่เราเอามาให้เขาก็คงจะเข้ากระเป๋าของพวกเขาบ้างสักนิดสักหน่อย หรืออาจจะเหลือพอให้พวกเขาเอาไปซื้อของกินของใช้เป็นค่าเล่าเรียนลูกก็ได้ แบบนั้นก็อาจจะได้ช่วยอีกชีวิตหนึ่งเลยนะ”
“…”
“เวลาเรียน เธอจะเขียนกลอนเพราะๆ และมักถูกอาจารย์วิชาวรรณคดีเอาไปอ่านออกเสียงหน้าชั้นเรียนเสมอ พวกเพื่อนในห้องต่างก็เอามาลอกแล้วส่งต่อกันใหญ่ ใครๆ ก็บอกว่าต่อไปเธอต้องเป็นผู้หญิงที่มีความสามารถแบบหลี่ว์ปี้เฉิง อย่างแน่นอน”
“…”
“แต่สิ่งเหล่านี้…” หลิงซูเงยหน้าขึ้น เขามองเยวี่ยติ้งถัง “ตอนที่ฉันได้พบกับตู้อวิ้นหนิงอีกครั้งหลังไม่ได้พบกันหลายปี ฉันกลับไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ในตัวเธอเลยแม้แต่ในเงา”
สำหรับหลิงซู ภาพจำที่ชัดที่สุดของตู้อวิ้นหนิงคือตอนที่หลิงเหยาไปสู่ขอเธอที่บ้าน พ่อแม่ของตู้อวิ้นหนิงนั่งอยู่บนโซฟา ท่าทีค่อนข้างดูแคลน พวกท่านบอกว่าสกุลตู้กำลังเตรียมจะจัดการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับสกุลหยวนแล้ว
ตอนนั้นตู้อวิ้นหนิงยืนหลบอยู่หลังเสาค้างที่ทำไว้สำหรับปลูกต้นองุ่นในสวนดอกไม้นอกบ้าน เธอน้ำตาคลอเบ้า มองหลิงซูด้วยแววตาอาวรณ์ เห็นภาพนั้นเข้าหลิงซูแทบจะหุนหันพลันแล่นด้วยความเลือดร้อนของคนหนุ่ม เขาถามเธอว่าอยากจะไปเรียนที่ต่างประเทศกับเขาหรือไม่ ตัดความสัมพันธ์กับที่บ้านแล้วทำแบบวัยรุ่นสมัยใหม่มากมายทำกัน หอบเอาอุดมการณ์ไปใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่
เขายังจำคำตอบของตู้อวิ้นหนิงได้จนถึงทุกวันนี้…
‘ไม่ได้ ฉันทำไม่ได้ หลิงซู นี่คือครอบครัวของฉัน พ่อแม่ของฉัน ฉันไม่มีหนทางจริงๆ’
“เพราะแบบนั้น ตอนนั้นเธอไม่มีความกล้าพอจะทิ้งครอบครัวไปกับฉัน หลังจากเธอได้เสพสุขกับความรุ่มรวยหรูหราของสกุลหยวนหลายต่อหลายปีแล้ว เธอย่อมไม่มีทางคิดจะคบหากับฉันแน่นอน”
พูดถึงตรงนี้ หลิงซูก็ขมวดคิ้ว
“แต่…ศพนี้ก็เป็นเธอจริงๆ เมื่อกี้ที่ฉันเดาว่าเธอแกล้งตายเพื่อจะหนีน่ะ ฉันคิดผิด”
เยวี่ยติ้งถังเอ่ย “นายจำได้หรือเปล่าว่ารายการทรัพย์สินที่เธอเคยให้นายดู ลายมือพวกนั้นเป็นยังไง พอจะเขียนเลียนแบบออกมาได้หรือเปล่า”
หลิงซูส่ายหน้า “แต่ถ้าได้เห็นอีกครั้งฉันน่าจะจำได้อยู่นะ”
“วันนั้นหลังจากที่นายให้ปากคำฉันก็ส่งคนไปถามมาแล้ว คนสกุลหยวนทุกคนไม่มีใครเห็นทรัพย์สินพวกนั้นของตู้อวิ้นหนิงเลยว่าอยู่ที่ไหน ตอนที่เธอยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่เคยติดต่อกับผู้จัดการธนาคารหรือโรงรับจำนำที่ไหนเลย วันที่เกิดเหตุ หลังจากเธอแยกกับนายที่ร้านกาแฟแล้วก็กลับมาที่คฤหาสน์สกุลหยวน จากนั้นก็อยู่ที่นั่นจนถึงตอนที่ถูกพบเป็นศพในห้องนั่นล่ะ”
“แล้วทรัพย์สินสกุลหยวนล่ะ น้อยลงหรือเปล่า”
เยวี่ยติ้งถังถอนหายใจ “ไม่รู้ ไปคำนวณไม่ได้หรอก หลายปีมานี้การตรวจนับทรัพย์สินสกุลหยวนวุ่นวายเละเทะมาก ไม่ตรงกับบัญชีที่อยู่ในมือพ่อบ้านอาวุโสเลยสักนิด พวกเขาเองก็บอกอย่างชัดเจนไม่ได้ว่าอะไรบ้างที่หยวนปิงเอาไปจำนองอย่างสุรุ่ยสุร่าย อะไรบ้างที่ถูกพวกคนรับใช้หยิบติดมือไป ในสถานการณ์แบบนี้ตู้อวิ้นหนิงมีฐานะเป็นเถ้าแก่เนี้ยของบ้าน ถ้าอยากจะทำอะไรกับทรัพย์สินเล็กๆ น้อยๆ ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย”
“คนคนนั้นอาจจะเป็นคนในสกุลหยวน หรืออาจจะเป็นคนที่ตู้อวิ้นหนิงไปรู้จักมาจากข้างนอกก็ได้”
“ไปถามคนสกุลหยวนดูก่อนเถอะ”
หลิงซูเอ่ย “สกุลหยวนปิดบ้านหรือยัง”
“คฤหาสน์สกุลหยวนมีตึกหน้ากับตึกหลัง ตึกหน้าซึ่งเป็นตึกหลักตอนนี้ติดป้ายปิด แต่ตึกหลังยังทิ้งเอาไว้ให้คนรับใช้สกุลหยวนพักอาศัย มีตำรวจเขตเช่าเฝ้าอยู่ พวกเขาจะออกไปจากบ้านหลังนั้นไม่ได้จนกว่าคดีจะได้รับการสืบสวนจนแน่ชัด”
บางทีการได้เห็นศพของตู้อวิ้นหนิงอาจจะกระทบกระเทือนจิตใจทั้งคู่อยู่บ้าง
ระหว่างทางไม่มีใครเอ่ยปาก จนกระทั่งรถมาจอดอยู่ด้านนอกของคฤหาสน์สกุลหยวน
ด้านนอกมีคนสะพายกล้องถ่ายรูปชะเง้อคอยืดยาวยืนกระจัดกระจายอยู่หลายคน ดูก็รู้ว่าเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์ เมื่อคนเหล่านั้นเห็นพวกเยวี่ยติ้งถังกำลังจะเดินเข้าไปข้างในก็รีบปรี่เข้ามาจะสัมภาษณ์
เยวี่ยติ้งถังโบกมือไม่พูดอะไร ตำรวจเขตเช่ามาช่วยแยกนักข่าวให้ออกห่างตัวพวกเขา ก่อนจะคุ้มกันเขาทั้งสองให้อ้อมไปที่ตึกเล็กด้านหลัง
สกุลหยวนใหญ่โตโอ่อ่าถึงขนาดสร้างอาคารสองชั้นขนาดเล็กหลังหนึ่งเอาไว้ให้คนรับใช้อยู่อาศัยโดยเฉพาะ นอกจากเรื่องห้องหับที่คับแคบไปสักหน่อย กับเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ไม่หรูหราเท่าตึกหลักแล้ว สิ่งอื่นๆ ก็ไม่ได้แตกต่างจากตึกหลักมากนัก
ตั้งแต่หยวนปิ่งเต้าเสียชีวิตไป หยวนปิงบริหารกิจการไม่เก่ง สกุลหยวนจึงไม่ยิ่งใหญ่เท่าแต่ก่อน ห้องที่มีอยู่เดิมก็ว่างลงไปหลายห้อง ตอนนี้ตึกเล็กเมื่อรวมพ่อบ้านแล้วก็มีคนรับใช้ทั้งหมดเพียงหกคนเท่านั้น อาหลันซึ่งเป็นคนรับใช้ใกล้ชิดของตู้อวิ้นหนิง นับว่าเป็นหนึ่งในคนรับใช้ที่พิเศษที่สุดในบรรดาทุกคน
“ผมจำคุณได้ มีครั้งหนึ่งที่อวิ้นหนิงนัดผมไปพบก็พาคุณไปด้วย เท่าที่รู้อวิ้นหนิงตัดการติดต่อกับที่บ้านตัวเองไปนานแล้ว คุณน่าจะเป็นคนที่อวิ้นหนิงไว้ใจมาก” เมื่อหลิงซูเห็นอาหลันก็พูดออกมาแบบนี้
อาหลันยิ้มเอียงอายจากนั้นก็ส่ายหน้า แล้วทำภาษามือ
พ่อบ้านเข้าใจภาษามือของเธอจึงคอยแปลอยู่ข้างๆ
“อาหลันบอกว่าเธอรับคำชมของคุณไม่ได้หรอกครับ”
หลิงซูเอ่ยต่อ “หนึ่งวันก่อนที่จะเกิดเรื่องคุณนาย หลังกลับมาจากร้านกาแฟแล้วเธอทำอะไร”
คำถามนี้ตำรวจจากสถานีตำรวจเขตเช่าคงจะถามไปแล้ว อาหลันแทบไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ พ่อบ้านเองก็ตอบได้อย่างรวดเร็ว
“เธอบอกว่าคุณนายดูอารมณ์ไม่ค่อยดี ข้าวเย็นก็กินไปไม่กี่คำ คุณนายบอกว่าเหนื่อย อยากพักผ่อน เธอไม่กล้าเข้าไปรบกวน ตอนกลางคืนเธอไปเคาะห้องครั้งหนึ่งเพื่อถามคุณนายว่าต้องการรับประทานของว่างสักหน่อยหรือเปล่า คุณนายก็ตอบว่าไม่เอา จนกระทั่งตอนเที่ยงของวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นเวลาตื่นนอนปกติของคุณนาย เธอจึงค่อยไปปลุกคุณนาย แล้วก็พบว่าเกิดเรื่อง”
หลิงซู “ตอนยังมีชีวิตอยู่เธอมีเพื่อนสนิทคนไหนบ้างหรือเปล่า”
พ่อบ้าน “คุณนายไปงานเลี้ยงอยู่บ่อยๆ แต่น้อยมากที่จะนัดใครออกไปตามลำพัง ผมเองก็ไม่เคยได้ยินว่าคุณนายมีเพื่อนสนิทอะไรนะครับ แต่พักหลังมานี้เธอพูดถึงคุณผู้ชายแซ่หลิงคนหนึ่งอยู่สองครั้งครับ”
หลิงซู “…”
เยวี่ยติ้งถัง “บอกว่าอะไร”
พ่อบ้าน “บอกว่าเธอไปเจอเพื่อนเก่าสมัยเรียน แล้วยังบอกอีกว่าคุณหลิงคนนี้ดูยังหล่อเหลามีเสน่ห์เหมือนสมัยก่อนเลย”
เยวี่ยติ้งถังเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เขาชี้หลิงซู “เขานี่แหละคือคุณหลิงคนนั้น”
สายตาที่พ่อบ้านใช้มองหลิงซูเปลี่ยนไปทันที ราวกับมีคำพูดอีกมากมายนับไม่ถ้วนที่เขาไม่ได้พูด
หลิงซู “…”
เขาจะอธิบายก็ใช่เรื่อง แต่จะไม่อธิบายก็ใช่ที่ ดังนั้นจึงทำเป็นไม่เห็นซะ
“ฉันอยากพาพ่อบ้านกับอาหลันไปดูที่เกิดเหตุสักหน่อย”
เยวี่ยติ้งถังพยักหน้า “หลังเกิดเรื่องพวกเขาก็ปิดตายสถานที่เกิดเหตุทันที แม้แต่รอยเท้าที่อยู่บนชานหน้าต่างก็ไม่ได้แตะต้อง”
แต่ไม่นานเขาก็พบว่าตนพลั้งปากพูดไปเสียแล้ว
เมื่อคืนเพิ่งมีหิมะตก ต่อให้ไม่มีลม รอยเท้าที่มีอยู่เดิมก็ถูกหิมะบางๆ ที่ยังไม่ละลายปกคลุมไปทั้งหมดแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น ลมยังพัดให้หน้าต่างที่ปิดเอาไว้เปิดออก จนเกล็ดหิมะพัดเข้าไปข้างใน แม้แต่ขาเตียงก็ยังมองเห็นได้ด้วยซ้ำ
สิ่งเหล่านี้ย่อมเกี่ยวพันกับการที่ตำรวจเขตเช่าละเลยการปฏิบัติหน้าที่ แต่ระยะหลังมานี้เรื่องแบบนี้กลายเป็นเรื่องธรรมดาเสียยิ่งกว่าธรรมดา ต่อให้เยวี่ยติ้งถังพูดไปก็ไม่มีประโยชน์
สายตาของผู้คนมีอยู่ทุกหนแห่ง
ห้องนอนเป็นสไตล์อย่างที่ตู้อวิ้นหนิงชอบ ทั่วทุกมุมห้องตกแต่งออกมาให้ดูอ่อนโยนงดงามหรูหรา
หยวนปิงคงจะไม่ชอบที่นี่ เพราะหลิงซูไม่พบของใช้ผู้ชายในห้องนี้แม้แต่ชิ้นเดียว ขนาดในตู้เสื้อผ้าก็ยังมีแต่เสื้อผ้าของตู้อวิ้นหนิงเท่านั้น
หรือก็หมายความว่าสามีภรรยาคู่นี้แยกห้องกันนอน
มิน่าเล่าตอนที่ตู้อวิ้นหนิงเกิดเรื่อง หยวนปิงถึงไม่รู้อะไรเลย
“ตอนที่คนร้ายเข้าออกทางหน้าต่าง พวกคุณไม่ได้ยินเสียงอะไรแม้แต่นิดเดียวเลยเหรอ”
ครั้งนี้หลิงซูถามพ่อบ้าน
พ่อบ้านยิ้มเจื่อน “ตอนนายท่านใหญ่ยังอยู่ ปกติเราก็มีคนเฝ้าสวนรอบคฤหาสน์นะครับ แต่ตอนหลังพอนายท่านมาคุมก็บอกว่าที่นี่เป็นเขตเช่า ปลอดภัยพอ ไม่ต้องใช้คนมากมายขนาดนั้นให้เปลืองข้าวเปลืองน้ำ ก็เลยเอาคนออกไปพอสมควร ก่อนเกิดเรื่องสกุลหยวนมีคนรับใช้ชายสามคนคอยผลัดเวรกันอยู่ตลอดคืน บางครั้งขาดคนผมก็จะคอยดูบ้าง คืนนั้นซานไฉท้องเสีย เหล่าเต๋อก็ลากลับบ้าน ผมอยู่เฝ้าแทนพวกเขาชั่วคราว แต่ผมก็อายุเยอะแล้ว ทำงานได้ไม่ดีพอ ตอนเที่ยงคืนผมสัปหงกไปพักหนึ่ง ตื่นมาฟ้าก็เกือบสว่างแล้ว พอเห็นว่าในบ้านไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรผมก็เลยไม่ได้ใส่ใจ ใครจะรู้ว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนั้นขึ้น”
เขาอายุเกือบเจ็ดสิบ ผมก็ขาวโพลนทั้งศีรษะ สวมชุดฉางเผา ยืนหลังโก่งเล็กน้อยเพราะยืนหลังตรงไม่ไหว คนสูงอายุแบบนี้ อย่าว่าแต่ฆ่าคนเลย แค่ทำหน้าต่างแตกเพื่อจะหนียังเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ
จากคำพูดของพ่อบ้านและคนรับใช้สาว ปกติแล้วตู้อวิ้นหนิงอย่างมากก็แค่ไปดื่มชาที่ร้านกาแฟแล้วก็ไปเดินเที่ยวตามห้างสรรพสินค้า ไปร่วมงานเลี้ยงซาลอน กับพวกคุณนายทั้งหลายเท่านั้น
หากจะพูดถึงเรื่องความแค้น มากสุดก็คงเป็นเวลามีปากเสียงกับพวกคุณนายทั้งหลาย อย่างไรเธอก็เป็นผู้หญิง เรื่องซุบซิบนินทาว่าร้ายกันมีมากมายถมถืด แต่จะให้ไปถึงขั้นฆ่าแกงกันนั้นก็คงเป็นไปไม่ได้
“ได้ยินตำรวจเขตเช่าที่มาถึงที่นี่เร็วที่สุดบอกว่า…” เยวี่ยติ้งถังเดินไปข้างเตียง เขายื่นมือไปดึงลิ้นชักเปิดออก “ตอนนั้นพวกเขาเห็นลิ้นชักนี้เปิดไว้อยู่ครึ่งหนึ่งนะ”
หลิงซูถามทันที “ของข้างในล่ะ”
เยวี่ยติ้งถังตอบว่า “ไม่มีอะไรหายไปเลย เงินต่างประเทศ เครื่องประดับ นาฬิกาข้อมือเรือนทอง อยู่ครบ”
“งั้นก็ตัดเรื่องฆ่าชิงทรัพย์ธรรมดาๆ ไปได้เลย”
เยวี่ยติ้งถังส่งเสียงอืม “ที่จริงคำถามที่นายถามพวกเขาเมื่อกี้ พวกเราถามกันไปแล้วก่อนหน้านี้”
เขาไม่ได้ห้ามหลิงซู นั่นเพราะเขาก็อยากจะดูเหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะพบอะไรใหม่ๆ หรือเปล่า
พ่อบ้านอาวุโสกับคนรับใช้สาวยืนเรียบร้อยอยู่หน้าประตู รอจนพวกเขาสองคนสำรวจห้องจนทั่วแล้วจึงค่อยเดินลงไปชั้นล่างพร้อมกับตำรวจเขตเช่า
หลิงซูนึกถึงเรื่องจดหมายสามฉบับของตู้อวิ้นหนิงขึ้นมาได้ เขาอยากจะถามอะไรบางอย่างแต่ก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวอย่างแรงจากด้านหลังพอดี
เขาหันกลับไปแล้วก็เห็นคนรับใช้สาวเหยียบวืดลงไปบนความว่างเปล่า ไถลลื่นจากบันไดชั้นบน อีกฝ่ายเซล้มลงไปทั้งตัว โชคดีที่ตำรวจมือไวตาไวคว้าตัวเธอไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นพ่อบ้านอาวุโสที่อยู่ข้างหน้าของเธอคงจะโชคร้ายไปด้วย
“อะไรกัน แค่ลงบันไดดีๆ ก็ทำไม่เป็นหรือไง!” ตำรวจตำหนิ
อาหลันท่าทางราวกับไม่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น เธอมีสีหน้าหวาดผวาแล้วหันกลับไปด้านหลังกะทันหันเหมือนเห็นอะไรบางอย่างที่น่ากลัว
หลิงซูมองตามทิศที่เธอมองไป แล้วก็พบว่าประตูห้องที่พวกเขาเพิ่งปิดสนิทไปเมื่อครู่นั้นเปิดออกอีกครั้งตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
ลมพัดผ่านผ้าม่านตรงหน้าต่างที่เปิดไว้ เกิดเป็นแสงเงาวูบวาบเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างตามการสะบัดของผ้าม่าน ลมหิมะพาเอาความหนาวเหน็บพัดจากห้องนั้นมาถึงบันได
ในความสลัวเลือนราง ตรงข้างเตียงคล้ายมีเงาหนึ่งยืนอยู่ แต่ก็คล้ายจะเป็นสิ่งที่คิดไปเอง เหมือนเป็นเงามายาที่สร้างขึ้นจากผ้าม่านสะบัดไหวขึ้นลง
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 01 ก.พ. 65