everY
ทดลองอ่าน คน • สื่อ • วิญญาณ บทที่ 1 #นิยายวาย
ตอนที่ 1
ครีษมายันปีที่ 15 – คุณย่ารองหลิว
เสียงไซเรนรถตำรวจและรถดับเพลิงดังก้องไปทั่วท้องถนน ไฟสีแดงบนหลังคารถสาดส่องไปมาภายใต้แสงอาทิตย์ยามอัสดงซึ่งเป็นสีแดงฉานราวเปลวเพลิงบนขอบฟ้า ฝูงชนรวมตัวกันอยู่ด้านนอกเทปกั้นเขตของตำรวจ บ้างก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอัดวิดีโอ บ้างก็ล้อมวงพูดคุยถกเถียงกัน บริเวณนั้นจึงเสียงดังเอะอะเหมือนตลาดสด
ด้านหน้าอพาร์ตเมนต์หกชั้นเก่าๆ แห่งหนึ่งถูกเก็บกวาดจนหมดจด ฝูงชนที่ยืนมุงดูอยู่ด้านนอกเทปกั้นเขตต่างพากันแหงนคอมองบริเวณระเบียงชั้นห้าของอพาร์ตเมนต์แห่งนี้
เด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนเงียบๆ อยู่ใกล้ๆ กลุ่มคนเหล่านั้นพลางจ้องมองไปยังระเบียงที่อยู่ไกลๆ บนราวระเบียงนั้นมีเด็กน้อยคนหนึ่งนั่งห้อยขา เขาแกว่งเท้าไปมา ดูเหมือนจะตกลงไปได้ทุกเมื่อ
ท้องฟ้าในวันก่อนพายุเข้าเป็นสีแดงฉานราวเปลวไฟ แสงอาทิตย์พาดผ่านตึกจนเกิดเป็นเงาเรียงรายเป็นชั้นๆ เด็กน้อยเอนตัวลงเล็กน้อย พานให้ฝูงชนส่งเสียงอุทานออกมา
“ฉันบอกแล้วว่าเด็กสกุลหลิวนั่นป่วย แม่เขาควรจะพาไปหาหมอ พวกเขายังเคืองหาว่าฉันยุ่งไม่เข้าเรื่อง ตอนนี้เด็กนั่นจะโดดตึกอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะสงสารเด็กฉันจะไปยุ่งกับพวกเขาทำไม ตอนนี้ฉันกลับบ้านไม่ได้ กับข้าวก็ยังไม่ได้ทำ ลูกสาวฉันเลิกงานกลับมาจะกินอะไรล่ะ”
หญิงวัยกลางคนอายุประมาณห้าสิบปีคนหนึ่งหิ้วถุงร้านสะดวกซื้อสองใบเอาไว้พลางบ่นด้วยความไม่พอใจ ด้านข้างมีผู้หญิงอายุอ่อนกว่ายืนอยู่อีกคน เธอยังสวมผ้ากันเปื้อนเอาไว้เหมือนวิ่งออกจากบ้านมาระหว่างกำลังทำกับข้าวเพื่อมาร่วมผสมโรงด้วย เธอกล่าวเสียงต่ำว่า
“ฉันได้ยินมาว่า…เด็กสกุลหลิวคนนั้นไม่ได้ป่วยหรอก แต่ถูกผีสิงต่างหาก”
“ฮ้า? ผีสิง?”
“เบาๆ หน่อยสิ”
หญิงที่สวมผ้ากันเปื้อนท้วงเพื่อนบ้านพลางโน้มตัวลงกระซิบเสียงเบา “พี่จางที่อยู่ตรงข้ามบ้านสกุลหลิวเล่าให้ฟัง เธอบอกว่ากลางดึกชอบมีคนเข้าออกบ้านสกุลหลิวอยู่บ่อยๆ ว่ากันว่าเป็นอาจารย์ที่มาดูเด็ก แต่สภาพของเด็กคนนั้นย่ำแย่ลงทุกวัน แถมหลายเดือนมานี้เขาก็ไม่ได้ไปโรงเรียนแล้วด้วย มีครั้งหนึ่งเธอได้ยิน…”
หญิงสาวกวาดตามองรอบๆ แล้วพูดเสียงเบาลงอีกว่า “เธอได้ยินอาจารย์ที่เคยมาที่นี่พูดกับลูกศิษย์อยู่ใต้ตึกว่านี่เป็นเวรกรรมของบรรพบุรุษสกุลหลิว เลยถูกกำหนดให้ไร้ลูกหลานสืบสกุล”
“ไม่หรอกมั้ง? น่าสงสารขนาดนั้นเชียว?” หญิงวัยกลางคนมีท่าทีตกใจ ในที่สุดเธอก็ทนกับน้ำหนักบนมือไม่ไหว ต้องวางถุงหนักๆ ลงบนพื้นก่อนเอ่ยเสียงต่ำว่า “ฉันว่าเสี่ยวหลิวคงไม่ตายตั้งแต่อายุยังน้อยเหมือนพ่อเขาหรอก พวกเขาสามรุ่นเหลือลูกชายแค่คนเดียวแล้วนะ ถ้ากระโดดลงมา…”
เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ พวกเธอขมวดคิ้วมุ่นมองไปทางเด็กที่อยู่บนระเบียง ก่อนจะก้มลงมองนาฬิกาบนข้อมือ
16:35
เด็กหนุ่มอายุราวสิบห้าสิบหกสวมชุดกีฬาสีดำสนิทพร้อมสะพายเป้สีเทาเข้มไว้บนหลัง ร่างกายเขาผอมบางจนดูอ่อนแอ มือซ้ายถือสมุดปกหนังสีดำเล่มหนึ่ง ส่วนมือขวาถือปากกาลูกลื่นสีดำ นิ้วก้อยของเขาเกี่ยวบัตรคำเอาไว้ขณะกำลังขีดเขียนลงบนสมุดและมองดูด้านหลังบัตรคำเหล่านั้นเป็นครั้งคราว
“รออีกเดี๋ยว” เด็กหนุ่มพูดเบาๆ คล้ายพึมพำกับตัวเอง จากนั้นเขาก็ท่องศัพท์อีกสองสามคำแล้วเปิดปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง “ถ้ารอไม่ไหวก็ถือเป็นโชคชะตาแล้วกันนะ”
เด็กหนุ่มยืนท่องศัพท์เงียบๆ อยู่กับที่ ขณะเดียวกันดวงอาทิตย์ก็คล้อยต่ำลงอย่างเชื่องช้า แสงไฟบนถนนสว่างขึ้น แสงไฟสีแดงบนหลังคารถตำรวจที่สาดส่องไปมาก็โดดเด่นสะดุดตายิ่งกว่าเดิม กลุ่มคนที่มุงดูอยู่ก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลยแม้แต่น้อย มีแต่เพิ่มจำนวนขึ้นเสียด้วยซ้ำ
“เอ๊ะ มีรถมาแล้ว”
“ปากซอยไม่ได้ถูกปิดไว้เหรอ”
“ต้องเป็นตำรวจอยู่แล้ว”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองไปยังรถโตโยต้าสีขาวเก่าๆ ที่เข้ามาจอดอยู่ด้านข้างรถพยาบาล จากนั้นก็มีผู้ชายอายุราวๆ สี่สิบปีเดินลงมาจากรถ เขารูปร่างไม่สูงมาก สวมเสื้อเชิ้ตลำลองสีเทาเข้มและกางเกงขายาวสีดำ เดินพลางหันไปทักทายนายตำรวจที่อยู่ด้านข้างด้วยใบหน้าอ่อนโยน
ชายคนนั้นเดินผ่านเข้าไปด้านหลังเทปกั้นเขตที่เจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบกั้นไว้แล้วยืนเงยหน้ามองเด็กน้อยที่อยู่บนระเบียงนิ่งๆ อยู่นานหลายนาที กระทั่งมีตำรวจนอกเครื่องแบบคนหนึ่งวิ่งออกมาจากอพาร์ตเมนต์ด้วยสีหน้าร้อนรน
“เหล่าเจียง ในที่สุดคุณก็มาสักที”
“ไม่ต้องรีบ ผมขอดูก่อน” ชายที่ถูกเรียกว่าเหล่าเจียงพูดช้าๆ ขณะดวงตายังคงจ้องมองที่เด็กคนนั้น
“คุณไม่รีบแต่ครอบครัวเขารีบนี่นา คุณขึ้นไปดูข้างบนไม่ได้เหรอ” ตำรวจนอกเครื่องแบบพูดพลางปาดเหงื่อ
“ผมกลัวว่าพอผมขึ้นไป เด็กคนนั้นจะกระโดดลงมาทันทีน่ะสิ” เหล่าเจียงยังคงพูดออกมาอย่างเชื่องช้า สีหน้าฉายแววจนปัญญาอยู่เล็กน้อย “เรื่องนี้จัดการยาก ชะตาถูกลิขิตเอาไว้แล้ว”
“พูดแบบนั้นได้ยังไงครับ?! ถึงจะยากก็ต้องจัดการให้ได้! เดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินหรอก” ตำรวจนอกเครื่องแบบคนนั้นรีบสะกิดเขา เพราะกลัวว่าพวกนักข่าวหรือกลุ่มคนทั้งหลายจะได้ยินเข้า
ในตอนนั้นเองเด็กหนุ่มก็ยัดบัตรคำที่เกี่ยวอยู่บนนิ้วเข้าไปในกระเป๋าแล้วเดินตรงไปยังบริเวณที่มีเทปกั้น ตำรวจคนหนึ่งขมวดคิ้ว พยายามหยุดเขาเอาไว้ “เจ้าหนุ่ม ห้ามเข้ามาใกล้ตรงนี้นะ รีบกลับบ้านไปดีกว่า”
เด็กหนุ่มชี้นิ้วไปที่เหล่าเจียง “ลุงตำรวจ ผมมาหาคุณลุงคนนั้น”
นายตำรวจหันกลับไปมองสักพักจึงเอ่ยปากถามเขา “นายรู้จักเจ้าหน้าที่เจียงด้วยเหรอ”
“ไม่รู้จักหรอกครับ แต่คุณช่วยไปบอกเขาหน่อยสิว่าผมมาช่วยเขา” ดวงตาของเด็กหนุ่มเป็นประกายใสกระจ่าง ดูแล้วน่าจะเป็นเด็กดี ท่าทางก็ไม่เหมือนกำลังล้อเล่น นายตำรวจคนนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็คิดถึงความสามารถพิเศษของเจ้าหน้าที่เจียงขึ้นมาได้ จึงเอ่ยปากพูดคล้ายจะตักเตือนเขาเล็กน้อย
“นายรออยู่นี่นะ เดี๋ยวฉันจะไปถามเขาก่อน แต่ถ้านายเล่นตลกล่ะก็ ฉันจะไปหาผู้ปกครองของนายแน่ๆ” แล้วนายตำรวจคนนั้นก็เรียกให้เพื่อนร่วมงานที่อยู่ข้างๆ มาคอยดูเด็กหนุ่มเอาไว้ จากนั้นเขาก็เดินไปทางเจ้าหน้าที่เจียงแล้วพูดสองสามประโยค
เจียงเฉิงฟางหันมองเด็กหนุ่มคนนั้นทันที เขายืนตัวตรงอยู่ใต้หลอดไฟบนถนน หน้าม้าที่ยาวลงมาเล็กน้อยไม่อาจปกปิดดวงตาสีดำเป็นประกายเจิดจ้าคู่นั้นได้ เมื่อสบตากันใบหน้างดงามก็ส่งยิ้มอ่อนโยนตามมารยาทให้นิ่งๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงเฉิงฟางได้เจอกับเด็กหนุ่มคนนี้ แต่เพียงแวบเดียวเขาก็มองเห็นความพิเศษของอีกฝ่ายแล้ว
เขาไม่เคยเห็นคนที่มีไอผีรุนแรงขนาดนี้แต่กลับไม่มีไอหยินบนร่างแม้แต่น้อยมาก่อนเลย
ไอหยินกับไอผีไม่เหมือนกัน ไอหยินส่งผลต่อชีวิตคนได้ แต่ไอผีไม่สามารถทำได้ ความจริงแล้วคนที่สามารถแยกแยะสองสิ่งนี้ได้อย่างชัดเจนมีเพียงไม่กี่คน เจียงเฉิงฟางเป็นหนึ่งในนั้นพอดี มีเพียงวิญญาณที่บำเพ็ญเพียรเท่านั้นจึงจะสามารถสร้างไอหยินและปลดปล่อยไอผีออกมาเพื่อปกป้องเจ้านายได้ การที่ไอผีบนร่างของเด็กหนุ่มรุนแรงถึงขนาดนั้น แสดงว่าวิญญาณที่ปกป้องเขาอยู่ไม่ได้มีแค่ดวงเดียวแน่นอน ทว่าเจียงเฉิงฟางกลับมองไม่เห็นเงาอื่นใดแม้แต่ร่างเดียว นี่จึงเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจไม่น้อยเลย
“ให้เขาเข้ามา” เจียงเฉิงฟางไม่ลังเลเลยสักนิด คนแบบนี้หายากมาก และยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่มีอายุน้อยขนาดนี้ด้วย ในเมื่อเอ่ยปากบอกว่าจะช่วยเขาได้ แสดงว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้ล้อเล่นแน่นอน
เด็กหนุ่มเดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาแล้วทักทายเจียงเฉิงฟางอย่างมีมารยาท “สวัสดีครับคุณลุง สกุลหลิวไหว้วานให้ผมมาช่วยครับ”
ตำรวจนอกเครื่องแบบที่ยืนอยู่ด้านข้างปาดเหงื่อพลางมองเด็กหนุ่มด้วยแววตาสงสัย “สกุลหลิว? สกุลหลิวไหนไปเชิญนายมาล่ะ นายจะช่วยได้แน่เหรอ”
เด็กหนุ่มเปิดสมุดบันทึกที่อยู่ในมือพลิกไปสองสามหน้า “ผมขอดูก่อนนะครับ คือ…คุณหลิวโหย่วชิ่งวานให้ผมมา”
เด็กหนุ่มหันไปตอบตำรวจนอกเครื่องแบบคนนั้นแล้วหันไปมองเจียงเฉิงฟางอีกครั้ง “ผมขึ้นไปข้างบนได้มั้ยครับ”
“นายแน่ใจเหรอว่าช่วยได้” เจียงเฉิงฟางยกยิ้มอย่างเป็นมิตร
เด็กหนุ่มส่ายหน้า “ไม่แน่ใจครับ แต่ในเมื่อมีคนไหว้วานมาแล้วผมก็คงต้องลอง หลักๆ แล้วก็ต้องดูก่อนว่าคนคนนั้นเต็มใจจะเจรจาหรือเปล่า”
“นายเจรจาได้ด้วยเหรอ” เจียงเฉิงฟางมองไปที่ดวงตาอันเป็นประกายของอีกฝ่าย
“ผมจะลองดูครับ” เด็กหนุ่มไม่ได้ยืนยันชัดเจน
“งั้นก็ไปเถอะ เดี๋ยวลุงจะพาขึ้นไปเอง” เจียงเฉิงฟางยกยิ้มแล้วพาเด็กหนุ่มเดินขึ้นไปบนตึก นายตำรวจนอกเครื่องแบบคนนั้นตกตะลึงไปทันใดก่อนจะรีบตามไปด้านหลัง
“เหล่าเจียง นี่ไม่ได้ล้อเล่นใช่มั้ย”
“คิดว่ายังจะมีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกหรือไง อย่างมากเด็กคนนั้นก็กระโดดลงไปเท่านั้นเอง” เจียงเฉิงฟางตอบกลับไปยิ้มๆ แล้วหันไปมองเด็กหนุ่มอีกครั้ง
“นี่เจ้าหนู บอกลุงหน่อยได้มั้ยว่านายชื่ออะไร”
เด็กหนุ่มเหลือบมองเจียงเฉิงฟางแวบหนึ่ง “ไว้ผมจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้วค่อยว่ากันอีกทีนะครับ”
“แบบนั้นก็ได้” เจียงเฉิงฟางเองก็ไม่ได้บังคับเขา เขาพาเด็กหนุ่มขึ้นไปถึงชั้นห้าซึ่งเวลานี้เต็มไปด้วยตำรวจ บุคลากรทางการแพทย์ และนักผจญเพลิง ด้านล่างเองก็มีเบาะลมนิรภัยปูเตรียมเอาไว้เพราะกลัวว่าเด็กคนนั้นจะพลัดตกลงไปได้
เด็กหนุ่มเดินตามเจียงเฉิงฟางไปถึงประตูห้องของครอบครัวนั้น ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออกกว้าง เขามองเข้าไปก็เห็นว่าด้านในมีคุณยายคนหนึ่ง ผู้หญิงสี่คน และเด็กผู้หญิงอีกสองคน
เจียงเฉิงฟางถามออกไปเสียงเบา “เจ้าหนู นายคิดว่าลุงควรเข้าไปมั้ย”
เฉินซื่อจวินตำรวจนอกเครื่องแบบคนเดิมไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเจียงเฉิงฟางถึงเชื่อใจเด็กหนุ่มแปลกหน้าคนนี้นัก แต่จากความสามารถพิเศษของเจียงเฉิงฟางในเรื่องนี้ เขาก็ไม่อยากถามให้มากความ เลยเดินเข้าประตูไปก่อนเป็นคนแรกแล้วเริ่มพูดคุยกับหญิงชราซึ่งอาวุโสที่สุดในบ้าน
“คุณยายครับ ครอบครัวของคุณยายมีคนชื่อหลิวโหย่วชิ่งมั้ยครับ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินซื่อจวิน คุณยายที่กำลังเช็ดน้ำตาพลันตกตะลึงขึ้นมาทันที เธอตอบกลับมาอย่างลังเล “…ปู่ทวดของสามีฉันชื่อหลิวโหย่วชิ่ง เป็นจวี่เหริน ในสมัยจักรพรรดิกวงซวี่”
เฉินซื่อจวินอึ้งไปทันที เขาหันกลับไปมองเด็กหนุ่มคนนั้นด้วยความสงสัย แต่เจียงเฉิงฟางกลับมีสีหน้าปกติ เขาเลยไม่กล้าถามอะไรให้มากความ
เด็กหนุ่มยืนอยู่ที่ประตูสักพัก มองไปยังแผ่นหลังของเด็กน้อยจากประตูห้อง เขาไม่ได้ตอบคำถามของเจียงเฉิงฟางและก้าวเท้าเดินเข้าไปเพียงหนึ่งก้าวเท่านั้น ทันใดนั้นเด็กน้อยที่อยู่ตรงระเบียงก็เหมือนจะรับรู้ได้ว่ามีคนพิเศษเดินเข้ามาแล้ว เขาหันกลับมามองที่หน้าประตูทันทีก่อนที่สีหน้าของเขาจะฉายแววดุร้ายจนไม่เหมือนเด็ก
ทุกคนต่างพากันตกใจกับสีหน้าของเด็กคนนั้น ภายในห้องเงียบกริบ เด็กหนุ่มหยิบสมุดบันทึกที่อยู่ในมือขึ้นมาอย่างไม่รีบร้อนแล้วเขียนตัวอักษรไม่กี่ตัวลงไปก่อนจะฉีกกระดาษหน้านั้นออกมา ลายเส้นเหล่านั้นดูเหมือนตัวอักษรซ้ำยังดูคล้ายส่วนประกอบของยันต์ด้วย เพียงเขาคลายนิ้วออกกระดาษแผ่นนั้นก็กลายเป็นเถ้าถ่านและมีแสงสว่างสีทองเปล่งประกายออกมาจากกองขี้เถ้า
“คุณรู้จุดประสงค์ในการมาของผมดี ผมเป็นตัวแทนหลิวโหย่วชิ่งมาเจรจากับคุณ หวังว่าคุณจะเห็นแก่หน้าผมบ้าง” เด็กหนุ่มพูดกับเด็กน้อยอายุประมาณหกเจ็ดขวบคนนั้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนไร้วี่แววคุกคาม
“เจรจางั้นหรือ สกุลหลิวทั้งหลอกข้า ดูถูกข้า ก่อนที่ศพข้าจะจมลงก้นบ่อน้ำ ทำไมไม่มาเจรจากับข้าล่ะ?!” สีหน้าของเด็กน้อยฉายแววดุร้าย น้ำเสียงที่ออกมาจากปากของเขาทั้งแหบแห้งและแหลมสูงเหมือนเสียงของผู้หญิง “เขาทิ้งให้ข้าเป็นศพอยู่ในที่รกร้างว่างเปล่าตั้งหลายสิบปี ตอนที่ข้าขอร้องให้เอาศพของข้าไปฝัง ทำไมเขาถึงไม่ยอมมาเจรจา ตอนที่เขาฆ่าสายเลือดสกุลวังที่เหลือ คิดว่าข้าซึ่งเป็นทายาทเพียงผู้เดียวไม่เคยขอเจรจากับเขาหรือ! ตอนนี้ข้าจึงอยากให้สกุลหลิวของเขาสิ้นไร้ทายาทลูกหลานไม่ตายดีเช่นกัน!”
เมื่อเด็กหนุ่มฟังเสียงตะโกนของเด็กน้อยจบก็ขมวดคิ้วมุ่น เขาเอียงศีรษะเล็กน้อยคล้ายกำลังฟังอะไรบางอย่างก่อนจะส่ายหน้าไปมา จากนั้นหลุบตาลงพูดเสียงเบา “คุณหลิว ผมคิดว่าคุณน่าจะยังคิดไม่ถี่ถ้วน ผมมาเพื่อเจรจา ถ้าคุณอยากจะปกป้องผู้ชายคนสุดท้ายของสกุลหลิว คุณก็ต้องเสนอเงื่อนไขมาให้ผมเจรจากับเธอ ที่ผมมาในครั้งนี้ก็เพื่อตอบแทนบุญคุณปู่ทวดของคุณ คุณคิดให้ดีๆ ก่อนเถอะเพราะคุณมีโอกาสแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น”
พอเด็กหนุ่มพูดจบเขาก็เริ่มเขียนตัวอักษรลงบนสมุดบันทึกอีกครั้ง จากนั้นก็เงยหน้ามองเด็กน้อยที่อยู่บนระเบียงแล้วปรับน้ำเสียงให้อบอุ่นอ่อนโยน “เด็กคนนี้อายุยังน้อย พลังของเขาคงหล่อเลี้ยงคุณได้ไม่นาน คุณลงมาก่อนเถอะครับ พวกเราค่อยๆ คุยกันดีกว่า ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ไม่เป็นไร พอผมไปก็คงไม่กลับมาอีกแล้วล่ะ หลังจากนั้นคุณก็สามารถกลับมาที่นี่ได้ทุกเมื่อ เพราะงั้นเห็นแก่หน้าผมเถอะนะ แล้ววันหน้าผมจะจำเอาไว้”
ภายในห้องเงียบกริบไร้ซึ่งสรรพเสียงใด เมื่อผู้หญิงทั้งหกคนของสกุลหลิวมองสีหน้าท่าทางของเด็กคนนั้นและได้ยินสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดคล้ายพึมพำกับตัวเอง พวกเธอก็ตกใจจนแทบยืนไม่อยู่ ตำรวจที่อยู่นอกห้องเองก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ แต่ก็ไม่ได้เข้ามาในห้องเพราะเจียงเฉิงฟางเอาแต่ยืนอยู่หน้าประตูไม่หลีกไปไหน ส่วนเด็กหนุ่มคนนั้นยืนอยู่กับที่อย่างใจเย็นด้วยท่าทางสงบนิ่งไม่สมกับอายุ ทั้งยังพูดออกไปอย่างสุภาพ
ความอาฆาตมาดร้ายบนใบหน้าของเด็กคนนั้นลดลงเล็กน้อย เขาลังเลอยู่สักพักก่อนจะเปิดปากพูดออกมา “วันหน้า? ข้ายังจะมีวันหน้าอะไรอีก”
“นี่เป็นจุดประสงค์ที่ผมมาไงครับ ผมมาที่นี่ก็เพื่อรับประกันว่าคุณจะมีวันหน้า” เด็กหนุ่มแย้มยิ้มให้เด็กน้อย จากนั้นเขาก็ก้าวเท้าไปด้านหน้าอีกสองก้าวโดยไม่เกรงกลัว “ถ้าคุณไม่ต้องการ หรือสกุลหลิวของเขาทำไม่ได้ สกุลวังของคุณก็ยังมีทายาท แล้วผมจะจดบัญชีครั้งนี้เอาไว้ให้พวกเขา”
เด็กน้อยตะลึงงัน ทันใดนั้นเขาก็ร้องลั่นขึ้นมา “เป็นไปไม่ได้! ทายาทคนสุดท้ายของสกุลวังถูกหลิวโหย่วชิ่งฆ่าตายไปแล้วนี่นา!”
“คุณก็รู้อยู่แล้วว่าผมไม่มีทางโกหกแน่ ทายาทที่คุณคิดว่าถูกหลิวโหย่วชิ่งฆ่าตายก็คือลูกชายเพียงคนเดียวของน้องชายคุณสินะ แต่จริงๆ แล้วสาวใช้คนสนิทของน้องชายคุณได้คลอดลูกให้เขาคนหนึ่ง ตอนที่สกุลวังพ่ายแพ้และพาพวกคนรับใช้ทั้งหมดไป สาวใช้คนนั้นก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังตั้งท้องอยู่ หลังจากเธอรู้ว่าน้องชายของคุณตายแล้ว ด้วยความที่เธอจงรักภักดีกับสกุลวังและเห็นว่าสกุลวังไม่มีลูกหลานสืบสกุลอีกแล้ว เธอเลยให้ลูกที่คลอดออกมาใช้แซ่วังของเขา แถมยังตั้งป้ายวิญญาณและจุดธูปบูชาให้บรรพบุรุษสกุลวังกับน้องชายของคุณด้วย เพราะฉะนั้นสกุลวังของคุณถึงได้มีทายาทสืบสกุลต่อไป” เด็กหนุ่มพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอบอุ่น เขาก้าวเข้าไปอีกสองสามก้าวจนไปหยุดยืนอยู่ด้านหน้าซึ่งห่างจากเด็กคนนั้นเพียงสองก้าวเท่านั้น
ภายในห้องเงียบสนิทจนได้ยินเสียงลมหายใจของทุกคน เด็กหนุ่มเหน็บปากกาบนปกหนังของสมุดบันทึกแล้วยื่นมือไปหาเด็กน้อยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “คุณลงมาก่อนเถอะ พักผ่อนสักพักแล้วพวกเราค่อยคุยกัน ถึงผมจะได้รับการไหว้วานจากหลิวโหย่วชิ่ง แต่เครดิตตลอดหนึ่งพันสามร้อยปีของเผ่าผมก็ไม่ใช่ของปลอม ผมรับประกันในฐานะคนกลางเลยว่าคุณไม่มีทางเสียเปรียบเด็ดขาด ตกลงมั้ย”
สีหน้าของเด็กน้อยผ่อนคลายลง ดวงตาของเขากวาดมองเข้าไปในห้อง ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “เจ้า…ยังดูอายุน้อยอยู่เลย หากข้าลงไปแล้วพวกมันจะยอมให้เจ้าเจรจาต่ออย่างนั้นหรือ”
เด็กหนุ่มหันกลับไปมองทางประตู เจียงเฉิงฟางที่ยืนอยู่ด้านนอกประตูมาโดยตลอดก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม “ผมรับผิดชอบเอง ผมรับประกันเลยว่าจะปล่อยให้พวกคุณเจรจากันให้จบ เพราะงั้นคุณปล่อยให้เด็กลงมาก่อนเถอะ ขอแค่ไม่ทำร้ายเด็กที่นี่วันนี้ ไม่ว่าอะไรก็คุยกันได้ทั้งนั้น”
เด็กหนุ่มเหลือบมองเจียงเฉิงฟางแวบหนึ่งด้วยสีหน้าลึกล้ำ จากนั้นเขาก็หันไปทางเด็กน้อยอีกครั้ง “คุณลุงตำรวจรับประกันแล้ว คุณให้เด็กลงมาเถอะครับ แล้วเรามาคุยกันดีๆ”
เมื่อเด็กน้อยได้ยินเจียงเฉิงฟางเน้นเสียงคำว่า ‘วันนี้’ และ ‘ที่นี่’ ก็ดูจะคล้อยตามคำพูดของเด็กหนุ่มอยู่บ้าง ขอเพียงเธอไม่ทำร้ายเด็กสกุลหลิวที่นี่วันนี้ ถ้าตกลงกันไม่ได้เหมือนที่เด็กหนุ่มคนนั้นบอก รอให้เขากลับไปแล้ว วันหลังเธอก็สามารถกลับมาได้ทุกเมื่อ
“…เช่นนั้นวันนี้ ข้าจะ…เห็นแก่หน้าเจ้า” เด็กน้อยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงคลุมเครือแล้วยื่นมือไปหาเด็กหนุ่ม
เด็กหนุ่มจับมือเล็กๆ ข้างนั้นเอาไว้แล้วขยับเขาไปอุ้มเด็กน้อยลงมาจากระเบียง ญาติของเด็กชายและพวกตำรวจคล้ายจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้แต่ก็ไม่กล้าพูดออกไป เจียงเฉิงฟางโบกมือไม่ให้พวกตำรวจขยับ แล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ไม่ต้องกังวลนะ ใจเย็นๆ ไปนั่งพักบนโซฟาก่อนเถอะ”
เด็กน้อยนั่งบนราวระเบียงอยู่หลายชั่วโมงจึงดูอ่อนล้าเล็กน้อย เด็กหนุ่มออกแรงอุ้มเขาไปนั่งบนโซฟาแล้วหันไปหาหญิงสาวที่ดูเหมือนจะเป็นแม่ของเด็กชายมากที่สุด
“ขอน้ำให้เขากินสักแก้วได้มั้ยครับ”
“ได้ๆ ฉันจะไปรินน้ำเอง” พอแม่ของเด็กน้อยที่นั่งอยู่บนพื้นได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่มก็รีบลุกขึ้นทันที แต่แข้งขาของเธอกลับอ่อนแรงจนเด็กหญิงอายุประมาณเจ็ดแปดปีที่อยู่ข้างๆ ต้องประคองไม่ให้เธอล้มลงไป จากนั้นเด็กสาวอายุประมาณสิบสามสิบสี่ปีอีกคนหนึ่งก็ตอบสนองอย่างมีไหวพริบโดยการเข้าไปรินน้ำมายื่นส่งให้คนที่ดูอายุมากกว่าเธอเล็กน้อยอย่างระมัดระวัง
เด็กหนุ่มหันไปยิ้มให้เธอแล้วรับน้ำมาป้อนให้เด็กน้อย เขาดื่มมันเข้าไปช้าๆ ไม่กี่อึกจนชุ่มคอแล้วจึงพูดออกมา “หิวแล้ว”
เด็กสาวรีบวิ่งเข้าไปหยิบซาลาเปาที่อยู่ในหม้อไฟฟ้าออกมาใส่จานก่อนจะยื่นให้เด็กหนุ่มทั้งหมด “นี่ คุณคะ คุณกินสักหน่อยมั้ย”
“ขอบใจ” เด็กหนุ่มกล่าวขอบคุณแล้วนำจานไปวางบนตักของเด็กน้อย เด็กชายหยิบซาลาเปาพวกนั้นขึ้นมากินหนึ่งลูก จากนั้นเขาก็หยิบซาลาเปาไปกินอีกลูก แล้วใช้มือซ้ายขยี้ตาพลางเงยหน้ามองเด็กหนุ่ม “ว่ามาสิ เจ้าจะเจรจาอย่างไร”
“พวกเราเปลี่ยนคนกันก่อนดีมั้ย” เด็กหนุ่มกล่าวยิ้มๆ “เด็กคนนี้ร่างกายอ่อนแอ ถ้าทำแบบนี้ต่อไปทุกคนคงไม่มีกะจิตกะใจจะเจรจากันดีๆ หรอก ที่นี่ยังมีสายเลือดสกุลหลิวอยู่อีกตั้งห้าคน คุณเปลี่ยนเป็นคนอื่นไม่ดีกว่าเหรอครับ”
“สตรีสมควรเป็นเหยื่ออย่างนั้นรึ” เด็กน้อยช้อนสายตาขึ้นมองเขาอย่างดุร้าย
เด็กหนุ่มยังคงพูดออกมาโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี “เด็กคนนี้ก็ไม่ควรเป็นเหยื่อเหมือนกัน ตอนนี้ถ้าเขาโตได้สักสิบขวบ ผมก็คงไม่เอ่ยปากขอให้คุณเปลี่ยนคนหรอก”
“ฉันเอง! ฉันแทนเขาเอง!” แม่ของเด็กน้อยตะเกียกตะกายลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปใกล้เด็กน้อยอีกสองสามก้าว “ฉันเป็นแม่ของเขา ให้เป็นฉันแทนเขาเถอะ!”
เด็กน้อยมองสบดวงตาแดงก่ำเพราะการร้องไห้ของหญิงสาวคนนั้น ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้าไม่ใช่คนแซ่หลิว”
“แต่ฉันเป็นแม่ของเขา!” คนเป็นแม่ร้องไห้โฮออกมา “ได้โปรดปล่อยเขาไปเถอะ”
หญิงวัยกลางคนอีกสามคนที่อยู่ด้านข้างต่างมองสบตากันด้วยความสับสน จากนั้นผู้หญิงที่มีอายุน้อยที่สุดในสามคนนั้นก็เดินออกมาด้านหน้าหนึ่งก้าวพร้อมพูดเสียงเบา “ฉันแซ่หลิว เป็นป้าของเด็กคนนั้น ได้โปรด…ปล่อยเขาไปเถอะ”
“น้องเล็ก…” หญิงวัยกลางคนที่มีอายุมากที่สุดรั้งเธอเอาไว้ เธอยังรู้สึกกลัวอยู่เล็กน้อยแต่กลับเปิดปากพูดออกมาว่า “ฉัน เป็นฉันเถอะ น้องเล็กของฉันยังไม่ได้แต่งงาน…แต่ลูกๆ ฉันโตหมดแล้ว…”
“พี่ถอยไปเถอะ ฉันยังไม่ได้แต่งงาน ไม่มีภาระ!” คุณป้าที่อายุน้อยที่สุดดันพี่สาวของตัวเองออกไปแล้วหันไปพูดกับเด็กหนุ่ม “คุณคะ…เป็นฉันได้มั้ยคะ ฉันเองก็แซ่หลิว ไม่ว่าจะทำอะไรก็ให้ฉันทำเถอะ”
“พวกเธออย่าทะเลาะกันเลย พวกเราสามคนพี่น้องล้วนเป็นคนแซ่หลิวทั้งหมด ไม่ว่าใครก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่หยุดทำร้ายหลานชายของฉันสักที!” คุณป้าคนที่สองในแถวดูเป็นคนมุทะลุ ถึงเธอจะกลัวแต่ก็พยายามอย่างหนักที่จะพูดออกมาจนจบ
เด็กหนุ่มมองอายุของคุณป้าทั้งสามคนแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าเล็กน้อยเพื่อเป็นการขอโทษ จากนั้นเขาก็เบนสายตาไปทางเด็กสาวที่เป็นคนรินน้ำแล้วพูดออกมาเบาๆ “เธอเป็นพี่สาวของเขาใช่มั้ย”
เด็กสาวตกตะลึงไป แต่ก่อนที่แม่ของเธอจะทันได้ร้องห้ามเสียงแหลม เธอก็พุ่งออกไปด้านหน้าแล้วคว้าชายเสื้อของเด็กหนุ่มเอาไว้ “ฉันเป็นพี่สาวของเขาเอง! ฉันก็ได้ค่ะ! ให้ฉันแทนที่น้องชายเถอะ!”
เด็กหนุ่มตบเบาๆ ที่มือเธอเป็นการปลอบโยน แต่ก็ไม่ได้บอกว่าจะให้เธอแทนที่น้องชาย เขาเพียงแค่หันกลับไปมองเด็กน้อยเท่านั้น “ว่ายังไงครับ คนสกุลหลิวไม่ได้เลวไปซะทุกคนหรอกครับ พวกผู้หญิงกับเด็กต่างก็เป็นผู้บริสุทธิ์ คุณน่าจะเป็นคนที่รู้ดีที่สุดไม่ใช่เหรอ”
“เจ้าวางแผนเอาไว้แล้วนี่ แล้วถ้าข้าจะใช้ร่างของเด็กผู้หญิงคนนี้จริงๆ ล่ะ” เด็กน้อยถลึงตามองเขา
“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่คุณครับ เธอมีร่างกายแข็งแรงและอายุน้อยกว่าพวกคุณป้า พักผ่อนสักพักก็สามารถฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติได้แล้ว” เด็กหนุ่มตอบกลับไปยิ้มๆ
เด็กน้อยก้มหน้าลงโดยไม่ได้ตอบอะไร แต่ก็ไม่ได้บอกว่าจะเปลี่ยนคนหรือไม่ บรรดาญาติทั้งหลายต่างก็มองไปทางเด็กหนุ่มด้วยความร้อนใจ ขณะนั้นเองคุณยายก็พูดออกมาเสียงสั่นๆ ว่า “คุณผู้หญิงคะ ฉันไม่รู้ว่าบรรพบุรุษสกุลหลิวทำเรื่องไม่ดีอะไรกับคุณเอาไว้บ้าง หากคุณต้องการอะไร ถ้าฉันมีฉันก็จะให้ทั้งหมด ขอแค่คุณปล่อยหลานชายหลานสาวของฉันไปก็พอ ฉันแต่งเข้าสกุลหลิวก็นับเป็นคนสกุลหลิว ถ้าท่านคิดว่าชีวิตของยายแก่อย่างฉันคุ้มค่าที่จะชดใช้ให้คุณได้ ถึงคุณจะเอามันไปก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
เด็กหนุ่มมองเด็กน้อยที่ก้มหน้าลงต่ำโดยไม่พูดอะไร แล้วจู่ๆ เขาก็หันไปทางเจียงเฉิงฟาง “คุณลุง คุณมีคนกระดาษมั้ยครับ”
เจียงเฉิงฟางอึ้งไปก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากแล้วบอกเขาว่ามีอยู่หนึ่งตัว
“นายรู้ได้ยังไงว่าลุงมีคนกระดาษด้วย” แม้เจียงเฉิงฟางจะแสดงสีหน้าไม่ค่อยเต็มใจ แต่เขาก็ยังยอมหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋า จากนั้นก็หยิบคนกระดาษที่มีขนาดห้าเซนติเมตรออกมา
“ทุกคนต่างบอกว่าคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลสือไม่มีทางที่จะไม่มีคนกระดาษ” เด็กหนุ่มรับคนกระดาษนั้นไปด้วยรอยยิ้มแล้วหันไปหาเด็กน้อย “ถ้าใช้เจ้านี่ก็พอถูไถไปได้ คุณเองก็ไม่ได้อยากทำร้ายผู้หญิงพวกนั้นเหมือนกันใช่มั้ยครับ”
เด็กน้อยช้อนตาขึ้นมองคนกระดาษในมือของเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าฉายแววไม่ชอบใจอยู่เล็กน้อย เด็กหนุ่มหยิบปากกาขึ้นมาเขียนตัวอักษรคล้ายยันต์ลงไปบนคนกระดาษ จากนั้นเด็กน้อยก็มีสีหน้าผ่อนคลายลงก่อนจะกวาดตามองไปยังพวกผู้หญิงสกุลหลิวแล้วพูดออกมาช้าๆ “เห็นแก่หน้าเจ้า ข้าจะไว้ชีวิตเด็กคนนี้ก่อนแล้วกัน”
พอพูดจบเด็กชายก็หลับตาลงเอนพิงไปกับโซฟาทันที เจียงเฉิงฟางก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าวแล้วลูบหน้าผากของเขาไปมา ก่อนจะอุ้มเด็กน้อยส่งให้กับผู้เป็นแม่ที่กำลังร้อนใจอยู่ด้านหลัง
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทที่ 2 ได้ในวันที่ 1 มี.ค. 64