everY
ทดลองอ่าน มือปราบ (วิญญาณ) คนนี้ชื่อคิมมูรยอง เล่ม 1 Chapter 2-1 ถึง 2-3 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน มือปราบ (วิญญาณ) คนนี้ชื่อคิมมูรยอง เล่ม 1
ผู้เขียน : Todayspring (오늘봄)
แปลโดย : มิลค์พลัส
ผลงานเรื่อง : 무령의 혼 (SOUL OF MURYEONG)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Chapter 2-1
วิญญาณที่หลงทาง
มูรยองเห็นฮวานยองครั้งแรกในวันพิธีปฐมนิเทศนักเรียนมัธยมปลาย อากาศนับว่าอบอุ่นมากสำหรับเดือนมีนาคม ท้องฟ้าแจ่มใสไม่มีเมฆสักก้อน เขายังจำได้ดีทั้งความรู้สึกแปลกๆ ตอนใส่ชุดนักเรียนมัธยมปลายซึ่งเพิ่งเคยลองใส่เป็นครั้งแรก ความรู้สึกไม่คุ้นชินตอนใส่รองเท้าที่เพิ่งซื้อมาใหม่ และความรู้สึกที่ว่ากำแพงโรงเรียนที่ก่อด้วยอิฐนั้นดูเหมือนจะสูงเป็นพิเศษ
มูรยองนอนตื่นสายในวันดีๆ แบบนั้นและวิ่งไปโรงเรียนพลางนึกเคืองซึงจูที่ออกไปโรงเรียนก่อน ปัญหาก็คือเมื่อคืนเขานอนหลับๆ ตื่นๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความตื่นเต้นหรือเปล่า และด้วยข้อตกลงที่ว่าตอนนี้เขาโตเป็นเด็กมัธยมปลายแล้วจึงต้องหัดตื่นนอนเองให้ได้ คนที่บ้านเลยไม่ปลุกเขา จนกระทั่งเสียงนาฬิกาปลุกรอบสุดท้ายของสุดท้ายเงียบสนิทไป
โชคดีที่โรงเรียนอยู่ห่างไปแค่สิบนาที แม้หากวิ่งสุดฝีเท้าก็อาจจะยังยากเกินกำลังคนปกติ แต่กับมูรยองที่มีประสาทในการควบคุมการเคลื่อนไหวเป็นเลิศแล้ว จึงเป็นเรื่องที่ง่ายดายมากเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
มูรยองมาถึงโรงเรียนทันแบบเฉียดฉิว เขาดูเวลาและตัดสินใจวิ่งลัดสนามด้านหลังตึกแทนที่จะเข้าทางประตูใหญ่เพื่อจะได้ไปถึงห้องเรียนได้เร็วขึ้นอีกนิด ดังนั้นเขาจึงลอบสำรวจซ้ายขวาก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนกำแพง
และแล้วเขาก็ได้เจอกับคีฮวานยอง
ไม่สิ…ถ้าจะพูดให้ถูกต้องบอกว่า ‘ค้นพบ’
‘…’
ฮวานยองยืนแหงนหน้ามองท้องฟ้าอย่างเหม่อลอยอยู่ด้านหลังตึก เขาใส่ชุดนักเรียนแบบเดียวกับมูรยอง ต่างกันตรงที่รูปร่างของเขานั้นสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาชนิดที่ต้องเหลียวมองอีกครั้งตอนเดินผ่าน และเหนือสิ่งอื่นใดคือบรรยากาศที่โอบล้อมรอบตัวเขา มันเงียบสงบมากจนไม่อาจหาคำนิยามได้
นี่เป็นครั้งแรกที่มูรยองเห็นใครคนหนึ่งที่ให้ความรู้สึกเหมือนวิญญาณขนาดนั้น ไม่ใช่เพียงเพราะเขายืนแบบนิ่งๆ และไม่แม้แต่จะกะพริบตา แต่เป็นเพราะเขาไม่อาจสัมผัสได้ถึงความมีชีวิตจากในดวงตาที่ควรจะสะท้อนภาพท้องฟ้าสีครามนั้นเลยต่างหาก
มูรยองที่เกิดมาพร้อมกับเนตรสัมผัสวิญญาณมักสับสนระหว่างคนเป็นกับวิญญาณอยู่บ่อยๆ เป็นเพราะในช่วงที่เขายังไม่สามารถแยกแยะพลังวิญญาณกับพลังหยินได้นั้น เขามักประเมินว่าอีกฝ่ายคือคนเป็นหรือคนตายโดยอาศัยการมองเพียงสภาพที่ปรากฏภายนอกเท่านั้น แต่แน่นอนว่าเมื่อแยกแยะได้แม่นยำระดับหนึ่งแล้วเขาก็ไม่เคยพลาดอีก
‘คน…?’
แต่กับมูรยองที่มีความสามารถขนาดนั้นแล้ว ฮวานยองก็ยังดูไม่เหมือนคนเป็นอยู่ดี สันจมูกโด่งกับริมฝีปากแดงนั้นดูปกติดีมากก็จริง ทว่าสีผิวที่ขาวซีดกลับทำให้อีกฝ่ายยิ่งดูเหมือนอย่างอื่น และเนื่องจากระยะห่างจากตรงนี้ที่ทำให้มูรยองสัมผัสถึงพลังวิญญาณได้เพียงจางๆ ทำให้เขามองเห็นจิตวิญญาณของอีกฝ่ายไม่ชัดเจนเอาเสียเลย
‘…’
ลองถามดีไหมนะว่าทำอะไรอยู่
ความคิดกับการลงมือทำจริงไม่ต้องอาศัยขั้นตอนอะไรมากนัก หากยืมคำของซึงจูมาใช้ การที่คนอย่างมูรยองซึ่งเป็น ‘คนประเภทที่สามารถสนิทได้แม้แต่โจรที่บุกเข้าบ้าน’ จะชวนคนอื่นพูดคุยก่อนจึงไม่ใช่เรื่องยาก
ก็แค่ลองถามว่าทำอะไรอยู่ ถ้าเป็นเด็กมัธยมปลายปีหนึ่งเหมือนกันก็แค่ชวนมาเป็นเพื่อนซะก็สิ้นเรื่อง
เขากระโดดลงจากกำแพงด้วยความคิดง่ายๆ สบายๆ แบบนั้น
‘…โอ้’
ตรงเงาของต้นไม้ที่ทอดยาวมีปีศาจไต่ยุบยับออกมา หากจะเรียกให้ถูกต้องกว่านั้น คงต้องบอกว่ามันคือชีพักรยองหรือก็คือผีที่เกิดจากดวงวิญญาณหลายดวงมารวมตัวกัน ปกติแล้วมันจะไม่โผล่มาให้เห็นตอนกลางวัน และน้อยครั้งที่จะมาวุ่นวายกับมนุษย์ทั่วไป ตัวประหลาดนั้นอ้าปากกว้างพร้อมกับพุ่งเข้าจู่โจมฮวานยองอย่างแม่นยำ
‘ไม่นะ…!’
แน่นอนว่ามูรยองตื่นตระหนกจนกระโดดลงพื้นผิดท่า เขาตกใจจนข้อเท้าขวาพลิก แต่ก็มัวแต่ตกใจจนไม่ทันรู้สึกเจ็บเลยสักนิด
จังหวะที่คิดจะยื่นมือเข้าไปจัดการด้วยจิตใจที่ร้อนรน เรื่องเหลือเชื่อก็เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเขา วิญญาณที่แตะต้องฮวานยองกระเด็นออกไปคล้ายพุ่งชนเข้ากับฉากกั้นบางๆ
มันยังไม่ทันได้แตะต้องโดนจิตวิญญาณของเขาเลยด้วยซ้ำ ทั้งยังไม่สามารถสร้างรอยขีดข่วนใดๆ ต่อพลังวิญญาณที่วูบไหวอยู่รอบตัวเขาด้วย มันแค่ชนเข้ากับอะไรบางอย่างแรงๆ เหมือนกับชนกำแพงแล้วก็หนีหายกลับเข้าไปในเงา
นั่นคือสิ่งที่เรียกกันว่า ‘ม่านพลัง’ อย่างนั้นสินะ?
มันเป็นฝีมือของพลังจิตบางๆ ที่ห่อหุ้มรอบกายของเขา ฮวานยองไม่แม้แต่จะขยับมือ แต่พลังงานที่โอบล้อมเขาอยู่กลับผลักชีพักรยองตนนั้นให้กระเด็นออกไปอย่างง่ายดาย
‘…’
ตั้งแต่เกิดมามูรยองที่มักได้รับคำเยินยอว่าเก่งนักหนามาตลอดเพิ่งเคยสัมผัสกับความรู้สึกนั้นเป็นครั้งแรก ทั้งพลังที่ต่างออกไปคนละชั้น พลังคุกคามในระดับที่ทำให้เขาแข้งขาอ่อนแรง ไหนจะการควบคุมพลังจิตอันซับซ้อนที่หากไม่ใช่มือปราบวิญญาณที่มีทักษะชำนาญพอก็จะไม่มีทางทำได้
‘ถ้าเป็นไปได้ อย่าไปข้องเกี่ยวกับพวกมือปราบวิญญาณด้วยกันเองเลยจะดีกว่า’
เสี้ยววินาทีหนึ่งคำพูดของพ่อก็ผุดขึ้นมาในหัว มูรยองค่อยๆ ขยับถอยหลังโดยพยายามส่งเสียงให้น้อยที่สุด เขาคิดจะหันหลังกลับและหลบไปยังที่ลับสายตา
ถ้าหากว่าฮวานยองไม่เงยหน้าขึ้นและมองมาทางนี้เสียก่อน มูรยองก็คงหนีออกจากตรงนั้นไปได้แล้ว
‘…’
‘…’
สายตาของทั้งคู่สบประสานกัน มูรยองยืนอยู่กับที่โดยก้าวขาขยับไปไหนไม่ออกราวกับถูกตะปูตอกตรึงเอาไว้ ดวงตาสีดำสนิทจับจ้องมาที่เขาและหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้นโดยไม่ขยับไหวเลยแม้แต่น้อย
หากว่ากันตามตรงภาพลักษณ์ภายนอกของอีกฝ่ายไม่ได้ดูน่ากลัวเลยแม้แต่น้อย เขาเป็นคนที่หล่อมากแบบที่หาเจอไม่ได้ง่ายๆ ทั้งยังหล่อแบบสมวัยอีกต่างหาก บรรยากาศที่ดูยังไม่เป็นผู้ใหญ่อย่างบอกไม่ถูกนั้นไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายดู ‘น่ากลัว’ เลยสักนิด
แต่ถึงอย่างนั้นมูรยองก็รู้สึกกลัวจนแทบหายใจไม่ออก เขารู้สึกเหมือนว่าดวงตาสองข้างที่เต็มไปด้วยความมืดมิดอันลุ่มลึกกำลังจะกลืนกินเขา สำหรับมูรยองที่มีประสาทสัมผัสทั้งห้าคล้ายกับสัตว์ป่า การรับรู้โดยลางสังหรณ์แทบไม่ต่างจากการรับรู้โดยสัญชาตญาณ
แต่ผ่านไปไม่นานนักฮวานยองก็ละสายตาไปเหมือนไม่ได้นึกสนใจอะไร ดวงตาสองข้างที่กะพริบอยู่หันมองไปทางอื่นที่ไม่ใช่มูรยอง
ท่าทีเวลาขยับสายตาของคนเราดูเรียบนิ่งได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย
ช่วงเวลาที่เหมือนกับเทปที่หย่อนยานยังคงติดอยู่ในความทรงจำของเขา
ผ่านไปสองสามวันหลังจากนั้นมูรยองถึงได้รู้ว่าชื่อของเขาคนนั้นคือ ‘คีฮวานยอง’* ถึงจะเป็นชื่อที่เหมาะกับเจ้าตัวมาก แต่ขณะเดียวกันก็เป็นชื่อที่ทำให้มูรยองยิ่งรู้สึกแปลกประหลาดมากขึ้นไปอีก เพราะฮวานยองที่เขาเห็นในวันนั้นราวกับคนที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง ช่วงเวลาในตอนนั้นราวกับตนเองกำลังมองเห็นภาพลวงตาอยู่ไม่มีผิด
อย่างไรก็ตามหลังจากวันนั้นมูรยองก็พยายามเผชิญหน้าฮวานยองให้น้อยที่สุด นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนกับนักเรียนทั้งโรงเรียนถึงไม่เคยพูดคุยทักทายกับฮวานยองเลยสักครั้ง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วฮวานยองเองก็เหมือนไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับใครเช่นกัน ไม่ใช่เพียงแค่กับมูรยองคนเดียว
ไม่นึกเลยว่าจะได้นัดเจอกับคีฮวานยองคนนั้นในบรรยากาศแปลกๆ แบบนี้
แกรก…แกรก…
มูรยองนั่งลงที่โต๊ะด้านหลังของฮวานยอง ฮวานยองเองก็หันตัวกลับมาเพื่อพูดคุยกับคนที่เพิ่งนั่งลง ผ่านมาสิบนาทีแล้วกับสถานการณ์อันน่าอึดอัดเช่นนี้ ฮวานยองเล่าเรื่องกังวลใจที่เขามี ขณะเดียวกันมูรยองเองก็มัวแต่จดจ่ออยู่กับการลอบสังเกตปฏิกิริยาของอีกฝ่ายไปด้วย
“พอดีช่วงนี้ฉันรู้สึกหนักที่ไหล่น่ะ”
เรื่องราวที่เริ่มต้นขึ้นแบบนั้นดำเนินมาจนถึงคำบอกเล่าที่ว่าช่วงนี้เจ้าตัวสุขภาพไม่ค่อยดี มูรยองพยายามตั้งใจฟังเต็มที่เพราะใบหน้าที่ขาวจนเข้าขั้นซีดนั้นดูน่าเป็นห่วงไม่ใช่น้อย ถ้ามีตัวอะไรใหญ่ๆ เกาะอยู่บนหลังแบบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะหนักไหล่
“แล้วช่วงนี้ฉันก็นอนไม่ค่อยหลับ…”
แกรก…แกรก…
“พอนอนหลับไปแล้วตื่นมาก็ไม่ได้รู้สึกสดชื่นขึ้นเลย”
แกรก…แกรก…
“พักหลังมานี้อาการก็ยิ่งเป็นหนักขึ้นอีก”
เสียงที่ดังแทรกเข้ามาในหูเขาตลอดเวลาที่ฮวานยองพูดนั้นชัดเจนมากจนน่าขนลุก
แกรก…แกรก…แกรก…
ทั้งที่เสียงนั้นชวนให้เขารู้สึกอยากจะแคะหูจนแทบบ้า แต่ฮวานยองกลับไม่ได้แสดงท่าทีมีพิรุธเลยแม้แต่น้อย อีกฝ่ายดูปกติดีตอนโดนเส้นผมสัมผัสมือหรือแม้แต่ตอนที่มีเลือดหยดลงไปบนแขนเสื้อ
เมื่อเห็นดังนั้นแล้วมูรยองเลยตั้งสมมติฐานขึ้นมาข้อหนึ่ง แม้จะรู้ว่ามันฟังไม่ค่อยขึ้นนักก็ตามที ฮวานยองที่มีพลังวิญญาณแข็งแกร่งจนเขาตกใจ แท้จริงแล้ว ‘อาจไม่มีเนตรสัมผัสวิญญาณ’ ก็ได้
พอตั้งสมมติฐานแบบนั้นเรื่องราวทั้งหมดก็ดูเข้าใจได้ขึ้นมาทันตาอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งเหตุผลที่ฮวานยองต้องมาขอให้เขาช่วย และเหตุผลที่ผีบนหลังเฝ้าเกาะติดและกระหายจิตวิญญาณของฮวานยองจนเลือดไหลหยดออกจากมือ
หมอนี่ไม่ใช่มือปราบวิญญาณหรอก…
ใช่ว่าทุกคนที่มีพลังวิญญาณจะสามารถเป็นมือปราบวิญญาณได้ หากเนตรสัมผัสวิญญาณไม่ถูกเปิดก็อาจไม่รู้แม้แต่เรื่องที่ตัวเองมีพลังวิญญาณด้วยซ้ำ ตอนนี้มีเรื่องที่เขายังคาใจอีกมากมาย แต่ก่อนอื่นก็คงต้องตอบคนตรงหน้าก่อน
“…นี่คือทั้งหมดที่นายกังวลอยู่ใช่ไหม”
มูรยองสบตาฮวานยองนิ่งโดยที่ในหัวกำลังคิดหนักว่าควรทำอย่างไรดี
จริงอยู่ที่คนส่วนใหญ่รู้กันว่าโลกนี้มีผี ดูจากการที่หนังสยองขวัญหรือเรื่องลี้ลับเป็นที่นิยมกันมากในหมู่ผู้คนในช่วงหน้าร้อน ความสนใจเกี่ยวกับการมีอยู่ของภูตผีวิญญาณคงไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร
แต่การเชื่อว่า ‘ผีมีอยู่จริง’ กับการรับรู้ว่า ‘ฉันมีผีเกาะอยู่บนหลัง’ นั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง เนื่องจากจุดเริ่มต้นของความกลัวทั้งหลายมาจากการรับรู้ เขาเลยจำต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ไปก่อน มูรยองในฐานะมือปราบวิญญาณที่ต้องคอยปกป้องทั้งวิญญาณและคนจึงไม่อาจพูดว่ามองเห็นสิ่งที่เห็นอยู่ตอนนี้ได้
“ฉันรับช่วยทุกเรื่องก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะรับบทเป็นหมอได้ด้วยนะ”
แกรก…แกรก…
เสียงครูดเล็บในหูเขาดังแปลกไป ตอนนี้เจ้าผีนั่นกำลังหมกมุ่นอยู่กับหยดเลือดที่ไหลลงมาตรงปลายนิ้ว ดูท่าแล้วหากเขาลงมือจัดการตอนนี้มันก็น่าจะหนีไปไม่ทัน สุดท้ายมูรยองจึงลอบกลืนน้ำลาย ก่อนจะค่อยๆ ยื่นมือไปที่ไหล่ของฮวานยอง
“ก่อนอื่นฉันขอลองนวดไหล่…”
…แกรก
หมับ!
ข้อมือพลันถูกจับเอาไว้ ไม่ใช่ข้อมือของผี แต่เป็นข้อมือของเขาที่ยื่นออกไปหาฮวานยอง พลังวิญญาณที่เขาคุ้นเคยแผ่ซ่านลงสู่ผิว เจ้าผีนั่นเงยหน้าของมันขึ้นพลางจ้องมองมูรยองท่ามกลางความเงียบงันที่เข้าปกคลุม
“…”
“…”
ซวยแล้ว
เขาคิดแบบนั้น และในพริบตานั้นเอง ‘มัน’ ก็หายวับไปในเงามืดที่ทอดยาว มูรยองผุดลุกขึ้นแต่ก็ไม่เหลืออะไรให้เขามองเห็นอีกแล้ว
“เอ่อ คือว่า…”
โธ่เว้ย ปล่อยไปแบบนี้ไม่ได้แล้วสิ
“นายช่วยปล่อยนี่ก่อนได้ไหม…”
มูรยองที่ยังคงขมวดคิ้วมุ่นฝืนยกมุมปากขึ้น มือใหญ่ขนาดที่กุมรอบข้อมือเขาแล้วยังเหลือของอีกฝ่ายบังคับให้เขาขยับไปไหนไม่ได้ อุณหภูมิของร่างกายที่คว้าจับไว้แน่นค่อยๆ ถอยห่างออกไปต่างจากตอนที่จู่โจมเข้ามา
“…อะไรของนาย ทำไมจู่ๆ ถึงได้…”
น้ำเสียงกระด้างกระเดื่องนั้นแฝงความระแวงไว้เต็มที่ มูรยองยู่หน้าด้วยความรู้สึกไม่สบายใจที่พลุ่งพล่านขึ้นมาพลางซ่อนข้อมือที่มีรอยมือของฮวานยองทิ้งเอาไว้ อีกใจหนึ่งก็รู้สึกเสียดายอยู่หน่อยๆ เช่นกันตอนที่อีกฝ่ายปล่อยมือออก
“เอ่อ โทษที…พอดีฉันคงมือไวไปหน่อยน่ะ”
มูรยองที่พยายามจะยิ้มเหลือบตามองเงาที่ทอดยาวอยู่บนพื้น แต่มันหนีไปได้เสียแล้ว ตอนนี้เขาไม่รู้สึกถึงพลังหยินนั้นอีกต่อไป ถ้ามันหายไปได้ตลอดกาลเลยก็คงจะดี แต่ถึงอย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงมากว่ามันจะกลับมาหาฮวานยองใหม่
“คือว่า…เรื่องนั้นฉัน…”
“คนที่แตะตัวฉันมักจะเจ็บตัว”
“…”
มันเป็นคำพูดที่ฮวานยองโพล่งออกมาโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว ‘ฉันจะรับงานนี้และจะหาทางแก้ให้ แต่ก่อนอื่นช่วยอธิบายแบบลงรายละเอียดเพิ่มหน่อย’ สิ่งที่เขากำลังจะเอ่ยถามพลันถูกกลืนกลับลงไปในคอ ขณะที่ฮวานยองเล่าต่อด้วยเสียงเนือยๆ ไร้โทนสูงต่ำของตนเอง
“อุบัติเหตุเล็กบ้างใหญ่บ้างเกิดกับคนที่จับแขนฉันหรือคนที่ฉันไปจับ หรือแม้แต่คนที่บังเอิญเดินชนตามทางก็เช่นกัน ตอนแรกฉันนึกว่าคิดไปเอง แต่พอมันเป็นแบบนั้นมาตลอด ฉันเลยรู้ว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติ”
“…”
“เพื่อนนายก็บาดเจ็บเพราะฉัน”
ประโยคสุดท้ายนั้นเขาพูดมันออกมาได้อย่างมั่นใจโดยไม่อายปาก แม้ฮวานยองจะทำหน้าตาเฉยเมย แต่มูรยองก็อ่านความรู้สึกอื่นภายในใจเขาออก มูรยองที่ชะงักมือไปแวบหนึ่งเปิดปากพูดอย่างระมัดระวัง
“…แล้วนายล่ะ”
ดวงตาสีดำทอดมองมูรยอง ในดวงตาสองข้างที่กะพริบตาช้าๆ นั้นมีเงาของใบหน้าสะอาดใสสะท้อนอยู่เต็มเปี่ยม มูรยองมุ่นคิ้วพลางถามเครียดๆ
“นายโอเคใช่ไหม”
มันเป็นคำถามที่แฝงไปด้วยความระมัดระวัง แม้สีหน้าจะดูจริงจัง ทว่าเสียงพูดนั้นกลับชวนให้จั๊กจี้เหมือนขนนก ฮวานยองขมวดคิ้วมองดวงตาที่กลมโตจนมองไม่เห็นชั้นตาแล้วก็ถามกลับ
“…ว่าไงนะ”
“ฉันถามว่านายไม่ได้บาดเจ็บอะไรตรงไหนใช่หรือเปล่า”
มูรยองพูดพลางลอบมองสำรวจฮวานยองทั้งใบหน้า ลำคอ และไหล่ รวมถึงหลังมือที่วางอยู่บนโต๊ะ เท่านั้นไม่พอเขายังเอนตัวไปด้านหลังเพื่อมองใต้โต๊ะอีกด้วย ฮวานยองจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ
“ฉันไม่ได้บาดเจ็บ”
“…งั้นเหรอ”
ในคำพูดที่ตอบกลับไปอย่างเชื่องช้านั้นมีความตะขิดตะขวงใจเจือปนอยู่เล็กน้อย มูรยองฝืนปรับสีหน้าให้ผ่อนคลายก่อนโน้มตัวกลับไปด้านหน้า ความประหม่าของเขายังไม่คลายลงเลยตั้งแต่เข้ามาในห้องเรียนห้องนี้
“ไหล่นายหนักขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่”
“…”
ฮวานยองไม่ตอบและปิดปากนิ่งด้วยสีหน้าฉงน เมื่อเห็นความไม่เชื่อใจปรากฏในแววตานั้น มูรยองก็เกาแก้มอย่างประหม่า หางตาตกฉายแววลำบากใจ
“…ทำไมมองกันแบบนั้นล่ะ”
“ถามว่าทำไมงั้นเหรอ”
ฮวานยองย้อนกลับมาเหมือนกับจะถามว่า ‘พูดบ้าอะไรของนาย’ ริมฝีปากของเขาบิดผิดรูปไปเล็กน้อย
“ฉันบอกว่าเพื่อนนายได้รับบาดเจ็บเพราะฉัน แต่นายยังนิ่งเฉยอยู่ได้เนี่ยนะ”
น้ำเสียงที่เคยราบเรียบนั้นฟังดูมีอารมณ์ราวกับเจ้าตัวกำลังฉุนเฉียว มูรยองขมวดคิ้วนิดๆ ให้กับโทนเสียงที่ดูเหมือนจะไม่เห็นด้วยนั้น
“ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ”
มูรยองพูดพร้อมคว้ามือของฮวานยองที่วางอยู่บนโต๊ะมาจับไว้อย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ทันทีที่อุณหภูมิร่างกายของเขาสัมผัสโดนอีกฝ่าย นิ้วของฮวานยองก็พลันกระตุกเกร็ง เจ้าตัวตั้งท่าจะรีบดึงมือออก แต่มูรยองกลับไม่ยอมปล่อยและยังใช้ทั้งสองมือกุมมือของเขาเอาไว้แน่นแทน
“ดูสิ ฉันก็แตะตัวนายอยู่นี่ไง ฉันยังไม่เห็นจะบาดเจ็บอะไรเลย”
“…”
เขารู้สึกได้ถึงอุณหภูมิร่างกายของฮวานยองจากฝ่ามือ พร้อมกันนั้นยังสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณอันใสบริสุทธิ์และความรู้สึกที่สดชื่น ฮวานยองขยับริมฝีปากเหมือนจะพูดอะไร ทว่ามูรยองกลับไวกว่า
“ถ้าฉันจับมือนายแบบนี้แล้วเกิดเจ็บตัวขึ้นมาระหว่างกลับบ้าน มันก็ไม่ได้เป็นเพราะนาย”
“…”
“เพราะงั้นนายก็อย่าพูดแบบนั้นอีกล่ะ”
ไม่มีอารมณ์อื่นใดในน้ำเสียงหนักแน่นนั้น น้ำเสียงที่เขาใช้พูดก็ไม่ได้ดูเป็นกังวล แถมยังไม่ใช่ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่ฮวานยองก็ยังเปิดปากพูดทั้งที่ยังคงขมวดคิ้วอยู่
“ฉันไม่ได้พูดเพราะหวังจะได้รับคำปลอบใจจากนายสักหน่อย”
ฮวานยองพูดแบบนั้นพลางดึงมือออกราวกับรำคาญ ไม่สิ…คงต้องบอกว่าเขาพยายามจะดึงมือออกต่างหาก
“ฉันเองก็ไม่ได้พูดเพื่อปลอบใจนายเหมือนกัน”
ดวงตาใสไร้ความรู้สึกแอบแฝงจับจ้องอยู่ที่ฮวานยองอย่างแน่วแน่ ระหว่างที่ปากพูดแบบนั้นสองตาก็เลื่อนไปสบตากับอีกฝ่ายหมายจะบอกว่านี่คือเรื่องจริง แต่เมื่อไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ กลับมา เขาก็กุมมือใหญ่ๆ นั้นเอาไว้พลางใช้นิ้วสอดประสานกัน
“ใครที่ไหนจะทำร้ายคนอื่นได้ด้วยเรื่องแค่นี้กัน”
“…รู้แล้วน่า ปล่อยมือแล้วมาคุยกันดีๆ สักที”
หนนี้ฮวานยองสะบัดมูรยองออกอย่างไม่ลังเล มันเป็นการต่อต้านที่รุนแรงจนได้ยินเสียงดังปึ้ก! แต่มูรยองก็ยอมปล่อยฮวานยองโดยไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองอะไร กลับเป็นฝ่ายฮวานยองต่างหากที่ลอบชำเลืองสำรวจมือของมูรยองข้างที่โดนสะบัดออก
“ไม่เป็นไรหรอกน่า แค่เสียงดังเฉยๆ ไม่ได้เจ็บอะไรหรอก”
“…แล้วใครเขาได้ถามอะไรหรือยังล่ะ”
ฮวานยองส่ายหัวเบาๆ
“อย่าแตะตัวฉัน”
เขาพูดแบบนั้นพลางหรี่ตาลงเหมือนรำคาญใจสุดๆ มูรยองยักไหล่และซ่อนมือที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณเอาไว้ใต้โต๊ะ
“เขาว่ากันว่าคำพูดมันมีพลังนะ”
น้ำเสียงแบบเด็กๆ จมหายไปในห้องเรียนอันเงียบเชียบ ฮวานยองสบสายตากับมูรยองด้วยดวงตาที่ดูไม่สบอารมณ์
“ต่อให้จะไม่ใช่คำที่นายพูดออกมาเพราะความรู้สึกผิด แต่ถ้านายพูดแบบนั้นบ่อยๆ เข้า สักวันนายก็จะคิดว่า ‘มันเป็นความผิดของฉัน’ ขึ้นมาจริงๆ”
“…”
“ที่ซึงจูบาดเจ็บทำไมถึงได้เป็นเพราะนายกันล่ะ ถ้านายคิดแบบนั้น ความผิดฉันที่เมื่อวานดันกลับบ้านไปก่อนก็คงต้องผิดหนักกว่านายแล้วสิ”
คิ้วของฮวานยองเลิกสูงขึ้น สีหน้าก็ดูเหมือนจะเห็นด้วยหน่อยๆ มูรยองเลยเผลอหลุดยิ้มน้อยๆ อย่างลืมตัว ถึงจะเป็นใบหน้าที่ดูเฉยเมย แต่ดูเหมือนในบางครั้งบางคราวมูรยองก็พอจะอ่านออกอยู่บ้างว่าฮวานยองคิดอะไรอยู่
“จะว่ายังไงดีล่ะ…ถ้าฉันกลับด้วย บางทีซึงจูอาจจะไม่บาดเจ็บจริงๆ ก็ได้”
ไหล่ของมูรยองพลันห่อเหี่ยวลงอย่างไม่ได้ตั้งใจ เพราะทันทีที่ได้ยินข่าวอุบัติเหตุทางถนนของซึงจู มูรยองก็คิดวนเวียนเกี่ยวกับมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ถ้ากลับบ้านด้วยกัน…เรื่องมันก็คงจะต่างออกไป
“แต่ถ้าฉันคิดแบบนั้นจริงๆ คิดไปทั้งชาติก็ไม่มีวันจบสิ้นหรอก”
“…”
มูรยองตั้งใจพูดเสียงหนักแน่น เขาค่อยๆ เอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำทีละคำเพื่อถ่ายทอดสิ่งที่ต้องการจะสื่อให้ชัดเจน
“พูดง่ายๆ ก็คือถ้าซอซึงจูไม่ไปตรงถนนสายนั้น อุบัติเหตุก็จะไม่เกิด ถ้าไม่สะพายกระเป๋าใบนั้นก็จะไม่มีปัญหาอะไร ถ้าสัปดาห์นี้ไม่ได้เป็นเวรทำความสะอาดก็จะไม่พาตัวเองไปชนกับรถเข้า”
“…”
“ถ้าว่ากันตามที่นายพูด เรื่องที่ฉันพูดมาเมื่อกี้ก็เป็นสาเหตุได้ทั้งหมดนั่นแหละ…”
“…”
“เพราะงั้นเรื่องนี้คือความผิดของนายอย่างที่นายคิดจริงๆ น่ะเหรอ”
ยิ่งมูรยองพูดสีหน้าของฮวานยองก็ยิ่งดูแปลกไปเรื่อยๆ ดูเหมือนเขาจะถูกโน้มน้าวด้วยอะไรบางอย่าง หรือไม่ก็อาจจะกำลังตะลึงงัน มูรยองเลื่อนสายตามองต่ำลงพลางเกาแก้มตัวเองแก้เก้อ
“เวลามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นคนเรามักเอาแต่หาคนถูกคนผิด แต่ไม่ว่าสาเหตุจะเป็นเพราะอะไร สิ่งที่สำคัญจริงๆ คือการแก้ไขปัญหาต่างหากล่ะ”
แต่ก็นั่นแหละ การจะแก้ไขให้ได้ก็ต้องรู้สาเหตุเสียก่อน…
“นายเองก็เล่าให้ฉันฟังเพื่อให้ฉันช่วยหาสาเหตุไม่ใช่หรือไง”
ประกายวิบวับปรากฏขึ้นในดวงตาใส มูรยองที่เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งสบตากับฮวานยองพลางยิ้มอย่างสดใสจนลักยิ้มน่ารักบุ๋มลึกลงไปกลางแก้มขาวๆ นั้น
“งั้นให้ฉันไปค้างบ้านนายคืนหนึ่งสิ”
ระหว่างทางกลับบ้านมูรยองทักไปหาซึงจูเพราะเพิ่งมีข้อความส่งเข้ามาว่าอีกฝ่ายซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่แล้ว พอมูรยองส่งข้อความไปว่า ‘วันนี้ฉันไม่กลับบ้านนะ’ ซึงจูก็ตอบกลับมาว่า ‘งานจิตอาสานี่เป็นงานในฝันของนายสินะ?’
แน่นอนว่ามูรยองไม่ตอบข้อความนั้นและเก็บโทรศัพท์เสีย ถึงจะตอบไปว่า ‘เปล่าสักหน่อย’ ก็ไม่มีทางได้เห็นข้อความอะไรดีๆ ตอบกลับมา หรือต่อให้เขาตอบกลับว่า ‘ใช่’ ก็คงจะมีแต่ปฏิกิริยาที่รุนแรงกว่าเดิมกลับมา ดังนั้นเขาก็แค่ต้องปล่อยผ่านไปแบบเนียนๆ ก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยยอมทนฟังคำบ่นนิดๆ หน่อยๆ
ทำไงได้ล่ะ ก็มันไม่มีทางอื่นแล้วนี่นา
มูรยองชำเลืองมองฮวานยองและเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้นอีกนิด เพราะความสูงที่ต่างกันมาก ถ้าฮวานยองก้าวไปสองก้าว มูรยองก็จะต้องสาวเท้าก้าวประมาณสามก้าวเพื่อให้ความเร็วทันกัน
ขายาวนี่ดีจังแฮะ
พร้อมกับความคิดเรื่อยเปื่อยนั้น ความสงสัยอีกอย่างก็ผุดขึ้นมา
ไม่นึกว่าจะพามาง่ายๆ แบบนี้เลยแฮะ
ความจริงตอนบอกฮวานยองว่าจะขอไปนอนค้างคืนหนึ่ง มูรยองก็กำลังคิดหาข้ออ้างมากมายในหัว ตั้งแต่เหตุผลพื้นๆ อย่าง ‘ต้องไปสังเกตการณ์ก่อนถึงจะรู้สถานการณ์’ ไปจนถึงข้ออ้างที่ดูไร้สาระอย่าง ‘มันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่จะต้องไปนอนค้างบ้านคนที่ว่าจ้างหนึ่งคืน’
‘…เอาสิ’
ทว่าฮวานยองกลับพยักหน้าโดยไม่ถามอะไรเลยสักนิด แม้สายตาของเขายังคงเต็มไปด้วยความฉงนสงสัย แต่ก็ดูไม่ได้คิดจะถามอะไรเพิ่มเติม เขาทำเพียงหยิบกระเป๋าที่แขวนอยู่ตรงโต๊ะและเป็นฝ่ายลุกขึ้นจากที่นั่งก่อนก็เท่านั้นเอง
‘ไปกันเถอะ บ้านฉันค่อนข้างไกลจากที่นี่’
และก็เป็นอย่างที่เขาบอก การมาบ้านของฮวานยองกินเวลามากกว่าสองชั่วโมง และปัญหาก็อยู่ตรงที่เขากลับบ้านด้วยการ ‘เดินเท้า’ เท่านั้น ไม่มีการขึ้นรถบัสหรือรถไฟใต้ดินใดๆ มูรยองไม่ใช่คนอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงอะไร แต่สิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดตอนนี้ก็คือความกระอักกระอ่วนทำตัวไม่ถูกนี่แหละ
“…”
“…”
ตั้งแต่ตอนออกจากโรงเรียนมาจนถึงตอนนี้ ฮวานยองปิดปากเงียบและมองเพียงแค่ทางข้างหน้า ท่าทางที่เหมือนกำลังคิดอะไรอย่างจดจ่อนั้นทำให้แม้แต่มูรยองที่มีความสามารถในการผูกมิตรดีเป็นเลิศก็ยังไม่กล้าชวนคุย บทสนทนาเดียวระหว่างพวกเขามีแค่ตอนที่มูรยองขอให้อีกฝ่ายรอสักครู่ตอนที่เห็นดอกเบญจมาศวางอยู่ตรงทางแยกเท่านั้น
“เอ่อ…ไม่ต้องบอกพ่อแม่ก่อนเหรอ”
มูรยองแสร้งถามฮวานยองไปอย่างนั้นเพื่อให้บรรยากาศน่าอึดอัดผ่อนคลายลง เสียงของเขาไม่ได้ดังอะไรมาก แต่ฮวานยองก็หันกลับมามองในทันที ดูท่าคงจะตกใจเล็กน้อยหลังจากจมอยู่ในห้วงความคิดอยู่นาน
“…พ่อแม่ฉันไม่ได้อยู่ที่บ้าน”
คงเป็นเพราะอารมณ์ที่เปลี่ยนไป ฝีเท้าของฮวานยองเลยช้าลง มูรยองที่ในตอนนี้สามารถก้าวเท้าทั้งสองด้วยจังหวะเดียวกับฮวานยองได้พลันหันไปมองด้วยสีหน้าแปลกใจ
“นายอยู่คนเดียวเหรอ”
“อืม พวกท่านเสียไปแล้ว”
“…”
ความอึดอัดทวีขึ้นเป็นเท่าตัว เหตุผลที่มูรยองไม่รีบขอโทษออกไปทันทีเป็นเพราะฮวานยองมีสีหน้าว่างเปล่าเกินไป
ดันเลือกเรื่องมาคุยผิดเอาซะได้
มูรยองใช้ฟันหน้ากัดริมฝีปากล่างพลางนึกตำหนิความเซ่อของตัวเอง
“ใกล้แล้วล่ะ แค่เลี้ยวตรงกำแพงนั้นก็ถึงแล้ว”
ถนนที่คดเคี้ยวมุ่งตรงสู่สถานที่ที่ดูเปลี่ยวขึ้นทุกทีๆ เขาสัมผัสได้ตั้งแต่ตอนเหยียบย่างเข้ามาในซอยแล้วว่ามันเป็นละแวกบ้านที่มีความพิลึกชอบกลสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นอากาศเย็นชวนขนลุก หรือแผ่นยันต์ที่แปะอยู่เป็นระยะตามกำแพงหินและต้นไม้สองข้างทางซึ่งสร้างภูมิทัศน์ที่แปลกตาจนรู้สึกเสียวสันหลัง
ยันต์พวกนี้ดูไม่ค่อยมีพลังเลยแฮะ…
มูรยองดูออกในทันทีว่ายันต์ทั้งหมดนั้นเป็นของคนทรงเจ้ามือใหม่ เพราะแม้จะเก่าและขาดแค่ไหน แต่เขาก็สัมผัสถึงพลังวิญญาณจากพวกมันไม่ได้เลยสักนิด แถมการแปะยันต์โดยไม่คำนึงถึงทิศทางนั้นก็ดูเหมือนคนแปะจะไม่ได้เชี่ยวชาญในด้านนี้เลยจริงๆ
ของแบบนี้อย่าว่าแต่ปีศาจเลย ต่อให้เป็นแค่ผีทั่วไปก็กันไม่ได้หรอก
บางทีพลังวิญญาณของฮวานยองอาจเป็นประเภทที่อยู่นอกเหนือจากที่มือปราบวิญญาณทั่วไปมี ขนาดคนเป็นที่มีชีวิตอย่างมูรยองยังรู้สึกได้ว่ามันบริสุทธิ์ แล้วกับพวกวิญญาณที่ปรารถนาชีวิตจะหอมหวานขนาดไหนกัน เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่พวกมันจะกระหายและอยากยื่นมือไปลองแตะต้องดูสักครั้ง แม้วิญญาณของตัวเองจะต้องถูกมันแผดเผาก็ตาม
เหมือนกับตัวเมื่อกี้…
มูรยองหรี่ตาลงพลางนึกถึงปีศาจตนที่เกาะอยู่กับฮวานยอง พลังหยินปริมาณมหาศาลจนแทบจะครอบงำเขาได้เป็นพลังหยินแบบเดียวกับคนที่ตายมานานแล้ว ดูท่ามันคงได้พบเจอความตายที่ไม่ยุติธรรมน่าดู หรือไม่มันก็อาจจะหลงทางและเร่ร่อนมานานกว่าที่เขาคาดการณ์
มีความเป็นไปได้สูงว่าที่ซึงจูได้รับบาดเจ็บอาจเป็นฝีมือของปีศาจตนนั้น เนื่องจากมันไม่สามารถสัมผัสฮวานยองได้โดยตรงก็เลยไปก่อกวนตามสถานที่ต่างๆ ที่มีร่องรอยพลังวิญญาณของเขาอยู่ นับเป็นการกระทำที่ทำไปด้วยความโกรธแค้น ซึ่งตามปกติสิ่งที่ตายไปแล้วก็มักมีจิตใจที่น่าเกลียดน่ากลัวเช่นนั้น
ต้องจับให้ได้ก่อนจะสายเกินไป
มูรยองที่เกิดมาในตระกูลมือปราบวิญญาณสายเลือดเข้มข้นได้รับการสั่งสอนมาว่า ‘ถ้าเห็นปีศาจต้องตามหาและกำจัดมันทิ้ง’ เพราะวิญญาณที่สูญเสียจิตสำนึกไปแล้วจะไม่มีวันกลับคืนสู่สภาพเดิมได้อีก แน่นอนว่ามูรยองมีวิธีที่สันติกว่านั้น แต่ถ้าถูกจับได้เรื่องที่ทำให้ปีศาจหลุดมือไปต่อหน้าต่อตาแบบเมื่อกี้ แม่ที่ดุเหมือนเสือมีหวังได้กลับมาเข้มงวดเรื่องกฎแบบไฟลุกกับเขาแน่ๆ
แต่เหตุผลที่ทำให้มูรยองวุ่นวายใจไม่ใช่แค่เรื่องนั้นเรื่องเดียว แค่โดนดุเดี๋ยวเดียวก็จบแล้ว แถมเขาก็ยังไม่ใช่มือปราบวิญญาณแบบเป็นทางการสักหน่อย ทว่าอีกเรื่องที่เขาวุ่นวายใจนั้นมีอยู่เพียงเรื่องเดียว นั่นเป็นเพราะสิ่งที่ฮวานยองพูดยังติดค้างอยู่ในใจตลอดเวลา
‘คนที่แตะตัวฉันมักจะเจ็บตัว’
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม มูรยองก็ไม่อยากเห็นใครเจ็บปวด เขาอยากให้ทุกคนที่รู้จักมีแต่วันที่ราบรื่นและสงบสุข นั่นรวมถึงฮวานยองที่เพิ่งรู้จักกันแค่หน้าตาด้วย
‘ฉันไม่ได้บาดเจ็บ’
อย่างกับคนโง่ไม่มีผิด เขาเพิ่งเข้าใจหลังได้ฟังมัน สิ่งที่ฮวานยองบาดเจ็บไม่ใช่ร่างกาย แต่เป็นจิตใจต่างหาก
มูรยองที่คิดมาถึงตรงนี้ค่อยๆ ผ่อนฝีเท้าลง ตรงสุดกำแพงที่ฮวานยองบอกมียันต์หน้าตาธรรมดาๆ แปะอยู่ ลับหลังฮวานยอง มูรยองก็ยืดแขนออกไป ก่อนจะใช้มือที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณถ่ายเทพลังให้กับยันต์แผ่นนั้น
มันคือวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า อย่างน้อยเวลาฮวานยองผ่านถนนสายนี้ก็จะไม่มีอะไรมารังควานเขาได้ แม้จะกันได้อย่างมากแค่วันเดียว แต่ก็ยังได้ผลระดับหนึ่งกับพวกผีที่มีพลังอ่อนแอ
“นี่บ้านนายเหรอ”
“อืม”
พวกเขาเดินผ่านกำแพงหินมาหยุดตรงหน้ารั้วเหล็กบางๆ เนื่องจากใช้เวลาไปพักใหญ่ ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว รอบด้านจึงมืดไปหมด ฮวานยองหยิบกุญแจออกมาจากตู้จดหมาย ก่อนจะเปิดประตูและเดินนำเข้าไปข้างใน
บ้านที่พวกเขาเข้ามา ถ้าเทียบกับสภาพภายนอกที่ดูเก่าแก่แล้วก็นับว่าเป็นบ้านที่มีร่องรอยเสื่อมโทรมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แม้หญ้าในสนามจะเหี่ยวแห้งและมีเศษสีทาบ้านที่หลุดล่อนอยู่ตรงนั้นตรงนี้ แต่หากดูแลดีๆ ก็คงเป็นเหมือนบ้านพักตากอากาศที่ดูใช้ได้เลยทีเดียว
“บ้านสวยจัง”
ถึงนั่นจะไม่ใช่คำพูดที่คาดหวังว่าจะได้รับการตอบกลับ แต่ฮวานยองกลับทำเหมือนไม่ได้ตั้งใจฟังอยู่เลยสักนิด เขาทำเพียงแค่เหลือบมองมูรยองและมุ่นคิ้วราวกับไม่เข้าใจ หลังจากใช้กุญแจไขประตูหน้าบ้าน เขาก็เปิดประตูออกกว้างและหันไปพยักหน้าเรียกมูรยอง
“เข้าไปสิ”
“…”
จู่ๆ มูรยองก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขากำสายกระเป๋าเอาไว้แน่นระหว่างก้าวเท้าเข้าไปอย่างช้าๆ
ถึงเขาจะสัมผัสได้ตั้งแต่ตอนประตูเปิดแล้วก็เถอะ ในบ้านหลังนี้เต็มไปด้วยพลังวิญญาณที่ไหลเวียนอยู่ทั่ว และมันก็ไม่ใช่พลังวิญญาณของปีศาจ แต่เป็นพลังวิญญาณของคนที่มีชีวิตซึ่งกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา
“…อืม”
ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่มูรยองรู้สึกว่าพลังวิญญาณของฮวานยองนั้นใสสะอาดเสียจนจิตใจเขารู้สึกปลอดโปร่งตามไปด้วย และพลังวิญญาณของเจ้าตัวก็แข็งแกร่งมากอีกด้วย
ทันทีที่เดินเข้าบ้านมามูรยองก็รู้สึกราวกับว่าในหัวนั้นโล่งสบาย ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาค่อยๆ ละลายหายไป และสภาพร่างกายก็ราวกับได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ ความสดชื่นที่เคยได้รับตอนจับแขนฮวานยองหรือแม้แต่ตอนที่ประสานมือกับเขานั้นไม่อาจเทียบกับความรู้สึกในตอนนี้ได้เลย
“บ้านนายนี่ดีชะมัดเลยแฮะ…”
มูรยองพูดออกไปจากใจจริง แต่ฮวานยองกลับทำสีหน้าเหมือนไม่เข้าใจอีกแล้ว หน้าเขาเหมือนกับคนที่พร้อมจะแย้งอยู่ตลอดเวลาว่า ‘บ้านเก่าๆ แบบนี้มีดีตรงไหนกัน’ มูรยองสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะถอดรองเท้าไว้อย่างเรียบร้อยที่มุมหนึ่งหน้าปากประตู
“ต้องวางรองเท้าไว้บนชั้นไหม”
“แล้วแต่นายเถอะ”
อย่างไรเสียตรงหน้าประตูก็มีพื้นที่กว้างขวาง ไม่จำเป็นต้องเอาไว้ในชั้นก็ได้ มูรยองก้าวเข้าไปด้านในหนึ่งก้าวแล้วมองสำรวจรอบๆ อย่างละเอียด ในห้องนั่งเล่นที่กว้างขวางมีโทรทัศน์และโซฟาตั้งอยู่ แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงให้บรรยากาศเงียบเหงา บางทีอาจเป็นเพราะเฟอร์นิเจอร์พวกนั้นดูเก่าและโทรมมากก็เป็นได้
“เออ จริงสิ เดี๋ยวฉัน…”
พอหันมองไปก็พลันต้องหยุดพูดโดยไม่ทันรู้ตัว นั่นเป็นเพราะฮวานยองที่ควรจะเดินเข้ามาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน เมื่อหลุบมองต่ำตามสายตาเขา มูรยองก็เห็นรองเท้าของตัวเองที่วางอยู่อย่างเรียบร้อย
“…ให้วางบนชั้นวางไหม”
มูรยองถามคำถามเดิมอีกครั้ง แต่ฮวานยองก็ยังคงไม่ตอบ เขาทำเพียงแค่ถอดรองเท้าผ้าใบออกช้าๆ แล้วถามกลับ
“พูดต่อสิ เดี๋ยวจะอะไร”
“อ๋อ…ฉันจะบอกว่าเดี๋ยวฉันขอยืมชุดนอนหน่อยสิ”
รองเท้าผ้าใบสองคู่ที่วางอยู่ข้างกันนั้นให้ความรู้สึกเหมือนเป็นของเด็กและผู้ใหญ่ คู่หนึ่งดูใหญ่มาก ส่วนอีกคู่ก็ดูเล็กไปทันตาหากลองเปรียบเทียบกัน ถ้าซึงจูมาเห็นเข้า หมอนั่นคงจะปลอบใจเขาว่า ‘นายยังอยู่ในวัยกำลังโตไง’
“ฉันใส่ชุดนักเรียนนอนไม่ไหวอะ”
มูรยองพูดแบบนั้นพลางดึงชายเสื้อเชิ้ตสีขาวออกมา เขาใส่เสื้อยืดไว้ข้างในเลยยังพอโอเค แต่อย่างไรก็ต้องเปลี่ยนกางเกง เพราะคงนอนกลิ้งเกลือกในชุดที่ใส่ไปโรงเรียนมาแล้วทั้งอย่างนี้ไม่ได้ และไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วถ้าฮวานยองจะกรุณาให้ยืมเสื้อด้วยก็ยิ่งดี
“ชุดนอน…”
ฮวานยองพึมพำลากหางเสียงยาว ดวงตาที่หรี่ลงพินิจมูรยองตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางเอียงคอด้วยสีหน้าที่ดูไม่ออก
“บ้านฉันไม่น่าจะมีไซส์นายนะ”
ที่พูดมานั้นใช่ว่าจะผิดอะไร เพียงแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นจะต้องคิดหนักด้วยสีหน้าเคร่งเครียดขนาดนั้น
“เอาตัวไหนมาก็ได้ ถ้ามันใหญ่ไปเดี๋ยวฉันค่อยใส่แล้วพับแขนเอาง่ายๆ ก็ได้”
แม้มูรยองจะมีวิธีแก้ปัญหาแล้ว แต่สีหน้าของฮวานยองก็ยังไม่คลายออก เขามองไปยังรองเท้าที่ตัวเองถอดไว้แล้วถามด้วยเสียงแผ่วเบาตามปกติ
“แล้วกางเกงในล่ะ”
“อา…จะให้ยืมกางเกงในด้วยเหรอ”
ของแบบนั้นคงไม่มีให้หรอกมั้ง
“ฉันพอมีของใหม่อยู่ นายใส่แล้วก็เอาไปเลย”
ความจริงแล้วมูรยองไม่คิดจะใส่มันนอนด้วยซ้ำ แต่ปากก็ตอบออกไปแล้วว่าโอเค และด้วยความคิดที่ว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วลองทำตัวหน้าไม่อายดูสักครั้งจะเป็นไรไป เขาเลยขอแปรงสีฟันสำรองเพิ่มด้วยอีกอย่าง ฮวานยองแค่พยักหน้าตอบเบาๆ ก่อนเดินตัดผ่านห้องนั่งเล่นไปยังด้านใน
“ไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวฉันเอาเสื้อผ้าที่จะใช้เปลี่ยนมาให้”
มูรยองเดินตามหลังฮวานยองต้อยๆ ห้องที่ฮวานยองเดินเข้าไปนั้นให้ความรู้สึกมีชีวิตขึ้นมาหน่อยต่างจากห้องนั่งเล่นเมื่อครู่ หนังสือแบบฝึกหัดหลายเล่มวางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ ชุดนักเรียนและเสื้อตัวนอกถูกแขวนไว้ในตู้เสื้อผ้า พอได้เห็นสายชาร์จแบตฯ ที่วางอยู่บนเตียงก็รู้สึกเหมือนไม่ต่างจากมันกำลังนอนพักอยู่
“แล้วก็ที่บ้านฉันไม่มีอะไรกินนอกจากข้าวกล่องร้านสะดวกซื้อ…”
ท่ามกลางข้าวของในห้อง มูรยองไม่อาจละสายตาไปจากกรอบรูปบนโต๊ะเขียนหนังสือได้ มันเป็นรูปถ่ายของเด็กน้อยสองคน ปัญหาคือเด็กทั้งคู่ต่างดูเหมือนฮวานยองในวัยเด็ก เด็กคนซ้ายคือคีฮวานยอง เด็กคนขวาก็คือคีฮวานยองเช่นกัน
“…ฝาแฝด?”
ปึง
กรอบรูปพลันคว่ำหน้าลง มือที่ใหญ่พอจะปิดรูปทั้งรูปคว่ำกรอบรูปลงอย่างแรง มูรยองสะดุ้งเฮือกแล้วเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะเห็นฮวานยองที่มีสีหน้าน่ากลัว
“นายจะทำอะไร”
“…”
มันเป็นปฏิกิริยาตอบโต้ที่ดูรุนแรงเกินไป มูรยองมีตา เขาก็แค่มองดูสิ่งที่วางอยู่ก็เท่านั้นเอง
“โทษที ฉันจะไม่มองแล้ว”
ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็นฝ่ายบอกขอโทษออกไปตามมารยาท ถ้ามันเป็นสิ่งที่ฮวานยองไม่อยากให้เห็น มูรยองเองก็ไม่อยากขุดคุ้ย
แต่จะว่าไป…
ตายไปแล้วสินะ?
เขารับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ…หนึ่งคนในรูปไม่ใช่คนที่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว
ภายในบ้านหลังนี้นอกจากตนเองและฮวานยอง เขาก็ไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของใครอีกเลย หน้าประตูบ้านมีเพียงรองเท้าของพวกเขาสองคน มุมอื่นๆ ในบ้านก็หาร่องรอยของผู้คนไม่พบ ต่อให้จะฝืนคิดว่าฝาแฝดของฮวานยองจะใช้ข้าวของทุกอย่างร่วมกับฮวานยอง แต่ก็ยังน่าแปลกอยู่ดีที่ไม่มีร่องรอยใดๆ อยู่เลย
“นั่นคือเสื้อผ้าที่จะให้ฉันยืมใช่ไหม ขอฉันอาบน้ำแป๊บหนึ่งนะ ว่าแต่ห้องน้ำอยู่ทางไหนเหรอ”
“…”
มูรยองพูดด้วยน้ำเสียงสดใสผิดกับบรรยากาศพร้อมฉวยเสื้อผ้ามาจากมือของฮวานยอง
แม้สายตาจะแฝงไปด้วยความระแวดระวัง แต่ฮวานยองก็ยังช่วยบอกทางไปห้องน้ำให้อย่างไม่อิดออดอะไร พอได้รู้ว่าออกไปแล้วห้องน้ำจะอยู่ด้านขวามือ มูรยองก็ออกมาจากห้องของฮวานยองทันที
ทันทีที่ปิดประตูมูรยองก็รีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเองด้วยสีหน้าลำบากใจ ความเคร่งเครียดปรากฏขึ้นในดวงตาที่หม่นลงอย่างอ่อนแรง
ฝาแฝดที่ตายไปแล้วกับคีฮวานยองที่มีพลังวิญญาณแบบที่มือปราบวิญญาณยังต้องตกเป็นรอง
“…ถ้าไม่ใช่อย่างที่คิดก็คงจะดี”
เสียงพูดที่เบาราวกับลมหายใจดังแผ่วลงอย่างน่าหวั่นใจ แม้แต่มูรยองที่พูดมันออกมายังมีความมั่นใจในแววตาเพียงแค่ครึ่งเดียว
* ฮวานยอง หมายถึงภาพลวงตา