ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน มือปราบ (วิญญาณ) คนนี้ชื่อคิมมูรยอง เล่ม 3 Chapter 12.1 #นิยายวาย
Chapter 12-1
กันและกัน
เวลาเพิ่งจะคล้อยผ่านเที่ยงวันมาได้ไม่นาน ความเงียบงันยังคงลอยวนอยู่ภายในบ้านหลังเล็ก ใครคนหนึ่งยืนตระหง่านอยู่กลางบ้าน อีกคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ โดยที่มีใครอีกคนคอยพูดเบาๆ อยู่ข้างพวกเขา
“เพ่งสมาธิไปที่ปลายนิ้ว…”
ฮวานยองเรียกพลังจิตมารวมกันที่ปลายนิ้วเมื่อได้ยินน้ำเสียงลุ่มลึกนั้น เขาพยายามวาดภาพให้เป็นรูปธรรมที่สุดเท่าที่จะทำได้ในหัวพลางยื่นแขนซ้ายไปข้างหน้าและยื่นแขนขวาตามหลังออกไปประกบ จากนั้นลูกธนูจากพลังจิตที่ทั้งยาวและแหลมคมก็ปรากฏขึ้นบนคันธนูรูปทรงจันทร์เสี้ยว
“ผ่อนลมหายใจออกยาวๆ…”
คนที่พูดออกมาช้าๆ อย่างใจเย็นนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นแม่ของมูรยอง นักล่าอสูรผู้มีความสามารถระดับแนวหน้าซึ่งมีพลังวิญญาณอันน่าเกรงขามแม้ในยามที่อยู่เฉยๆ ไม่ได้ใช้พลังใดเลยก็ตาม หลังจากมองพิจารณาท่าทางของฮวานยองด้วยดวงตาเฉียบคมในปราดเดียวแล้ว เธอก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ยิง”
ฉึบ…
ลูกธนูที่พุ่งออกไปปักลงกลางผนัง ก่อนจะแตกกระจายเป็นเสี่ยงเหมือนแก้วแตกและสลายหายไป ไม่มีรอยขีดข่วนใดเกิดขึ้นบนผนัง มีเพียงพลังวิญญาณที่ลอยสู่พื้นท่ามกลางความเงียบ
“…”
มูรยองที่นั่งนิ่งมาตลอดลอบชำเลืองมองสำรวจ ในสายตาเขามันคือฝีมือการยิงธนูที่สมบูรณ์แบบมาก เขาเลยอยากรู้ว่ามันดูเป็นอย่างไรในสายตาแม่ ในระหว่างนั้นที่แม้แต่ฮวานยองเองก็ยังประหม่า แม่ของมูรยองก็ยกยิ้มขึ้นพลางตบหลังฮวานยองแปะๆ
“เก่งมากจ้ะ”
“…เฮ้อ”
ฮวานยองใช้สองมือปิดหน้าพลางถอนหายใจยาวออกมา เพราะเขายิงธนูในบ้านหลังนี้มาเป็นร้อยหนแล้ว แต่นี่เพิ่งครั้งแรกที่เขาได้รับคำชมอย่างที่ควรจะเป็น
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ทำผิดจนถูกติอะไร แต่เพียงแค่ได้ยินเสียงลมหายใจที่พ่นออกมาดัง ‘เฮ้อ’ เขาก็รับรู้ได้ว่าแม่ของมูรยองน่าจะยังไม่พึงใจ
“ทำได้ดีมาก เรียนรู้ได้เร็วกว่าที่คิดนะ”
“…นี่เร็วแล้วเหรอครับ”
ฮวานยองไม่อาจซ่อนอาการทำตัวไม่ถูกกับคำชมที่ตามมาได้ คงต้องโทษที่เขาเอาแต่กังวลว่าในเมื่อมูรยองยังทำได้ขนาดนั้น การที่เขาทำได้แค่นี้คงไม่ต่างอะไรจากระดับที่เรียกได้ว่าไร้ความสามารถ
ขนาดมูรยองอายุเท่ากันยังยิงธนูได้เก่งถึงขนาดที่พี่มูยอนยังยอมรับเลยไม่ใช่หรือไง
“แน่นอนสิจ๊ะ นี่น่ะถือว่าเร็วแล้ว ลูกป้าเรียนกันมาตั้งแต่เกิด เอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้หรอกนะจ๊ะ”
แม่ของมูรยองยิ้มอย่างพอใจก่อนนั่งลง เธอนั่งในท่าขัดสมาธิเหมือนกับลูกชาย พอฮวานยองนั่งลงข้างๆ มูรยองโดยเว้นระยะห่างอย่างพอประมาณ แม่ของมูรยองก็พับนิ้วลงพลางพูดขึ้น
“ฮวานยอง เธอดูนี่สิ…เธอเพิ่งเรียนไปได้สองสัปดาห์เองนะ เท่านี้ก็ถือว่าเร็วแล้วล่ะ”
สองสัปดาห์…ผ่านมาสองสัปดาห์เต็มแล้วที่ฮวานยองมาพักอยู่ที่บ้านของมูรยอง ช่วงปิดเทอมผ่านมาเกินครึ่งทางและอีกไม่นานก็จะเป็นวันเปิดภาคเรียน ช่วงปิดเทอมที่ผ่านมาฮวานยองตื่นเวลาเดิมทุกวัน ทำกิจวัตรประจำวันแบบเดียวกันกับมูรยอง และรับการฝึกหลายสิ่งหลายอย่างจากแม่ของมูรยอง
“แต่แน่นอนว่าถ้าอยากจะชำนาญเท่ามูรยองก็ยังต้องขยันเรียนเพิ่มอีก”
ฮวานยองพยักหน้ารับคำพูดนั้นของเธอ ตอนนี้เขารู้แล้วว่ามูรยองมีความสามารถโดดเด่นแค่ไหน เพราะทุกครั้งเวลาเขาจะเรียนอะไรสักอย่าง มูรยองจะเป็นคนสาธิตให้ดูตลอด และเจ้าตัวก็แสดงให้เห็นถึงฝีมือที่ช่ำชองจนถึงขั้นที่เขาไม่อาจทำตามได้ การผนวกกันของทักษะที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิดกับความพยายามอย่างสม่ำเสมอทำให้มันกลายเป็นขอบเขตความสามารถที่ไม่มีใครเข้าใกล้ได้
“ถึงอย่างนั้นก็ยังโชคดีที่เธอรู้วิธีควบคุมและใช้งานพลังวิญญาณขั้นพื้นฐาน เพราะเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่จะมาเรียนเอาตอนโตก็คงยากแล้ว เธอคงเรียนมาจากคนอื่นตอนเด็กๆ สินะ?”
“ครับ เขาเป็นมือปราบวิญญาณที่ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใคร เขาแค่ผ่านมาแล้วเคยช่วยสอนให้น่ะครับ”
“งั้นเหรอ”
แม่ของมูรยองใช้มือลูบคางอย่างครุ่นคิดพลางพยักหน้า แม้สีหน้าจะดูนึกสงสัย แต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา เพียงแค่ทอดสายตามองฮวานยองกับมูรยองสลับกันและถามเรื่องอื่นแทนด้วยท่าทางลังเลเล็กน้อย
“…ว่าแต่เธอสองคนยังไม่คืนดีกันอีกเหรอ”
“…”
“…”
ทั้งคู่สะดุ้งพร้อมกัน ทั้งยังพากันยิ้มเจื่อนและเสหลบตาอย่างประดักประเดิด ใครเห็นก็ต้องคิดว่าเป็นบรรยากาศที่แปลกเกินบรรยาย แต่มันก็คลุมเครือเกินกว่าจะบอกว่าทะเลาะกัน
“ป่านนี้แล้ว คืนดีกันได้แล้วนะ”
“บอกว่าไม่ได้ทะเลาะกันไงครับ…”
มูรยองเป็นฝ่ายตอบให้แทน เขาลูบท้ายทอยพลางชำเลืองมองฮวานยอง แต่ก็ต้องเบนสายตาหนีอีกรอบเพราะดันสบตากันพอดี
“…”
“…”
บรรยากาศกระอักกระอ่วนก่อตัวขึ้นอีกหน หนนี้แม่ของมูรยองไม่ได้ถามอะไรเพิ่ม เธอลอบถอนใจพลางคิดกับตัวเองว่าเจ้าลูกชายแสนดีของเธอสองคนนี้คงได้ทะเลาะกันไปอีกนาน
สาเหตุที่ทำให้มูรยองกับฮวานยองทำตัวไม่ถูกใส่กันแบบนี้คงต้องย้อนกลับไปเมื่อสองสัปดาห์ก่อน ตอนที่มูรยองส่งปีศาจในกระท่อมหลังนั้นไปสู่สุคติ ตอนที่ฮวานยองเดินลงไปตามทางบนภูเขาโดยแบกมูรยองเอาไว้ ตอนที่มูรยองกอดฮวานยองไว้แน่นและโพล่งสิ่งที่อยู่ในใจออกมาด้วยเสียงสั่นๆ
‘…เหมือนว่าฉันจะชอบนายเลย’
ดวงอาทิตย์ทอแสงสีส้มอมแดงไปทั่วผืนฟ้า มองเห็นผืนป่าเขียวขจีกว้างสุดลูกหูลูกตา ท่ามกลางทิวทัศน์อันโปร่งโล่งไร้สายไฟสักเส้น จังหวะหัวใจซึ่งกำลังเต้นโครมครามได้ถ่ายทอดผ่านร่างกายท่อนบนที่แนบชิดกัน
‘ไม่ว่าจะลองคิดยังไง ก็เหมือนว่าฉันจะชอบนายเข้าแล้วสิ’
คำสารภาพนี้เป็นไปอย่างกะทันหันแทบไม่ต่างอะไรกับการจาม แม้แต่มูรยองที่เป็นคนพูดเองยังตกใจไม่น้อยที่หลุดปากออกไปโดยไม่ทันได้ฉุกคิดว่าควรจะหยุดมัน ถึงอย่างนั้นเขาก็แน่ใจว่าต่อให้ไม่ได้อยู่ในห้วงอารมณ์ที่เอ่อล้น เขาก็ยังจะเอ่ยปากบอกความรู้สึกออกไปในวินาทีที่ตระหนักได้ถึงความจริงข้อนี้
‘…’
ทว่าฮวานยองกลับไม่พูดอะไรออกมาเลยอยู่พักใหญ่ เขาเพียงมองตรงไปข้างหน้าราวกับสติหลุดลอยโดยที่ตัวแข็งค้างอยู่อย่างนั้น จนมูรยองที่สารภาพรักออกไปอย่างไม่ทันได้คิดอะไรต้องแอบยื่นหน้าไปสังเกตสีหน้าของเขา
‘…คีฮวานยอง?’
‘…’
ใบหน้าด้านข้างของเขาแลดูเกร็งจนแข็งทื่อ ไม่สิ ส่วนที่แข็งเกร็งขึ้นนั้นไม่ใช่แค่ใบหน้า แต่ทั้งลำคอที่มูรยองกำลังโอบรัดอยู่ ท่อนแขนที่กำลังรองรับตัวมูรยองเอาไว้ และแม้แต่ขาสองข้างที่หยุดยืนนิ่งก็อยู่ในสภาพนั้นก็เช่นกัน
‘…’
นี่เราพูดอะไรผิดไปหรือเปล่านะ
จู่ๆ มูรยองที่คิดเช่นนั้นก็รับรู้ถึงบางอย่างที่แปลกไปเลยเลื่อนมือลงไปยังตำแหน่งที่ต่ำกว่าเดิมเล็กน้อยตรงอกข้างซ้ายซึ่งสัมผัสได้ถึงหัวใจที่กำลังเต้นแรงของอีกฝ่าย มูรยองค่อยๆ วางมือขวาลงบนอกของฮวานยองพลางกะพริบตาปริบๆ ด้วยสีหน้างุนงง
‘หัวใจนายจะไม่ระเบิดใช่ไหม…’
จังหวะการเต้นของหัวใจฮวานยองถี่เร็วเสียจนหัวใจของเขาไม่อาจเทียบได้เลย ทุกครั้งตอนแบ่งรับพลังวิญญาณเขาเคยคิดว่ามันเร็วมากแล้ว แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนว่ามันจะเต้นรัวเร็วจนแทบจะระเบิดขนาดนี้ ตอนนี้มันเต้นแรงถึงขั้นที่ถ้าระเบิด ‘โพละ!’ ขึ้นมาจริงๆ ก็คงไม่แปลก
‘เต้นแรงมากเลย…’
คำพูดถัดมาทำเอาใบหน้าของฮวานยองร้อนผ่าวขึ้นจนทั่วทั้งหน้ากลายเป็นสีแดงจัดเสียจนหากจะถามว่าแดงขนาดไหน คงต้องตอบว่าต่อให้มีใครมาบอกว่ามันแดงเหมือนทำสีน้ำหกใส่กระดาษวาดรูปเขาก็เชื่อ จากตอนแรกที่ใบหน้าร้อนผ่าวลงมาถึงแค่ท้ายทอย ตอนนี้ร่างกายของฮวานยองกลับอุ่นร้อนไปทั่วทุกส่วนที่สัมผัสกัน ซึ่งต่างจากเวลาปกติอย่างสิ้นเชิง
‘คิมมูรยอง นายนี่มัน…’
ฮวานยองก้มหน้าลง คำที่พูดออกมาเหมือนจะกล่าวโทษนั้นแท้จริงแล้วไม่ได้ฟังดูรำคาญใจขนาดนั้น กลับกันแล้วดูเหมือนเขาจะกำลังเขินอายอยู่เสียมากกว่า
‘นายพูดอะไรแบบนี้ออกมาหน้าตาเฉยได้ยังไงกัน…’
เสียงลมหายใจหอบนั้นทำให้อุณหภูมิรอบตัวพลอยอุ่นร้อนขึ้นไปด้วย อากาศในวันหนึ่งของฤดูร้อนที่แสนอบอ้าวดูท่าจะร้อนเกินไปสำหรับพวกเขาในเวลานั้น แต่มูรยองก็ไม่ได้ไม่ชอบความรู้สึกเช่นนี้ เขาถามกลับไปโดยเกยคางไว้ที่ไหล่ของฮวานยอง
‘…แล้วคำพูดแบบนี้มันต้องพูดแบบไหนเหรอ’
เขาแค่บอกว่าชอบเพราะว่าเขาชอบ และเขาคิดว่าการบอกตอนอยู่กันแค่สองคนแบบนี้ก็เป็นจังหวะเวลาที่เหมาะเจาะที่สุดแล้ว เขาไม่ได้สารภาพกลางที่สาธารณะเสียหน่อย ดังนั้นเขาจะพูดอะไรหรือในสถานการณ์แบบไหนมันก็ได้ไม่ใช่หรือไงกัน
‘ฉันไม่ได้พูดเพราะคาดหวังอะไรสักหน่อย’
คำพูดที่เอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำนั้นไม่ได้ทำให้ฮวานยองพูดอะไรออกมา เขาเพียงแค่ลอบขยับลูกกระเดือกกลืนน้ำลาย สัมผัสของหัวใจที่เต้นโครมครามจนรู้สึกได้ด้วยฝ่ามือยังคงชัดเจนอยู่จนถึงตอนนั้น
‘…’
‘…’
ทั้งคู่ต่างปล่อยให้ความเงียบไหลผ่านไปอยู่พักใหญ่ ฮวานยองออกเดินต่อโดยที่ยังแบกมูรยองไว้บนหลัง ในขณะที่มูรยองเองก็กระชับกอดเขาเอาไว้แน่นเหมือนก่อนหน้านี้
ระหว่างที่กำลังก้าวเดินไปอยู่นั้น คราวนี้คนที่เปิดปากพูดขึ้นก่อนคือฮวานยอง
‘คือ…อะแฮ่ม ที่นายบอกว่าชอบน่ะ…’
เสียงที่แผ่วเบานั้นฟังดูจริงจังเป็นพิเศษ เมื่อฟังผ่านๆ แล้วเหมือนปลายเสียงจะแหบเครือเล็กน้อยด้วย ดูท่าฮวานยองคงจะประหม่ามาก เขาถึงได้กระแอมในลำคอระหว่างพูด
‘มันหมายความว่ายังไง’
มูรยองกลอกตาอยู่พักหนึ่งกับคำถามที่อีกฝ่ายโพล่งออกมา เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะเรียกความรู้สึกนี้ว่าอย่างไรดี เพราะมันคลุมเครือจนยากเกินกว่าจะอธิบาย และเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าฮวานยองตีความความเงียบนั้นไปว่าอย่างไรถึงได้พึมพำตอบกลับมา
‘ก็นายชอบทั้งเพื่อน ชอบทั้งเจ้าซอลกี…แล้วก็ชอบคนในครอบครัวด้วยไม่ใช่หรือไง…’
‘นั่นมันไม่เหมือนกันสักหน่อย’
‘…ไม่เหมือนยังไง’
ฮวานยองดูราวกับคนที่อยากจะยืนยันให้มั่นใจ เขาดูกระวนกระวายและว้าวุ่นใจ
ดูสับสนไม่สมกับเป็นคีฮวานยองเลยแฮะ
มูรยองคิดเช่นนั้นพลางตอบ
‘เพราะมันเป็นความชอบแบบคนรักน่ะ’
‘…’
‘…คิดว่านะ?’
สมมติฐานที่ไร้ความมั่นใจนั้นถูกเอ่ยตามออกมา มูรยองเพิ่งรู้ใจตัวเองยังไม่ทันถึงห้านาทีเลยค่อนข้างอายที่จะพูดออกไปเหมือนแน่ใจ ดังนั้นคำพูดต่อมาเขาจึงเอ่ยในสิ่งที่ตัวเองไม่มั่นใจ
‘นายอาจจะไม่ชอบฉันก็ได้ แต่…’
‘ชอบ’
‘…หืม?’
‘ให้ตายสิ…’
ฮวานยองสบถอยู่ในลำคอราวกับหลุดพูดอะไรผิดพลาดไป ฝ่ายมูรยองได้ทีจึงเบิกตาโตพลางย้อนถาม
‘นายชอบฉัน?’
ในฐานะที่เป็นมนุษย์และในฐานะที่เป็นเพื่อนสนิท เขารับรู้ได้ถึงความจริงที่ว่าฮวานยองเองก็รู้สึกดีกับเขา ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันจนถึงตอนนี้เขาไม่เคยนึกเคลือบแคลงใจในความจริงข้อนี้เลยสักครั้ง
‘แบบคนรัก?’
‘…’
แต่คีฮวานยองกลับบอกว่ารู้สึกแบบเดียวกันกับเขา ทว่าเขาเองก็เพิ่งจะรู้ตัวเมื่อกี้นี้ จึงนึกสงสัยขึ้นมาว่าแล้วฮวานยองรู้ตัวตั้งแต่เมื่อไหร่กัน และในตอนที่มูรยองตั้งท่าจะพูดอะไรสักอย่างเพราะรู้สึกคันยุบยิบอยู่ในคอหนักมากนั้นเอง…
‘…ไปที่รถก่อน’
ฮวานยองพูดด้วยเสียงกระท่อนกระแท่นคล้ายลำคอจะตีบตันอยู่ตลอดจนต้องกระแอมอยู่สองสามหน
‘ไปที่รถก่อนแล้วค่อยคุยกัน’
มูรยองคิดว่าฮวานยองคงจะลำบากอยู่เหมือนกันกับการที่ต้องแบกเขาไว้บนหลัง อาจเป็นภาระเกินไปที่จะมาพูดคุยกันในเวลานี้ แต่เขาคิดว่ามันอาจจะลำบากกว่าก็ได้หากจะคุยกันหลังกลับถึงรถ
‘แต่ในรถมีกล้องนะ…’
‘…’
ฮวานยองชะงักฝีเท้าทันทีที่ได้ยินแบบนั้น มูรยองยิ้มเจื่อนๆ พลางตบไหล่เขาแปะๆ
‘ปล่อยฉันลงหน่อย’
ฮวานยองปล่อยมูรยองลงโดยไม่พูดไม่จา พอยืนบนพื้นได้ด้วยสองเท้ามูรยองก็ยืดข้อเท้าเล็กน้อย ฮวานยองมองอยู่ครู่หนึ่งว่าเขาจะล้มหรือไม่ก่อนถามด้วยสีหน้าจริงจัง
‘นายชอบฉันจริงๆ เหรอ’
การถามยืนยันหนที่สองนี้ทำเอามูรยองเผลอคิดไปว่าเขาดูเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือเอามากๆ หรือว่าคีฮวานยองเป็นฝ่ายที่ขี้สงสัยมากพอกันกันแน่
‘อืม’
‘จริงๆ น่ะเหรอ’
‘อืม ก็บอกว่าจริงไง’
‘…ตั้งแต่เมื่อไหร่’
‘ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจ…’
จู่ๆ มูรยองที่พยายามหวนนึกทบทวนความจำอย่างละเอียดก็ปิดปากฉับลง คงต้องโทษที่เขารู้สึกเหมือนกำลังไม่ได้รับความเป็นธรรมจากคำถามที่ส่งมาต่อเนื่องไม่หยุด
‘…ทำไมนายถึงไม่เชื่อคำพูดฉันล่ะ’
หัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน ตรงกันข้ามกับหางตาที่ลู่ตกลง เมื่อฮวานยองเห็นอย่างนั้นก็ปิดปากสนิทด้วยสีหน้ารู้สึกผิด ก่อนจะพูดขึ้นโดยที่ใช้หลังมือบังริมฝีปากเอาไว้
‘ไม่ใช่ว่าฉันไม่เชื่อนาย…’
มูรยองเอียงคอให้กับคำพูดนั้นของฮวานยอง ถ้าไม่ใช่ว่าไม่เชื่อกันแล้วจะเป็นอะไรไปได้อีก แม้มูรยองจะคิดเช่นนั้น แต่คำพูดของฮวานยองที่ตามมาก็สมควรแก่เหตุจนแม้แต่มูรยองที่เป็นตัวต้นเรื่องเองยังพูดอะไรไม่ออก
‘ก็นายเล่นชอบคนไปทั่วเลยไม่ใช่หรือไง’
สิ่งที่เขาไม่ทันนึกถึงทำเอาเขาถึงกับไปต่อไม่เป็น มูรยองเงยหน้าขึ้นมองฮวานยองอย่างไม่อาจซ่อนความตกใจเอาไว้ได้ เขาหลับตาอย่างข่มใจอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะลืมตาขึ้นและขยับริมฝีปากเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็นว่ามันกำลังขยับ
‘…คีฮวานยอง’
ฮวานยองถึงกับสะดุ้งไปเมื่อได้ยินเสียงเรียกที่ดังลอดออกมาจากริมฝีปากของอีกฝ่าย คงต้องโทษที่เขานึกกลัวอยู่ในใจว่ามูรยองอาจจะรู้สึกว่าคำพูดนั้นถูกต้องแล้วและเลิกล้มการสารภาพรักขึ้นมาในทันใด
ทว่าคำถามที่ตามมาหลังจากนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะขจัดความกลัวทิ้งไป
‘ฉันดูเหมือนคนที่จะคิดเรื่องแบบนี้ไปเองเหรอ’
มูรยองทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับประเด็นนั้นโดยแสร้งทำเหมือนว่าฮวานยองเป็นฝ่ายเข้าใจผิดไปเองมาตลอดจนถึงตอนนี้ ดวงตาซึ่งกำลังจับจ้องฮวานยองอย่างแน่วแน่นั้นสุกใสไร้ที่ติ ถึงขั้นที่ฮวานยองเผลอคิดว่าคนที่มีสายตาแบบนี้ คนที่มองมาด้วยสายตาซื่อตรงขนาดนี้คงไม่มีทางที่จะสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง
‘…ไม่’
ฮวานยองพลันหลุบตาลงพร้อมกับใบหูที่กลายเป็นสีแดง เขาไม่รู้เลยว่าเมื่อกี้หน้าเขาแดงขนาดไหน แต่เขาก็จำต้องคุมสีหน้าและพยายามแสร้งทำเหมือนว่าใจเย็น
เมื่อเห็นฮวานยองเป็นแบบนั้นแล้ว มูรยองก็พูดขึ้นอีกครั้ง
‘ฉันชอบนาย’
พอได้รู้ครั้งหนึ่งแล้วมูรยองก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธความรู้สึกของตัวเอง เขาไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิดกับความจริงที่ว่าพวกเขาทั้งคู่เป็นผู้ชาย การที่คนเราจะชอบกันมันไม่มีเหตุผลอยู่แล้ว เขาแค่ต้องซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง
‘ถูกแล้วล่ะ ฉันชอบนายแบบคนรัก’
‘…’
‘ถึงแม้ว่าฉันจะเพิ่งมารู้ตัวจริงๆ เอาเมื่อกี้นี้…แต่ฉันก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดที่จะเข้าใจเรื่องแบบนั้นผิดไปหรอกนะ’
มูรยองแค่ไม่สนใจในการเรียน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะหัวไม่ดี เขาฉลาดในแบบของเขา แถมยังมีไหวพริบดีสุดๆ
‘นายเองก็บอกว่าชอบฉันนี่’
มูรยองยื่นมือออกไปจับแขนฮวานยอง อุณหภูมิร่างกายที่มักจะเย็นอยู่เสมอตอนนี้กลับอุ่นพอๆ กับร่างกายของเขา ฮวานยองงอแขนที่ถูกจับอยู่แล้วจับแขนของมูรยองไว้เช่นกัน
‘…ถ้างั้นฉันขอจูบนายได้ไหม’
มือใหญ่กุมรอบแขนของเขา พลังวิญญาณของฮวานยองถูกส่งผ่านมายังผิวเปลือยเปล่าที่ปรากฏอยู่นอกร่มผ้า เขายกมืออีกข้างขึ้นมา ค่อยๆ กุมแก้มของมูรยองไว้
‘จูบโดยที่ไม่ได้จะให้พลังวิญญาณ…’
‘…’
‘จูบแบบแค่จูบจริงๆ’
พอได้ยินคำพูดนั้นมูรยองก็หน้าแดงขึ้นมาโดยไม่ทันรู้ตัว คงต้องโทษที่เขาทำตัวไม่สะทกสะท้านมาจนถึงตอนนี้ พอถึงเวลาเข้าจริงเลยเขินทันทีที่ได้ยินมัน ไม่ใช่เพราะคำขอนั้นของฮวานยอง แต่เป็นเพราะตัวเขาเองที่รู้สึกได้ถึงความปรารถนาอันแรงกล้าจากคำขอนั้น
‘…’
‘…’
ไม่จำเป็นต้องมีคำตอบใด ดวงตาปิดลงอย่างช้าๆ ก่อนริมฝีปากของคนทั้งคู่จะค่อยๆ เคลื่อนเข้าหากัน สัมผัสกันอย่างแผ่วเบาราวกับจะให้เวลาได้เตรียมใจ จากนั้นริมฝีปากที่ผละออกมาก็ประกบเข้าหากันใหม่อีกครั้งอย่างแนบแน่น
มันเป็นความรู้สึกที่วาบหวามจนเขานึกเสียดายวันคืนที่ปล่อยให้ผ่านเลยมาโดยไม่รู้ตัว
การที่จูบกับคีฮวานยองแล้วรู้สึกดีนั้นไม่ใช่แค่เพราะพลังวิญญาณ แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายคือคีฮวานยอง คนที่เขาได้มอบหัวใจให้ไปแล้ว
มูรยองขยับริมฝีปากพลางใช้แขนโอบรอบลำคอของฮวานยองไปตามห้วงอารมณ์ ทำเอาฮวานยองที่คอยขยับเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังราวกับกำลังทะนุถนอมสิ่งเปราะบางอยู่ถึงกับมือไม้สั่นและผงะไปเมื่อถูกมูรยองรุกเข้าใส่อย่างกระตือรือร้นในบางจังหวะ
หลังริมฝีปากผละออกจากกันก็ไม่มีใครพูดอะไร ทั้งคู่เพียงจ้องมองกันและกันอย่างเหม่อลอยอยู่ในระยะห่างที่ชิดใกล้ ความรู้สึกที่เอ่อล้นราวกับโลกใบนี้มีเพียงแค่พวกเขาสองคนกำลังโถมกระหน่ำอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ
‘…เฮ้อ’
คิมมูรยองชอบฉัน?
ฮวานยองเพิ่งจะมารู้สึกถึงความยินดีที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างได้ในตอนนั้น ขนทั่วกายของเขาลุกชัน มือไม้ถึงกับต้องรีบเอื้อมไปรวบตัวมูรยองมากอดเอาไว้ เขารู้สึกว่าร่างเล็กที่จมอยู่ในอ้อมแขนเขาตอนนี้ให้ความรู้สึกล้ำค่ายิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
‘ฉันเองก็ชอบนาย…’
‘…’
‘ฉันชอบนาย คิมมูรยอง…’
มูรยองใช้แขนโอบรอบเอวของฮวานยอง ก่อนจะซุกตัวเข้ากับแผ่นอกกว้างแล้วถูไถใบหน้าไปมา เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าหัวใจที่เต้นด้วยความเร็วเดียวกันกับของเขาจะให้ความรู้สึกน่าพึงพอใจได้ขนาดนี้
ทั้งคู่กอดกันอย่างนั้นอยู่อีกพักใหญ่ จนเช้าวันใหม่เริ่มสว่างขึ้นและความรู้สึกสุขล้นที่เคยถาโถมเข้ามาในใจได้แปรเปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกอื่น กระทั่งวินาทีหนึ่งที่รับรู้ได้ถึงอุณหภูมิร่างกายของกันและกันจากร่างกายที่แนบชิดจนชวนให้รู้สึกแปลก
พวกเขาทำเพียงแค่กอดกันอยู่อย่างนั้น ทว่าความปรารถนาแปลกๆ ก็คอยแต่จะผุดขึ้นมาในหัว ทั้งอยากจะสัมผัสกันต่ออีกนิด ใกล้ชิดกันให้มากขึ้นอีกหน่อย และเขาก็อยากจะจูบฮวานยองอีกสักครั้ง มูรยองขยับตัวไปมาพลางจัดท่าทางให้ดีเพราะความรู้สึกชวนจั๊กจี้ที่เพิ่งเคยรู้สึกเป็นครั้งแรกในชีวิต
และในจังหวะที่ต้นขาเสียดสีกันนั้นเอง พวกเขาผละออกจากอ้อมแขนของกันและกันแทบจะทันทีแบบไม่ต้องมีใครพูดอะไร ต่างฝ่ายต่างเบิกตาโตและมองหน้ากันด้วยใบหน้าที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ
‘…’
‘…’
บรรยากาศอันแสนโรแมนติกพลันแปลกไปในชั่วพริบตา สถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความประหม่าทำให้ทั้งคู่ไม่อาจพูดถึงเรื่องนั้นได้อย่างง่ายดายนัก
ระหว่างที่สายตาล่อกแล่กไปมาอย่างไม่รู้ว่าจะมองไปตรงไหน มูรยองก็เปิดปากพูดขึ้นอย่างอึกอัก
‘คือว่า…’
มูรยองหลุบสายตาลง แต่แล้วเขาก็ฝืนบังคับตัวเองให้มีสติเข้าไว้และเคลื่อนสายตาขึ้นอีกครั้ง พอเห็นฮวานยองสะดุ้งจนตัวโยน มูรยองก็พยายามเปลี่ยนเรื่องคุย
‘…ไปที่รถกันไหม’
หลังจากนั้นกว่าจะเดินไปถึงรถพวกเขาต่างทำตัวไม่ถูกจนเกิดเป็นระยะห่างระหว่างกันขึ้นมา ฮวานยองที่เดินนำไปก่อนคอยหันมามองเป็นพักๆ ว่ามูรยองเดินตามมาอย่างปลอดภัยดีหรือไม่ ในขณะที่มูรยองซึ่งเดินตามหลังมาก็ได้แต่พยายามทำให้แก้มสองข้างที่ร้อนผะผ่าวสงบลง
กระทั่งมาถึงจุดที่จอดรถทิ้งไว้ จู่ๆ ฮวานยองก็หันกลับมา เขาน่าจะปรับสีหน้ามาพอตัวระหว่างทางที่เดินมาจึงไม่ได้ดูสับสนเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว แต่แน่นอนว่าหูของเขาก็ยังคงร้อนผ่าวและแดงระเรื่ออยู่เหมือนเดิม
‘…งั้นเรามาคบกันไหม’
‘เอ่อ…’
ทันทีที่ได้ยินคำถามนั้นมูรยองก็ลังเลไปชั่วอึดใจหนึ่ง ไม่ใช่เพราะว่าไม่อยากคบ แต่เพราะเขาไม่เคยคิดไปถึงขั้นนั้นมาก่อน แต่ในเมื่อพวกเขาชอบกันและถึงขั้นจูบกันแล้ว ขั้นตอนต่อจากนี้มันก็น่าจะชัดเจน
‘อืม คบสิ’
เมื่อคิดได้ดังนั้นมูรยองจึงพยักหน้ารับอย่างนุ่มนวล น้ำเสียงของเขาตอนพูดคำว่า ‘คบ’ นั้นแปลกมากจนเขาเผลอยู่จมูกเล็กน้อยก่อนคลี่ยิ้มละไม ฮวานยองที่กำลังทอดสายตามองใบหน้าอีกฝ่ายจึงขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างข่มความเขินอายที่เพิ่งมารู้สึกได้ทีหลัง
‘…อืม’
แม้จะทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ แต่มูรยองก็มองออกว่าเขากำลังยิ้ม สังเกตได้จากมุมปากที่ยกขึ้นหรือลักยิ้มที่บุ๋มลึกลงบนแก้มข้างซ้าย มันเหมือนกับครั้งแรกที่ได้เห็นใบหน้ายามยิ้มของฮวานยองไม่มีผิด มูรยองได้แต่มองใบหน้านั้นจนสติหลุดไปพักใหญ่
และแล้วความสัมพันธ์ของทั้งสองก็เปลี่ยนไป มูรยองที่ไม่เคยชอบใครมาก่อนและไม่เคยได้สัมผัสกับความรักในแบบคนรักได้ลองเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่เรียกว่า ‘แฟน’ เป็นครั้งแรกในชีวิต
ปัญหาคือนี่ไม่ใช่แค่ครั้งแรกของมูรยอง แต่ยังเป็นครั้งแรกที่ฮวานยองได้ลองคบหากับใครสักคนเช่นกัน
‘…พวกนายทะเลาะกันเหรอ’
คนที่ถามคำถามนี้ขึ้นมาคนแรกคือมูยอน เธอกลับมาถึงรถและมองเข้าไปภายในห้องโดยสารที่มีเพียงความเงียบงันอันชวนให้กระอักกระอ่วนปกคลุมอยู่ ก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงงงๆ แน่นอนว่ามูรยองปฏิเสธ แต่บรรยากาศหลังจากนั้นก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนไป
สาเหตุนั้นธรรมดามาก พวกเขาชอบพอกัน และต่างคนต่างก็แน่ใจในความรู้สึกนั้นดี ทว่าพวกเขาต่างก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี จะทำเหมือนเช่นที่เป็นมาตลอดจนถึงตอนนี้ดีไหม หรือว่าบางอย่างควรจะเปลี่ยนไปให้มันพิเศษขึ้น นับจากวันนั้นเมื่อสายตาสบประสานกันเขาก็จะรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาจนไม่กล้ามองหน้าฮวานยองเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น
สองสัปดาห์หลังจากวันนั้น
มูยอนซึ่งกลับมาพักที่บ้านช่วงสั้นๆ ได้กลับหอพักไปแล้ว และแม่ของมูรยองก็อาสารับหน้าที่เป็นคนสอนวิธียิงธนูที่ฮวานยองเรียนมาจากมูยอนต่อให้ พอใช้เวลาแต่ละวันอย่างยุ่งวุ่นวายไปเรื่อยๆ การจะมีบทสนทนาอย่างจริงจังกับฮวานยองจึงหาโอกาสได้ยากขึ้นอีก
“พวกนายยังเป็นแบบนั้นกันอยู่อีกเหรอ”
หลังจบการฝึกรอบเช้า ซึงจูก็แวะมากินมื้อกลางวันด้วย เขารวบกอดเจ้าซอลกีที่วิ่งพุ่งเข้าใส่ได้อย่างคุ้นชินและมองดูคนทั้งคู่ที่นั่งอยู่ด้วยกันอย่างกระอักกระอ่วนพลางทำสีหน้าประหลาดชอบกล
“บรรยากาศแบบนี้นี่มันอะไรกันเนี่ย พวกนายนี่มันจริงๆ เลย…”
ซึงจูเป็นรายที่สามแล้วที่ถามพวกเขาว่าทะเลาะกันใช่ไหม (คนที่สองคือแม่ของมูรยอง) คิมมูรยองไม่มีทางทะเลาะกับใคร และดูท่าคีฮวานยองเองก็คงไม่มีทางโกรธคนอย่างคิมมูรยองด้วย พอคิดแบบนั้นก็เลยลังเลอยู่พักใหญ่และเพิ่งเอ่ยปากถามขึ้นมาเมื่อสองสามวันก่อน
“ไม่ใช่เด็กประถมกันแล้วนะ…คืนดีกันซะทีเถอะ”
“ก็ไม่ได้ทะเลาะกันนี่”
“ไม่ได้ทะเลาะแล้วทำไมพวกนายถึงได้เป็นแบบนี้”
ซึงจูขมวดคิ้วพลางเกาพุงให้เจ้าซอลกี มันนอนหงายท้องแลบลิ้นและหอบหายใจออกมาดังแฮกๆ
“แพ็กซอลกียังมองออกเลยว่าพวกนายเป็นแบบนั้น ใช่ไหมซอลกี”
อย่าว่าแต่มองออกเลย เวลานี้เจ้าซอลกีกลับตื่นเต้นกว่าใครเพื่อน ความจริงที่ว่าตอนนี้มีคนสามคนอยู่ในบ้านคือสถานการณ์ที่ใกล้เคียงคำว่า ‘สุดยอดมาก’ ในช่วงนี้
ระหว่างที่ซึงจูจับขาหน้าของเจ้าซอลกีและเล่นกับมันอยู่นั้น ประตูบ้านก็เปิดออก และแม่ของมูรยองก็เยี่ยมหน้าเข้ามา
“มูรยอง มาช่วยแม่ยกของออกจากห้องเก็บของหน่อยได้ไหมลูก”
“เอ่อ…เดี๋ยวผมช่วยเองครับ”
ก่อนที่มูรยองจะทันได้ตอบ ฮวานยองก็รีบผุดลุกขึ้น อาจเพราะคิดว่าตัวเองติดหนี้บุญคุณมูรยองอยู่ ฮวานยองจึงมักจะอาสาขึ้นมาเองหากมีอะไรที่ช่วยได้
แกร๊ก
ประตูบ้านปิดลง เสียงตัวล็อกอัตโนมัติทำงานดังติ๊ด ก่อนที่ทั่วทั้งห้องนั่งเล่นจะเงียบสนิท มีเพียงเสียงฟาดหางกับพื้นดังป้าบๆ ของเจ้าซอลกีที่กำลังคึก
“…นี่ ซึงจู”
มูรยองกลอกตาครุ่นคิดก่อนเอ่ยปากขึ้นเบาๆ ซึงจูพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้พูดมาโดยที่ยังคงใช้มือลูบตัวเจ้าซอลกีไม่หยุด
“ฉันคบกับคีฮวานยองอยู่”
“งั้นเหรอ”
ซึงจูเอ่ยรับคำที่จู่ๆ มูรยองก็โพล่งออกมาอย่างไม่ยี่หระพลางคิดในใจว่าคิมมูรยองคงต้องพูดจาเพ้อเจ้ออีกแล้วแน่ แต่แล้วเขาก็เหมือนจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาพลันหยุดการเคลื่อนไหวและหันขวับไปมองมูรยองทันที
“…ว่าไงนะ”
“ฉันบอกว่าฉันกำลังคบกับคีฮวานยองอยู่”
มูรยองกอดเข่าทั้งสองข้างพลางพึมพำออกมา แม้เสียงจะฟังดูอู้อี้ แต่เนื้อความกลับถูกถ่ายทอดออกมาอย่างชัดเจน ซึงจูได้แต่กะพริบตาอย่างตะลึงงัน ก่อนจะถามออกมาเสียงดังราวกับตะโกน
“นี่นายชอบคีฮวานยองเหรอ”
ฮวานยองกับแม่ที่กำลังเดินผ่านหน้าต่างบานใหญ่ในตอนนั้นพอดีพลันหันมองเข้ามาด้านใน ทำเอามูรยองต้องรีบรั้งคอซึงจูเข้าหาตัวแล้วอุดปากอีกฝ่ายเอาไว้ ทั้งคู่ไม่น่าจะได้ยินเพราะตัวบ้านเก็บเสียงได้ดี แต่เขาก็ทำลงไปเพราะกลัวไปก่อนเอง
“อุ๊บ…!”
มูรยองที่ออกแรงกดซึงจูที่ดิ้นขัดขืนอยู่หัวเราะแหะๆ ให้คนทั้งสองนอกหน้าต่าง แม่ของเขาละความสนใจไปอย่างรวดเร็วและเดินผ่านไป แต่ไม่รู้ทำไมฮวานยองถึงได้มุ่นคิ้วและหันกลับมามองพวกเขาอีกสองสามหน
จนกระทั่งมองไม่เห็นพวกเขาแล้ว มูรยองถึงได้ยอมปล่อยซึงจูออก
“…เฮือก! โว้ย เล่นบ้าไรเนี่ย! ฉันเกือบตายเลยนะ”
ซึงจูหอบหายใจพลางนิ่วหน้า เขารู้สึกเหมือนจะถูกคิมมูรยองที่แรงเยอะเกินมนุษย์พรากชีวิตไปแล้วจริงๆ
“โทษที ก็ฉันตกใจนี่นา…”
มูรยองเอ่ยคำขอโทษด้วยสีหน้าเจื่อนๆ ซึงจูจึงนิ่วหน้าหนักกว่าเก่าพลางบอกว่า “คนที่ควรต้องตกใจมันฉันหรือนายกันแน่ฮะ” เขาพยายามปรับลมหายใจให้เป็นปกติอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถามด้วยสีหน้าจริงจังขึ้นกว่าเดิม
“…สรุปแล้วนายชอบคีฮวานยองจริงๆ น่ะเหรอ”
“เดี๋ยวนะ เวลานี้เรื่องนั้นมันสำคัญหรือไงกัน”
ทำไมถึงได้สงสัยในความรู้สึกของฉันขนาดนี้กันนะ ทีกับฮวานยองล่ะ ทำไมไม่ถามหมอนั่นบ้างว่าชอบฉันหรือเปล่า
“สำคัญสิ”
ซึงจูตอบกลับอย่างจริงจัง ตามด้วยคำพูดที่มูรยองเคยได้ยินมาแล้วครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้
“ก็นายเล่นชอบคนอื่นไปทั่วเลยนี่”
มูรยองซึ่งได้ยินคำพูดดังกล่าวเป็นหนที่สองได้แต่ขยับปากขมุบขมิบด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อและเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม เขานึกอยากจะเถียงกลับไปเสียเดี๋ยวนั้น ถ้าเพียงแต่สีหน้าเป็นห่วงจะไม่ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซึงจูเสียก่อน
“…ระดับความน่าเชื่อถือของฉันมันต่ำขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ความน่าเชื่อถือสักหน่อย…”
ซึงจูขมวดคิ้วมุ่น ถ้าเป็นความเชื่อถือที่เขามีต่อคิมมูรยอง ไม่ว่าจะในแง่ไหนมันก็คือที่สุดเสมอ แต่ซึงจูก็เชื่ออย่างหนักแน่นเช่นกันว่าคิมมูรยองที่เป็นคนฉลาดนั้นจะเกิดทึ่มขึ้นมาทันทีเมื่อเป็นเรื่องความรักความชอบที่คนอื่นมีต่อตัวเอง
“คงต้องบอกว่ามันเป็นภาพเดียวกับที่เวลามีใครมาบอกว่าชอบนาย นายก็จะตอบกลับไปแบบไม่ดูตาม้าตาเรือว่า ‘ฉันเองก็ชอบเธอเหมือนกัน’ ประมาณนั้นล่ะมั้ง…”
ความจริงแล้วซึงจูก็เคยเห็นมูรยองทำให้อีกฝ่ายผิดหวังกลับไปด้วยวิธีคล้ายๆ กันนั้นอยู่สองสามหน ถึงมูรยองจะไม่ได้มีเจตนาร้ายและมีความรับผิดชอบต่อความรู้สึกของอีกฝ่ายเพราะไม่ได้บอกความรู้สึกของตัวเองให้ชัด แต่ถึงอย่างไรมูรยองก็ดูจะเป็นแฟนที่ไม่ได้เรื่องสักเท่าไหร่
“แล้วพออีกฝ่ายถามว่า ‘ถ้างั้นเรามาคบกันไหม’ นายก็จะมานึกได้เอาตอนนั้นแหละว่า ‘อ๋า นี่ฉันโดนสารภาพรักอยู่เหรอเนี่ย’ ”
“…”
มูรยองได้แต่มุ่นคิ้วเพราะไม่อาจโต้แย้งอะไรออกไปได้ สมกับเป็นซอซึงจูจริงๆ ที่รู้เรื่องเกี่ยวกับเขาอย่างทะลุปรุโปร่งแบบนี้ แต่แน่นอนว่ามูรยองก็ไม่ใช่คนใจอ่อนขนาดที่จะไม่กล้าปฏิเสธคำสารภาพรัก
“ฉันดูเหมือนคนที่จะคบกับใครไปเรื่อยเปื่อยขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ”
หนนี้ซึงจูก็ยังคงส่ายหน้า โดยพื้นฐานแล้วมูรยองเป็นคนสุภาพนุ่มนวล แต่เวลาที่เด็ดขาดขึ้นมาเขาก็หนักแน่นเกินใคร ถ้าเกิดรู้ตัวว่าอีกฝ่ายกำลังสารภาพรัก เขาก็จะปฏิเสธด้วยคำพูดคำจาที่อ่อนโยนกว่าใครอย่างแน่นอน
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ซึงจูก็เดาะลิ้นด้วยสีหน้าที่ยังไม่คลายความตกใจ
“บ้าน่า…นี่นายกำลังคบกับคีฮวานยองอยู่จริงดิ?”
“ก็บอกว่าคบกันอยู่นี่ไง…”
มูรยองใช้มือข้างหนึ่งบังหน้าเอาไว้ในขณะที่หูเริ่มแดงเรื่อ พอเห็นท่าทางเขินอายของเพื่อนแล้วซึงจูก็ขนลุกจนตัวสั่นด้วยความรับไม่ได้ไปเองตามนิสัย เขาไม่ได้อยากจะรู้เรื่องราวชีวิตรักของไอ้คนที่เหมือนคนในครอบครัวคนนี้เลยจริงๆ
“…แต่ก็ฟังดูเจ๋งดีแฮะ สุดท้ายคีฮวานยองก็เป็นฝ่ายมาสารภาพสินะ?”
ทีแรกเขาคิดว่าฮวานยองจะลังเลใจด้วยความที่เป็นผู้ชายด้วยกัน แต่สุดท้ายหมอนั่นก็คว้าคิมมูรยองไปจนได้ ถ้าพวกคนที่แอบรักมูรยองข้างเดียวมาจนถึงตอนนี้รู้เรื่องเข้าคงได้ขุ่นเคืองในความไม่ยุติธรรมนี้กันน่าดู
“เปล่านะ ฉันต่างหากเป็นคนสารภาพ”
“…ฮะ?”
มูรยองดันตอบกลับมาอย่างหน้าตาเฉยว่าคนที่สารภาพรักไม่ใช่คีฮวานยอง แต่เป็นตัวเขาเอง ก่อนจะตัดสินใจถามในสิ่งที่สงสัยมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้
“ว่าแต่ทำไมนายถึงไม่ตกใจที่คีฮวานยองชอบฉันเลยล่ะ”
“ทำไมน่ะเหรอ…”
ซึงจูยู่หน้าราวกับจะถามว่า ‘พูดอะไรไร้สาระ ยังจำเป็นจะต้องอธิบายอีกเหรอ’ สีหน้าเขาบอกชัดเจนว่ากำลังคิดอย่างนั้น
“ก็หมอนั่นแสดงออกชัดจะตายว่าชอบนาย”
“ชอบฉันเนี่ยนะ”
มูรยองเบิกตาโต ในขณะที่ซึงจูยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร
“ก็คีฮวานยองเข้าหานายด้วยความรู้สึกเหมือนคว้าเชือกเอาไว้ แล้วนายก็ช่วยแก้ไขปัญหาให้หมอนั่นได้ไม่ใช่หรือไง”
ซึงจูรู้ดีว่ามูรยองคงกังวลเรื่องนั้นอยู่หลายต่อหลายวัน มูรยองไม่เคยเล่าเกี่ยวกับงานที่เขารับมา แต่ถ้าคอยมองดูอยู่ใกล้ๆ ต่อให้ไม่อยากรู้ก็จะรู้จนได้เอง
“ใครๆ ก็หลงรักคนที่ยื่นมือมาช่วยในวันที่กำลังอ่อนแอกันทั้งนั้นแหละ”
เพราะอย่างนั้นซึงจูจึงพูดออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจ แต่แล้วเขาก็จำต้องรีบพูดเสริมอย่างหน้าตาตื่นทันที
“แต่ฉันไม่ได้หมายความว่าหมอนั่นชอบนายเพราะแค่เรื่องนั้นหรอกนะ…”
“อืม ฉันเข้าใจ”
มูรยองยิ้มสดใส ดวงตาที่โค้งลงเหมือนพระจันทร์ครึ่งดวงนั้นหยียิ้มอย่างขี้เล่น
“ถ้าชอบเพราะเรื่องนั้น ป่านนี้เพื่อนๆ ที่มาจ้างงานก็คงชอบฉันกันหมด”
“…”
ความจริงแล้วคงต้องบอกว่าในบรรดาคนพวกนั้นมีประมาณแปดในสิบเห็นจะได้ที่หวั่นไหวกับมูรยอง แต่ถึงอย่างนั้นซึงจูก็ไม่ได้พูดออกไป เพราะขืนบอกให้รู้ก็มีแต่จะทำให้มูรยองรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเปล่า
“ว่าแต่นายมาบอกฉันเรื่องนี้ทำไม”
ซึงจูเปลี่ยนเรื่องพลางลูบตัวเจ้าซอลกีที่เริ่มจะคล้อยหลับไปโดยไม่ทันรู้ตัว อาจเพราะมันอายุมากแล้ว แม้จะยังมีแรงเล่นอย่างล้นเหลือ แต่บ่อยครั้งพอถึงจุดหนึ่งมันก็จะลงมานอนแผ่กับพื้น ภาพของมันดูเหมือนก้อนต๊อกที่ถูกปิ้งอยู่บนเตาจนกลายเป็นสีเหลืองแก่ไม่มีผิด
“ปกติแล้วนายจะไม่เล่าอะไรขึ้นมาเฉยๆ นี่”
ซึงจูรู้จักคิมมูรยองดี และในทางกลับกันมูรยองเองก็รู้จักซึงจูดีเช่นกัน ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าซึงจูไม่ได้สนใจเรื่องราวความรักของพวกเขา ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องบอกเลยด้วยซ้ำ
“เรื่องนั้น ความจริงแล้ว…”
ตามคาด มูรยองยอมเปิดปากบอกด้วยสีหน้าประหม่าพร้อมกับดวงตาอ่อนโยนของเขาที่ลู่ตกลงหนักกว่าเก่า
“ฉันไม่รู้ว่าควรทำตัวยังไงดีเวลาอยู่กับหมอนั่นน่ะสิ”
นั่นคือเรื่องกลัดกลุ้มที่มูรยองยังคิดไม่ตก เขารู้สึกดีมากที่ได้คบกับฮวานยอง ถึงจะพยายามทำตัวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ความจริงข้อหนึ่งก็มักจะโผล่เข้ามาในหัวบ่อยๆ เพราะอย่างนั้นเวลาคนในบ้านถามว่าพวกเขาทะเลาะกันอยู่เหรอ เขาถึงได้ทั้งรู้สึกผิดและอึดอัดใจ
“นายเองก็เคยมีแฟนนี่ ซึงจู”
“ใช่ซะที่ไหนล่ะ ตอน ม.ต้น นั่นฉันแค่โดนพวกเพื่อนแซวเล่นเฉยๆ ต่างหาก…”
ซึงจูไม่อาจซ่อนสีหน้าตกตะลึงอย่างที่หาดูได้ยาก
คนอย่างคิมมูรยองมาปรึกษาเรื่องการมีแฟนเนี่ยนะ
เรื่องแบบนี้ให้ความรู้สึกแปลกเสียยิ่งกว่าการที่มูรยองมาปรึกษาเรื่องการปราบผีเสียอีก เพราะเขาไม่เคยจินตนาการว่ามูรยองจะคบกับใครมาก่อนเลย และถึงแม้มูรยองจะคบกับใครขึ้นมาจริงๆ เขาก็คิดว่ามันน่าจะไปได้สวยด้วยความสามารถในการเข้าสังคมแบบเฉพาะตัวของมูรยองเอง
“…แค่ทำตัวปกติก็ได้ไม่ใช่หรือไง”
พอซึงจูถาม มูรยองก็ทำสีหน้าลำบากใจ ก่อนจะอธิบายอย่างช้าๆ ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูจริงจัง
“อย่างแรกเลยคือ…พอตั้งใจจะทำตัวตามปกติเวลาอยู่ด้วยกันแล้ว ฉันก็จะรู้สึกคาใจแปลกๆ จนทำอะไรไม่ถูก”
แม้ปากจะบอกแบบนั้น แต่ในความเป็นจริงแม้แต่สีหน้าเฉยเมยเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรที่เจ้าตัวคอยรักษาเอาไว้มาตลอดยังพังครืนลงมาอย่างหมดรูป พอเห็นเขาที่เป็นแบบนั้นแล้ว ซึงจูก็เพิ่งจะได้รู้ซึ้งว่า ‘เจ้านี่มันชอบคีฮวานยองจริงๆ ด้วยแฮะ’
“อีกอย่างฉันคิดว่ามันน่าจะต้องมีอะไรต่างไปจากก่อนหน้านี้สิ…”
มูรยองเว้นช่วงท้ายประโยคไว้ครู่หนึ่งพร้อมกลอกตาไปมา ก่อนจะหรี่ตาข้างหนึ่งลงเล็กน้อยและพูดเสริมเหมือนทอดถอนใจ
“เพราะหมอนั่นน่ะพูดเหมือนนายเลย”
“พูดว่า?”
“ก็นายเล่นชอบคนไปทั่วเลยไม่ใช่หรือไง”
มูรยองลดเสียงให้เบาลงเลียนแบบฮวานยอง ซึงจูได้ฟังดังนั้นก็ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่
ฮวานยองกล้าพูดแบบนั้นต่อหน้ามูรยองเลยเหรอเนี่ย หมอนั่นก็เอาเรื่องอยู่เหมือนกันแฮะ
“ฉันต้องทำตัวดีเป็นพิเศษ ฮวานยองถึงจะเชื่ออย่างนั้นใช่ไหม”
“…อืม ก็เป็นความคิดที่ดีอยู่นะ”
แม้จะดูสบายๆ กับทุกเรื่อง แต่มูรยองใส่ใจอย่างมากในเรื่องความสัมพันธ์กับผู้คน ซึงจูนึกไว้แล้วว่าถ้าพวกเขาคบกันขึ้นมาจริงๆ ความพยายามของคีฮวานยองจะประคับประคองให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาไปต่อได้อย่างสบายๆ แต่แบบนี้ก็นับว่าเป็นความสัมพันธ์ที่เสมอภาคกันดี
“อืม…”
สีหน้าซึงจูดูเคร่งเครียดราวกับกลัดกลุ้มเรื่องของตัวเอง โดยมีมูรยองนั่งเอาคางเกยอยู่บนเข่าด้วยใบหน้ามุ่ยๆ อยู่ข้างๆ ความเงียบงันไหลผ่านไปพักหนึ่ง ก่อนที่เสียงอุทานจะดังลอดออกมาจากปากของซึงจู
“งั้นลองเริ่มจากเปลี่ยนชื่อเรียกดูก่อนไหมล่ะ”
“ชื่อเรียก?”
“อือ ก็นายเรียกหมอนั่นว่า ‘คีฮวานยอง’ ทื่อๆ แบบนี้มาตลอดเลยไม่ใช่หรือไง”
แน่นอนว่าน้ำเสียงที่เอ่ยเรียกอีกฝ่ายของมูรยองไม่ได้ฟังดูแข็งกระด้าง ซึงจูเพียงแค่อธิบายให้เห็นภาพเท่านั้น ด้วยความที่คีฮวานยองเองก็เป็นคนค่อนข้างเรียบง่าย เขาเลยคิดว่าเจ้าตัวน่าจะชอบหากมีความเปลี่ยนแปลงแม้เพียงเล็กน้อยเกิดขึ้น
“เลิกเรียกแบบนั้นได้แล้ว…เวลาเรียกนายก็หัดใส่ความรักเพิ่มเข้าไปอีกสักหน่อยสิ”
ใบหน้าของซึงจูตอนพูดคำว่า ‘ความรัก’ นั้นย่นยู่แบบแซวๆ จากนั้นเขาก็พูดต่ออย่างหนักแน่นแม้จะมีสีหน้าแหยงๆ ก่อนจะพยักหน้าหงึกๆ ด้วยความจริงจัง
“ลองเรียกหมอนั่นว่า ‘ฮวานยองอา’ สิ”
โปรดติดตามตอนต่อไป…