ทดลองอ่าน ตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามี เล่ม 1 บทที่ 13-14 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามี เล่ม 1 บทที่ 13-14 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่านเรื่อง  ตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามี เล่ม 1

ผู้เขียน :  ลวี่เหยี่ยเชียนเฮ่อ (绿野千鹤)

แปลโดย :  qMondae

ผลงานเรื่อง : 再少年 (Zai Shao Nian)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – – 

Trigger Warning

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

   

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

         

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 13

ลงแดง

 

หมิงเยี่ยนถูกโอบคอก็ไม่รู้สึกรำคาญ กลับกันเขาอาศัยแรงดึงนี้โน้มตัวลงไปมากกว่าเดิม

ใบหน้าที่มีองคาพยพประณีตงดงามถึงที่สุดค่อยๆ ขยับเข้ามาประชิด เป็นครั้งแรกที่ลู่อวี๋ได้มองตาหมิงเยี่ยนอย่างละเอียด ไม่รู้ทำไมข้อมูลที่เคยรีเสิร์ชสมัยตอนเขียนนิยายจู่ๆ ก็ผุดเข้ามาในหัวเขา ‘บริเวณที่เปลือกตาบนล่างมาบรรจบกันตรงหัวตา เรียกว่ามุมหัวตาด้านใน’ ดวงตาของหมิงเยี่ยน ตรงมุมหัวตาด้านในมีมุมตะขอเล็กๆ ที่แหล็มคม ดูเหมือนจะงอยปากของนกกระจอก ตาสองชั้นตรงหางตาก็เชิดขึ้น นัยน์ตาสีดำกลมโตและสว่างไสว มันทำให้ดวงตาทั้งดวงประดุจนกติ๊ดกางปีกเตรียมโบยบิน

นกติ๊ดนี้นำมาซึ่งกลิ่นหวานสดชื่นของแมกไม้ใบหญ้า มันโชยเข้ามาแตะจมูกของเขาตรงๆ ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดใบหน้าชื้นเหงื่อของลู่อวี๋ ทำให้เม็ดเหงื่อที่เกาะแก้มเดือดพล่าน

หัวใจลู่อวี๋เต้นรัวเหมือนตีกลองจนแทบจะกระเด็นหลุดออกจากอก ทั้งเนื้อทั้งตัวล่องลอยเหมือนอยู่ในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วง

ทันใดนั้นหมิงเยี่ยนพลันยันสองมือค้ำเครื่องซิตอัพ หยุดเว้นระยะห่างจากลู่อวี๋ไม่กี่เซนติเมตร เอ่ยพูดอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “ฝันไปเถอะ”

จากนั้นเขาลุกขึ้นอย่างไร้เยื่อใย พร้อมดึงตัวลู่อวี๋ที่นอนเผละเป็นโคลนขึ้นมาแล้วลากออกไปด้วยกัน

ลู่อวี๋ถูกแหย่จนโง่งมไปแล้ว เขาถูกลากออกจากห้องฟิตเนสทั้งที่ตัวแข็งทื่อ เดินโงนเงนเข้าลิฟต์ เหม่อลอยออกจากบริษัท กระทั่งถูกจับยัดเข้ารถถึงเพิ่งกลับมามีสติ เอ่ยว่า “พี่เสียคนแล้ว สมัยเรียนไม่ได้เป็นแบบนี้นี่”

หมิงเยี่ยนสตาร์ตรถอย่างอารมณ์ดี หมุนล้อออกจากลานจอดรถ “นายยังไม่เคยคบกับฉันสักหน่อย รู้ได้ยังไงว่าฉันเป็นคนแบบไหน”

ลู่อวี๋ส่งเสียงเหอะ พลันรู้สึกทะแม่งๆ ครุ่นคิดประโยคนั้นโดยละเอียด “พูดแบบนี้ พี่เคยคบกับลู่ต้าอวี๋เหรอ”

ไม่รู้ความคิดของเจ้าหมอนี่กระโดดข้ามมาถึงตรงนี้ได้ยังไง หมิงเยี่ยนเลิกคิ้ว ไม่ตอบคำถาม

ลู่อวี๋เห็นเขาเป็นแบบนี้ก็ระริกระรี้ขึ้นมาทันที ยกหมัดซ้ายชนฝ่ามือขวาอย่างมั่นใจ “ต้องเคยคบแน่ ชิ! ชีวิตส่วนตัวของเจ้าลู่ต้าอวี๋ดีขนาดนี้แล้วยังไม่พอใจ เขายังต้องการอะไรอีก”

หมิงเยี่ยนตามน้ำไปหนึ่งที “นั่นสิ” จากนั้นก็ตลกตัวเอง

“คบกันตอนไหนครับ สมัยเรียนมหา’ลัยเหรอ” ลู่อวี๋มองหมิงเยี่ยนที่หัวเราะจนตาหยี นกติ๊ดแสนสวยสองตัวนั้นกำลังกระพือปีก สะกิดลงมาที่หัวใจของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า มันจั๊กจี้ยุบยิบ จนอดถามคะยั้นคะยอไม่ได้

“นับว่าใช่มั้ง” รอยยิ้มของหมิงเยี่ยนจางลงเล็กน้อย เขาชำเลืองมองลู่เสี่ยวอวี๋ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความกระหายใคร่รู้ “ถามเยอะขนาดนั้นทำไม สปอยล์เยอะเกินเดี๋ยวนายกลับไปก็ไม่เหลือความตื่นเต้นหรอก”

“ผมนี่แหละชอบการสปอยล์ ปกติตอนอ่านนิยายผมจะไปอ่านตอบจบก่อน จากนั้นก็ทำเหมือนตัวเองเป็นตัวเอกที่เกิดใหม่” ลู่อวี๋พูดจ้อไปเรื่อย มองหมิงเยี่ยนด้วยสายตาเร่าร้อน “เล่าเรื่องหลังจากนั้นให้ผมฟังหน่อยสิครับ กลับไปผมจะได้ลองดูว่ามีวิธีแก้ไขปัญหาที่ดีกว่านี้หรือเปล่า”

หมิงเยี่ยนเม้มปาก เงียบไปหลายวินาทีแล้วถึงถอนหายใจเบาๆ “เคยคบกันสั้นๆ หลังจากนั้นก็เลิกกัน เป็นเรื่องตั้งแต่สมัยวัยรุ่นแล้ว จากนั้นก็ไม่ได้เจอกันเลยหลายปี ตอนนี้พวกเราเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกัน เหมือนนายกับเหล่าหยางน่ะ อย่าไปคิดเยอะขนาดนั้นเลย”

“เหมือนเหล่าหยางกับผีสิ” ลู่อวี๋ลองเอาเจ้าหัวล้านเหล่าหยางมาแทนที่บทบาทของหมิงเยี่ยนแล้วชาวาบไปทั้งตัว ถ้าเหล่าหยางขยับเข้ามาใกล้แกล้งทำเป็นจะจุ๊บเขา เขาต้องต่อยเจ้านั่นจนนอนให้น้ำเกลือดูแลตัวเองไม่ได้แน่นอน

หมิงเยี่ยนเหลือบมองลู่อวี๋ที่ทำหน้าอย่างกับกินแมลงวันเข้าไปก็อดหัวเราะไม่ได้ เด็กน้อยนี่มันแกล้งสนุกจริงๆ

 

ไม่กี่อึดใจก็มาถึงโรงจอดรถของบ้าน ส่วนลู่อวี๋นั้นเพิ่งหลุดพ้นจากเงาดำมืดของ ‘จุ๊บๆ ของเหล่าหยาง’ ได้

เวลาหมิงเยี่ยนจอดรถจะจอดเว้นระยะห่างกับรถเบนต์ลี่ย์หนึ่งช่อง จะได้ลงจากรถสะดวก

ลู่อวี๋ก้าวลงจากรถเดินไวๆ ไปเปิดประตูบ้านให้หมิงเยี่ยนอย่างขยันขันแข็ง เขาไม่กล้าถามว่าทำไมพวกเขาสองคนถึงเลิกกันเพราะกลัวว่าจะทำลายบรรยากาศการพูดคุยดีๆ จึงเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่น “ตอนพวกพี่สองคนคบกัน ลู่ต้าอวี๋เรียกพี่ว่าอะไรเหรอ ที่รัก? เบบี๋?”

“เรียกรุ่นพี่” หมิงเยี่ยนถลึงตามองเขาอย่างไม่สบอารมณ์นัก แล้วถือโอกาสย้ำเตือนเขาให้เคารพผู้อาวุโสไปด้วย

“จิ๊ ไม่สร้างสรรค์ขนาดนั้นเลยเหรอ” ลู่อวี๋บึนปาก แต่คิดดูแล้วถ้าตัวเองจีบหมิงเยี่ยนติดตอนเรียนมหาวิทยาลัย ก็คงไม่ใจกล้าเรียกด้วยคำเสี่ยวๆ แบบนี้แน่ หมิงเยี่ยนในตอนนั้นสูงส่งเย่อหยิ่งเกินไป “งั้น…จากนี้ผมเรียกพี่ว่าพี่เยี่ยนนะ โอเคไหมครับ”

เขาต้องขีดเส้นแบ่งระหว่างเขากับลู่ต้าอวี๋

คำเรียกนี้อีกแล้ว ตอนเช้าที่อีกฝ่ายให้เขาช่วยผูกเนกไทก็เรียกเขาแบบนี้ ไม่รู้ทำไมเวลาลู่เสี่ยวอวี๋เรียกแบบนี้ มันฟังแล้วไม่เหมือนกับ ‘พี่ X’ ‘คุณพี่ X’ ที่เรียกกันในสนามการทำงานเลยสักนิด พี่เยี่ยนของเขาติดหางเสียงออดอ้อนออเซาะและเจือไปด้วยความเอาแต่ใจ น่าฟังมากๆ

หมิงเยี่ยนรับคำในลำคออย่างไม่คัดค้านแต่ก็ไม่ได้เห็นด้วย แล้วหมุนตัวเดินเข้าลิฟต์ โดยมีลู่อวี๋เดินเตาะแตะตามไป

ในลิฟต์ไม่มีใครอยู่เลย ลู่อวี๋หันซ้ายแลขวาแล้วพลันยกมือข้างหนึ่งขึ้นยันผนัง ขังหมิงเยี่ยนไว้ในอ้อมแขน “พี่เยี่ยน ผมไม่รู้หรอกนะว่าจะได้กลับไปเมื่อไหร่ ก่อนจะถึงตอนนั้นพี่มีอะไรอยากให้ผมทำหรือเปล่า สิ่งที่ลู่ต้าอวี๋ทำไม่ได้ ผมสามารถทำให้พี่ได้หมดเลย”

หมิงเยี่ยนมองเจ้าเด็กซนที่มาทำท่าคาเบะด้ง* เลียนแบบผู้ใหญ่ น้ำเสียงแข็งกระด้าง คำพูดคำจาแสนเชย ก็อดหัวเราะในลำคอไม่ได้ “หย่า”

“อันนี้ยังไม่ได้” ลู่อวี๋ส่ายหน้า “ผมต้องทำความเข้าใจสถานการณ์ให้ชัดเจนก่อนว่าตกลงพวกพี่สองคนมีเรื่องอะไรกันแน่แล้วค่อยว่ากัน มีอย่างอื่นไหมครับ”

หมิงเยี่ยนมองลู่อวี๋ที่มีท่าทีจริงจัง ครุ่นคิดก่อนเอ่ย “ฉันอยากได้เงิน เงินเยอะๆ”

ลู่อวี๋ชะงักไปชั่วครู่ คิดยังไงก็คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นคำตอบนี้ ก่อนพยักหน้าอย่างจริงจัง “ผมจะพยายาม”

มองหนุ่มน้อยที่มุ่งมั่นตั้งใจตรงหน้าแล้ว หมิงเยี่ยนหมายจะยื่นมือออกไปขยี้หัวของเขา ก่อนพบว่าผมของอีกฝ่ายเปียกชื้นเหงื่อจนผมเกาะเป็นกระจุกๆ จึงดึงมือกลับมา ยกเท้าก้าวเดินออกจากลิฟต์ “อย่าคิดเยอะเกินไป ตอนนี้นายยังเป็นผู้ป่วยอยู่”

“ผมไม่ได้ป่วยนะ!” ลู่อวี๋ปฏิเสธทันควัน แล้วมารู้สึกตัวทีหลังว่ายิ่งพูดแบบนั้นยิ่งเหมือนผู้ป่วยทางจิต โชคดีที่ไม่มีเพื่อนบ้านขึ้นลิฟต์มาด้วย เขากระแอมแห้ง “โอเค โรคทะลุมิติก็เป็นโรคเหมือนกัน ถ้าไม่ได้จริงๆ ก่อนไปผมจะเซ็นหนังสือหย่า ยกทรัพย์สินทั้งหมดให้พี่ ให้เจ้าลู่ต้าอวี๋หมดตูดตัวเปล่าออกจากบ้านไปเลย”

หมิงเยี่ยนใส่สมองอัจฉริยะเข้าไปในลูกโป่งท่านประธาน “ได้ที่ไหนกันล่ะ”

ลูกโป่งท่านประธานลอยขึ้นมา กอดอก “ความคิดเด็กน้อย!”

“เอ๋?” ลู่อวี๋ยกมือขึ้นคว้าเจ้าคนรอง “เจ้าหนู แกดูกระดูกกระเดี้ยวแข็งแรงดีนี่ เหมาะมาทำงานกับปะป๊ามากเลย ไปกัน”

“ปล่อยฉันนะ นายยังไม่อาบน้ำเลย ในมือมีแต่กลิ่นเหงื่อเหม็นโฉ่” น้องคนรองกรีดร้อง

 

สุดท้ายลู่อวี๋ก็ไปอาบน้ำแล้วหอบลูกชายทั้งสองไปทำงานเป็นเพื่อนเขาในห้องหนังสือ

นิยายที่อ่านไปตอนบ่ายวันนี้เขาจำใส่สมองไว้แล้ว เขาได้ไอเดียคร่าวๆ แล้วว่าจะปรับแก้ฮวาเหวินหย่วนยังไง แต่ยังต้องขอคำแนะนำจากลูกคนโตกับคนรองผู้มีประสบการณ์ก่อน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่ล้าหลังไปสิบปี ยังเข้าใจเรื่องการฝึกเอไอกับการสร้างสมองอัจฉริยะไม่ถึงแก่นพอ

ก่อนหน้านั้นเด็กสองคนนี้ต่างถูกแก้ไขข้อมูลโดยตรง อัพโหลดข้อมูลเรื่องราวของพวกเขาเข้าไปในระบบ จำลองคาแร็กเตอร์ที่เหมาะสมออกมาสู่โลกแห่งความจริง แล้วทำการฝึกการสนทนามายาวนานหลายปี

แต่การแก้ไขข้อมูลสำหรับเครื่องจำลองครั้งนี้ต้องเข้าไปในโลกของเรื่องราวนั้นโดยตรง อันที่จริงทำแบบนี้ประสิทธิภาพจะดีกว่าแต่ก็ยุ่งยากกว่ามาก สิ่งสำคัญคือจะทำยังไงให้ตัวละครในโลกจำลองเข้าใจสิ่งที่เกี่ยวกับสมองอัจฉริยะ และยินดีจะมาเป็นสมองอัจฉริยะในโลกความเป็นจริง

แผนงานที่ลู่ต้าอวี๋เขียนมีความเป็นไปได้อยู่ระดับหนึ่ง แต่ว่าห่วยมาก ความคิดของเขาคือปั้นโมเดลสมองอัจฉริยะพกไปยังโลกยุคโบราณด้วย แสร้งทำเป็นว่ามันคือวัตถุศักดิ์สิทธิ์จากสวรรค์ เอาให้ฮวาเหวินหย่วนไปใช้ให้ชิน บทบาทของลู่ต้าอวี๋เมื่อเข้าไปในโลกนั้นก็ยังจัดการไม่เรียบร้อย บทบาท ‘ราชครูผู้มาจากต่างโลก’ อะไรนั่น

ลู่อวี๋นึกถึงภาพอันผิดแปลกนั่นแล้วก็ส่ายหัว นี่จะทำให้ผลลัพธ์ของไลฟ์ยิ่งออกมาดูแย่มากๆ ถ้าได้ดูลู่ต้าอวี๋เอาแต่สาดคำศัพท์เทคนิคใส่ฮวาเหวินหย่วนอย่างกับเรียนออนไลน์ทั้งวัน ต่อให้สามารถปรับแก้ให้เป็นผู้ช่วยสมองอัจฉริยะได้สำเร็จ คนดูก็คงหนีหายไปหมดแล้ว

เป้าหมายที่สำคัญที่สุดของไลฟ์เครื่องจำลองไม่ใช่การปรับแก้ฮวาเหวินหย่วน แต่เป็นการทำให้ผู้ชมรู้สึกสนอกสนใจในการผลิตผู้ช่วยคนใหม่คนนี้ จากนั้นก็ขายอย่างเต็มที่

เขาโยนแผนงานของลู่ต้าอวี๋ทิ้งไปแล้วเปิดไฟล์ขึ้นมาใหม่ พิมพ์ ‘แต่กๆๆ’ เร็วจี๋ หลังเขียนร่ายไปเต็มๆ สองหน้ากระดาษก็รู้สึกไม่เข้าใจเนื้อเรื่องเล็กน้อย เลยติดแหง็กอยู่ตรงนั้น เขาหยุดคิดครู่หนึ่ง

ในตอนนี้เองก็ตระหนักได้ว่าขาดอะไรไป เขาทรมานไปทั้งตัว มือซ้ายยื่นออกไปด้านข้างตามความทรงจำของกล้ามเนื้ออย่างไม่รู้ตัว ตรงนั้นไม่มีอะไรวางอยู่ เป็นแค่โต๊ะผิวสัมผัสแบบหนังที่มีรอยบุ๋มลงไปหนึ่งจุด

รอยนั้นทั้งลึกและกลม รอยสองฝั่งรอบๆ ลึกแต่ตรงกลางตื้น ดูแล้วเหมือนเป็นรอยกดทับของแก้วทรงสูง

ลู่ตงตงเกาะหลังหน้าจอคอมแล้วยื่นศีรษะออกมา “ปะป๊า อาการลงแดงกำเริบอีกแล้วเหรอครับ”

ลู่อวี๋ขมวดคิ้ว “ฉันติดเหล้าเหรอ”

ลูกโป่งเงือกอยากพยักหน้า แต่เขาไม่มีคอ เลยได้แต่โยกไปข้างหน้าข้างหลัง “ใช่แล้ว ทุกครั้งเวลาที่เขียนอะไรปะป๊าจะต้องดื่มสองแก้ว บอกว่าต้องกรึ่มๆ หน่อยถึงจะเขียนออก”

สองปีมานี้ลู่ต้าอวี๋ยังไม่เคยเปิดเรื่องใหม่เลย แต่ก็พยายามคิดจะเขียนออกมาสักหน่อย เขาเขียนตอนพิเศษตีพิมพ์ออกมาเล็กน้อย แล้วก็เตรียมการกับอุปสรรคใหม่ๆ ไว้มาก แต่ก็เขียนออกมาไม่ค่อยน่าพอใจนัก

ลู่ตงตงเล่าสถานการณ์คร่าวๆ จากที่เขาคอยสังเกตมา เสิ่นไป๋สุ่ยเสริมไปอีกประโยคว่า “เชอะ ลุงขี้เมาจะไปเขียนอะไรดีๆ ออกมาได้”

ลู่อวี๋เปิดโฟลเดอร์ที่เตรียมไว้สำหรับเรื่องใหม่ ในนั้นเต็มไปด้วยตัวอักษรที่สื่อความคิดออกมาไม่ได้กับประโยคที่ไม่สมบูรณ์ แถมยังมีตารางเซ็ตติ้งอันซับซ้อนแต่กลับดาษดื่นธรรมดาไม่มีอะไรแปลกใหม่

“ก็เพราะเขียนตอนดื่มหนัก ตรรกะเลยไปด้วยกันไม่ได้” ลู่อวี๋ขยี้หัวเจ้าคนรองเป็นการบอกว่าเจ้าตัวพูดถูกแล้ว เจ้าคนรองหลบมือเขา หนีโดยไม่แม้แต่จะหันกลับ

การลงแดงมีผลต่อทั้งร่างกายและจิตใจ ลู่อวี๋ไม่มีอาการทางจิตใจ แต่ว่าร่างกายเจ้าสวะนี่กลับมีอาการ เดิมทีวันนี้เขาก็เพลียจากการออกกำลังกายหนักมากอยู่แล้ว ตอนนี้มาเขียนแบบแผนสมองยิ่งทำงานสูงผลาญพลังงานไปอีกมาก อาการทางร่างกายจากการลงแดงเลยประดังประเดเข้ามาทวงหนี้คืนเป็นเท่าตัว

ลู่อวี๋ยันโต๊ะลุกขึ้นยืน กัดฟันกรอด “เจ้าลู่ต้าอวี๋ แกมันรู้จักแต่ทำความชั่ว!”

เขาทรมาน แต่ไม่มีทางดื่มเหล้าแน่นอน ลู่อวี๋เดินวนรอบห้อง ตั้งใจว่าจะชงชาเข้มๆ มาทำให้สมองปลอดโปร่ง

เมื่อเดินไปถึงเคาน์เตอร์ชงชาในโถงรับแขก ลู่อวี๋ยันเคาน์เตอร์พักหายใจ เมื่อหันหน้าไปก็เห็นหมิงเยี่ยนกำลังยืนอยู่ตรงหน้าต่างยาวจากเพดานจรดพื้น หันหลังให้เขา

เสพสุราไม่ได้ แต่เสพภรรยาได้นี่! พอโชคหล่นทับลู่อวี๋ก็ไอเดียบรรเจิด ลากขาที่ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเดินโซซัดโซเซโผเข้าใส่

เขาไม่ได้กล้าเข้าไปกอดจริงๆ เพียงแค่วางศีรษะไว้บนไหล่ของหมิงเยี่ยนอย่างระมัดระวัง มุดเล็กน้อย แล้วพูดเสียงกระเง้ากระงอด “พี่เยี่ยน อาการนั้นมันกำเริบอีกแล้ว ทรมานมากเลย ช่วยผมหน่อยสิ”

กล้ามเนื้อไหล่หมิงเยี่ยนพลันเกร็งแน่น แข็งทื่อไปทั้งเนื้อทั้งตัว

ลู่อวี๋รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลง จึงแหงนหน้ามองดูว่าหมิงเยี่ยนกำลังทำอะไร แล้วก็ต้องตัวแข็งทื่อเช่นกัน

หมิงเยี่ยนกำลังใช้ลูกโป่งท่านประธานวิดีโอคอลล์ อีกฝั่งของสายคือชายอายุห้าสิบหกสิบคนหนึ่ง คนคนนี้ลู่อวี๋เคยเห็นในข่าวมาก่อน เขาคือกรรมการบริหารบริษัทหมิงรื่อวอตช์อินดัสทรี…พ่อของหมิงเยี่ยน!

ลู่อวี๋ “…”

 

* คาเบะด้ง มีที่มาจากท่าทางในมังงะหรืออะนิเมะรักวัยรุ่นของญี่ปุ่น โดยตัวละครชายจะใช้มือข้างหนึ่งกักขังตัวละครหญิงไว้กับกำแพง ทำให้อีกฝ่ายไม่มีทางหนีไปอย่างสิ้นเชิง

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน เชิดรักมังกรซ่อนเงาหงส์ บทที่ 1-2

บทที่ 1 เสียงเคาะระฆังบอกโมงยามดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงอันคุ้นเคยเตือนให้คนเก่าคนแก่ในวังตระหนักได้ว่าเพลานี้เป็น...

ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก

ทดลองอ่าน ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก บทที่ 1-2

บทที่ 1 ต้นฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้าสีฟ้าคราม สายลมโชยอ่อนพัดแผ่ว ม่านโปร่งบนศาลาริมน้ำขยับไหว ที่อยู่หลังม่านโปร่งคือโฉมสะคร...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 1-2

บทที่ 1 เวลาเช้าตรู่กู้เจี้ยนหลีรออยู่หน้าโรงจำนำเป็นเวลานานมากแล้ว ในมือของนางกำปิ่นรูปผีเสื้อคู่ประดับพู่ระย้าไว้อันหน...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน เชิดรักมังกรซ่อนเงาหงส์ บทที่ 3-4

บทที่ 3 เนี่ยชิงหลินได้ยินคำพูดเช่นนี้จึงเงยหน้าขึ้นเหลือบมองสีหน้าเย็นชาเข้มงวดของเว่ยเหลิ่งเหยาปราดหนึ่ง นางลังเลอยู่ช...

community.jamsai.com