ทดลองอ่าน ทรราชหวนคืน บทที่ 3-4 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ทรราชหวนคืน บทที่ 3-4 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 4

ตำหนักฉืออันเงียบสงบเหมือนวันวาน พอซุนหมัวมัว ที่อยู่ข้างกายไทเฮาได้ยินว่าฉู่เซ่าหลิงมาก็รีบออกมาต้อนรับ นางประคองฉู่เซ่าหลิงลงจากเกี้ยวพลางพูดยิ้มๆ “อากาศหนาวจัด แต่องค์ชายใหญ่ยังอุตส่าห์มาเช้าถึงเพียงนี้…”

ดูท่าตามปกติตนจะมาที่นี่เป็นประจำ ฉู่เซ่าหลิงเริ่มเบาใจ ซุนหมัวมัวพูดเสียงเบาต่ออีกว่า “เมื่อคืนไทเฮาบรรทมได้ไม่สนิท จะต้องคิดถึงฮองเฮาเป็นแน่…อีกสักครู่ขอองค์ชายใหญ่ได้โปรดช่วยปลอบใจพระนางด้วย พระพลานามัยของไทเฮาไม่สู้ดีนัก ขืนยังเป็นเช่นนี้…”

ฉู่เซ่าหลิงผงกศีรษะ “หมัวมัวสบายใจได้”

ซุนหมัวมัวพาฉู่เซ่าหลิงตรงไปที่ตำหนักชั้นใน ด้านในไทเฮาสวมชุดลำลองกำลังเอนตัวอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟย เมื่อเห็นฉู่เซ่าหลิงมา พระนางก็รีบยื่นมือเป็นเชิงให้เขาเข้ามาหา ฉู่เซ่าหลิงโขกศีรษะตามธรรมเนียม ไทเฮาหัวเราะเบาๆ “รีบลุกขึ้น มานั่งข้างย่า”

ไทเฮาลุกขึ้นนั่ง ให้ฉู่เซ่าหลิงนั่งข้างพระนางเพื่อพิศดูสีหน้าเขาอย่างละเอียด “ยังดี หลายวันมานี้อากาศเย็นขึ้น อุทยานปี้เทาอบอุ่นดีหรือไม่ ไม่มีเตาใต้ดินจะหนาวหน่อย มิสู้…เจ้ากับหยางเอ๋อร์ย้ายมาอยู่กับย่าที่นี่ดีกว่า คอยให้พ้นช่วงซานจิ่ว ไปแล้วค่อยย้ายกลับ…”

ฉู่เซ่าหลิงรีบปฏิเสธ “มิกล้ารบกวนความสงบของเสด็จย่า แม้อุทยานปี้เทาจะไม่อบอุ่นเหมือนตำหนักฉืออัน แต่ไม่ได้หนาวถึงเพียงนั้น ถ่านไฟยังใช้งานได้ดีพ่ะย่ะค่ะ”

ไทเฮาย่อมไม่กลัวหลานชายจะหนาวจนต้องให้คนเข้ามาอยู่ที่ตำหนักฉืออัน แม้ตำหนักขององค์ชายจะไม่มีเตาใต้ดินแต่ก็มีเตากำยานและอ่างไฟคอยให้ความอบอุ่นได้เหมือนฤดูวสันต์ เพียงแต่ระยะนี้ผู้คนในวังต่างไม่ค่อยให้ความเคารพทายาทที่ฮองเฮาเหลือทิ้งไว้ ยิ่งเป็นวันครบรอบของหลิงฮองเฮายิ่งทำให้ไทเฮาอยากช่วยเสริมอำนาจในวังให้พวกเขา ฉู่เซ่าหลิงเข้าใจเรื่องนี้ดี

เห็นสายตาของไทเฮาแล้ว ฉู่เซ่าหลิงพลันรู้สึกอบอุ่นใจ ชาติก่อนไทเฮาเอ็นดูเขามาก เสียดายที่พระนางจากไปเร็ว แต่วันนี้ทุกอย่างกลับตาลปัตร ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความรักของไทเฮาจะเป็นตัวช่วยสำคัญของเขา

ระหว่างที่ย่าหลานสองคนกำลังคุยกัน ซุนหมัวมัวก็เข้ามาแจ้งว่า “ไทเฮาเพคะ ลี่กุ้ยเฟย ซูเฟย และบรรดาเหนียงเหนียง จากตำหนักต่างๆ มาขอคารวะเพคะ”

ฉู่เซ่าหลิงได้ยินดังนั้นจึงลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้คุกเข่าลง ไทเฮาก็ชิงบอกก่อน “หลิงเอ๋อร์ไม่ต้องไป พวกนางแค่มาพูดคุยสองสามประโยค อาหารกลางวันมีเป็ดแปดสมบัติที่เจ้าชอบกิน วันนี้เจ้าอยู่เป็นเพื่อนย่าที่นี่ก่อนนะ”

ฉู่เซ่าหลิงผงกศีรษะทั้งที่ยังแคลงใจไม่หายว่าลี่เฟยกลายเป็นลี่กุ้ยเฟยตั้งแต่เมื่อไร ชาติก่อนนางถูกตนกดไว้ตลอด สุดท้ายเพื่อรักษาชีวิตของฉู่เซ่าหยาง เขาจึงจำเป็นต้องช่วยนางให้ขึ้นสู่ตำแหน่งฮองเฮา ซึ่งในระหว่างนั้นลี่เฟยก็ไม่เคยได้ตำแหน่งลี่กุ้ยเฟยมาก่อน?!

ไทเฮาหันไปมองซุนหมัวมัว นางเข้าใจจึงหมุนตัวไปเชิญบรรดาสนมเข้ามา ทุกคนไม่รู้ว่าฉู่เซ่าหลิงอยู่ที่นี่ด้วย พอทำความเคารพซึ่งกันและกันเสร็จก็นั่งลง ฉู่เซ่าหลิงยังคงถูกไทเฮารั้งไว้ให้นั่งอยู่ข้างกาย

“ตำหนักของไทเฮาอบอุ่น ดอกสุ่ยเซียน จึงบานได้งดงามกว่าที่ตำหนักของหม่อมฉันมากนัก” ลี่กุ้ยเฟยนั่งถัดจากไทเฮาลงไปทางด้านซ้าย นางลูบปิ่นดอกไม้ไหวที่ทำจากปะการังข้างจอนผมเบาๆ ขณะพูดด้วยรอยยิ้ม “อย่างไรภูมิลักษณ์ที่ตำหนักฉืออันแห่งนี้ย่อมดีที่สุด”

ไทเฮาฟังแล้วหัวเราะเบาๆ “ตำหนักของข้าแค่อุ่นกว่าหน่อย เมื่อครู่ข้าเพิ่งบอกให้หลิงเอ๋อร์ย้ายมาอยู่กับข้าที่นี่ เดือนสิบอากาศหนาว เด็กคนนี้ได้รับการทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก เจ็บออดๆ แอดๆ ไม่ขาด ต้องให้อยู่ในสายตาข้าจึงจะวางใจ”

เหล่าสนมนางในได้ยินแล้วชะงัก ไทเฮาทำเช่นนี้หมายความว่าอะไร

ฉู่เซ่าหลิงหันไปมองไทเฮาพร้อมกับคนอื่นๆ สีหน้าของลี่กุ้ยเฟยเปลี่ยนสี ทำให้ฉู่เซ่าหลิงแอบยิ้มเย็นในใจ สมัยที่ฮองเฮายังมีชีวิตอยู่ลี่เฟยเป็นผู้ที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุด นางจึงอาศัยพระเมตตาแย่งชิงความโดดเด่นไปจากหลิงฮองเฮาไม่น้อยและคอยหาเรื่องมากดศีรษะฮองเฮาไว้ หากฮองเฮามิใช่คนสุขุม รู้จักรักษากิริยา ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องน่าขบขันขึ้นมากน้อยเพียงใด ไทเฮาเป็นน้าแท้ๆ ของหลิงฮองเฮาย่อมต้องเกลียดชังลี่เฟย แต่เพราะเห็นแก่ที่ลี่เฟยให้กำเนิดองค์ชายรองฉู่เซ่าหร่วนและได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ถึงได้ยอมละเว้นนาง ทว่าในเวลานี้หลิงฮองเฮาก็จากไปได้หนึ่งปีแล้ว ทำให้บรรดาสนมนางในกลุ่มนี้พากันกระสับกระส่าย

ลี่กุ้ยเฟยในเวลานี้ยังไม่มีรากฐานที่มั่นคง ในขณะที่ฉู่เซ่าหลิงได้รับการสนับสนุนจากไทเฮา ครั้งนี้เขาจะไม่มีทางยอมให้สตรีนางนี้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งฮองเฮาเป็นอันขาด ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะอย่างเย็นชาอยู่ในใจ ตำแหน่งของมารดาแท้ๆ ของเขา ลี่กุ้ยเฟยไม่คู่ควร

บรรดาสนมนางในที่มีตำแหน่งสูงในตอนนี้ นอกจากลี่กุ้ยเฟยแล้วยังมีซูเฟยซึ่งมีโอรสธิดาหนึ่งคู่ องค์หญิงใหญ่ออกเรือนไปเมื่อปีก่อน ส่วนองค์ชายห้าเพิ่งจะอายุเจ็ดปี เพราะซูเฟยมีชาติกำเนิดต่ำต้อยนางจึงอยู่ในระเบียบกฎเกณฑ์ดีมาก ไม่เคยคิดเหลวไหลถึงสิ่งที่ไม่ใช่ของตน ฉู่เซ่าหลิงจึงไม่จำเป็นต้องใส่ใจนางมากนัก

มองเลยไปทางด้านหลัง หนิงกุ้ยเหรินที่นั่งอยู่ปลายแถวช้อนสายตาขึ้นมาลอบผงกศีรษะให้ฉู่เซ่าหลิง หนิงกุ้ยเหรินเคยเป็นนางกำนัลกวาดพื้นของวังเฉิงเฉียน เกิดโชคดีได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกุ้ยเหริน แต่ไม่นานฮ่องเต้ก็สูญสิ้นความโปรดปรานในตัวนาง พระสนมกุ้ยเหรินตัวเล็กๆ ที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากสกุลเดิมที่มีความเข้มแข็ง ซ้ำยังสูญสิ้นความโปรดปรานแล้วย่อมใช้ชีวิตอยู่ในวังด้วยความยากลำบาก ยามนั้นหนิงกุ้ยเหรินถูกเหล่าสนมนางในในวังกลั่นแกล้งรังแกอย่างหนัก โชคดีที่หลิงฮองเฮาช่วยดูแล ทำให้นางสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ภายหลังนางได้ให้กำเนิดองค์หญิงหนึ่งคนจึงได้มีที่ทางอยู่ในวังหลวง

หนิงกุ้ยเหรินระลึกถึงความเมตตาของหลิงฮองเฮามาโดยตลอดจึงถวายความจงรักภักดีให้แก่พระนางอย่างเต็มที่ หลังจากที่หลิงฮองเฮาจากไป นางยังคงให้ความเคารพยกย่องฉู่เซ่าหลิงกับฉู่เซ่าหยางเช่นเดิม ทำให้ฉู่เซ่าหลิงไว้วางใจนางอย่างมาก

ระหว่างที่ฉู่เซ่าหลิงกำลังคิดนั่นคิดนี่ สายตาของไทเฮาก็กวาดมองไปเห็นสีหน้าของทุกคน พระนางเอ่ยช้าๆ ว่า “เพียงแต่เด็กคนนี้อยู่ในระเบียบกฎเกณฑ์ยิ่ง เกรงว่าจะเป็นการกวนใจข้าจึงไม่ยอมมา…” ไทเฮาลูบหลังฉู่เซ่าหลิงเบาๆ น้ำเสียงเอื้อเอ็นดู “สมกับเป็นโอรสในฮองเฮา รู้จักหนักเบาเป็นที่สุด”

ซูเฟยถวายงานอยู่ในวังมาเป็นระยะเวลาหลายปี ย่อมต้องรู้ว่าไทเฮาอยากพูดสิ่งใด เมื่อได้ยินดังนั้นนางจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จริงด้วย มิใช่หม่อมฉันพูดเอง แต่ในบรรดาพระโอรส องค์ชายใหญ่เป็นบุตรภรรยาเอกและเป็นบุตรคนโต ย่อมมีจรรยามารยาทสมกับราชสกุลเหนือผู้อื่น หม่อมฉันพูดกับสุยเอ๋อร์เป็นประจำว่าให้ดูพี่ใหญ่ไว้เป็นตัวอย่าง เมื่อโตแล้วให้รู้ความเช่นนี้บ้าง”

ฉู่เซ่าสุยคือองค์ชายห้าที่ถือกำเนิดจากซูเฟย ตามปกติเด็กน้อยเป็นที่โปรดปรานของไทเฮาอย่างมาก พระนางจึงหัวเราะเอ่ย “สุยเอ๋อร์ยังเล็ก ไหนเลยจะเข้าใจเรื่องพวกนี้”

ลี่กุ้ยเฟยค่อนข้างกระสับกระส่าย ปลายนิ้วสีแดงสดใสจิกเข้าไปในผ้าเช็ดหน้า องค์ชายรองฉู่เซ่าหร่วนของนางต้องพ่ายแพ้ให้แก่บุตรคนโตในภรรยาเอก หลังฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ สกุลเจินที่เป็นสกุลเดิมของนางก็ค่อยๆ ยืนหยัดขึ้นมาได้ หลังหลิงฮองเฮาจากไปนางก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นกุ้ยเฟย ถือครองตราหงส์เป็นใหญ่ในฝ่ายใน

ใบหน้าของลี่กุ้ยเฟยเรียบเฉย นางหัวเราะเสียงเย็นอยู่ในใจ ขอเพียงนางได้รับการแต่งตั้งเป็นฮองเฮา ฉู่เซ่าหร่วนของนางย่อมกลายเป็นบุตรภรรยาเอก ตำแหน่งบุตรชายของฮองเฮาคนแรกจะไม่มีความศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป และมีโอกาสที่จะได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาทมากกว่าฉู่เซ่าหลิงที่ปราศจากมารดาผู้ให้กำเนิด

ลี่กุ้ยเฟยหัวเราะเบาๆ “จะว่าไปแล้วหม่อมฉันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เมื่อวานคนของสำนักพระราชวังมาสอบถามหม่อมฉันว่าไม้กฤษณาที่ได้รับมาเป็นเครื่องบรรณาการปีนี้จะจัดสรรอย่างไรดี

เนื่องจากไทเฮาไม่โปรดเครื่องหอม ที่ผ่านมาเครื่องหอมชนิดนี้จึงถูกส่งไปที่วังเฟิ่งหวาของฮองเฮา ทว่าเวลานี้ เอ่อ…” ลี่กุ้ยเฟยก้มหน้า ขอบตาแดงเรื่อ นางสั่นศีรษะ “สำนักพระราชวังไม่กล้าแบ่งสันไม้กฤษณาเอง ปีนี้หม่อมฉันเป็นคนจัดการเรื่องเหล่านี้ แต่ไม่กล้าถืออภิสิทธิ์ จึงตั้งใจมาทูลถามความคิดเห็นของไทเฮาว่าจะให้เก็บไว้ที่สำนักพระราชวังเพื่อให้ฮองเฮาองค์ใหม่ใช้ หรือ…แบ่งสันให้ผู้อื่นดี?”

ซูเฟยปิดฝาถ้วยชา หัวเราะเบาๆ พลางเอ่ย “น้องสาวทำเช่นนี้หมายความว่าอะไร แบ่งสันให้ผู้อื่น? แต่ไหนแต่ไรมาไม้กฤษณามีใช้อยู่แต่ในวังหลวง จะแบ่งสันให้ผู้ใดได้เล่า หรือจะให้ตัวน้องสาวเอง?”

“พี่สาวล้อเล่นแล้ว น้องเพียงอยากได้ความคิดเห็นจากไทเฮาเท่านั้น” ลี่กุ้ยเฟยไม่โกรธที่ถูกซูเฟยพูดแทงใจ เมื่อเวลานี้นางมีอำนาจมหาศาลอยู่ในวังหลวง ขาดแค่ตำแหน่งเพียงอย่างเดียว ถ้าอยากใช้ไม้กฤษณาก่อนจะมีปัญหาอะไร นางอยากให้ทั้งวังรับรู้เต็มแก่ว่ายามนี้ผู้ใดคือผู้ถือครองตราหงส์ ลี่กุ้ยเฟยหัวเราะเบาๆ “น้องเพียงรู้สึกว่าเวลานี้ฝ่ายในไม่มีผู้ใด หากปล่อยเครื่องหอมล้ำค่าที่ได้รับเข้ามาเป็นบรรณาการทิ้งไว้ให้เสียเปล่าย่อมเป็นความผิด”

ไทเฮามองลี่กุ้ยเฟยกับซูเฟยด้วยสายตาเยือกเย็น พูดช้าๆ “ไม้กฤษณาไม่เพียงให้กลิ่นสุขุมหรูหรา แต่ยังเป็นตัวยาล้ำค่า หากใช้เป็นประจำจะส่งผลดีต่อร่างกาย…”

ไทเฮาหลับตาพลางสูดลมหายใจเข้าปอดลึก พระนางหันไปส่งยิ้มให้ฉู่เซ่าหลิง “ที่เจ้ารมตัวมาวันนี้ก็เป็นเครื่องหอมชนิดนี้ เจ้าไปเอามาจากที่ใดหรือ”

ฉู่เซ่าหลิงก้มหน้า “หลานจะไปเอามาจากที่ใดได้ นี่เป็นของที่เสด็จแม่ทิ้งไว้ให้ ที่จริงก็เหลืออยู่ไม่มากแล้ว แต่หลานจะจุดทุกครั้งเวลาคิดถึงเสด็จแม่ เมื่อคืน…หลานจุดไปเล็กน้อย ทำให้เวลานี้มีกลิ่นติดตัวพ่ะย่ะค่ะ”

ไทเฮาระบายลมหายใจ พูดเสียงอ่อน “เมื่อวานเป็นวันครบรอบวันตายมารดาเจ้า คิดถึงก็คิดไปเถอะ เจ้ามีความกตัญญู และของสิ่งนี้ก็เป็นน้ำใจที่เสด็จแม่มีต่อเจ้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้…ลี่กุ้ยเฟย แจ้งสำนักพระราชวังว่าให้ส่งไม้กฤษณาที่ได้รับมาเป็นบรรณาการของปีนี้ไปที่อุทยานปี้เทา หนึ่งเพื่อทดแทนความคิดถึงมารดาของเขา และสองการรมเครื่องหอมชนิดนี้เป็นประจำย่อมดีต่อสุขภาพของหลิงเอ๋อร์ คอยให้ฮ่องเต้แต่งตั้งฮองเฮาองค์ใหม่แล้วเราค่อยมาจัดสรรกันใหม่อีกที”

ไม่ว่าอย่างไรลี่กุ้ยเฟยก็คิดไม่ถึงว่าผลจะออกมาเป็นเช่นนี้ นางชะงักก่อนฝืนยิ้ม “เรื่องนี้…แต่ไรมาเครื่องหอมชนิดนี้จะใช้กันเฉพาะในวังหลวง มาวันนี้หากมอบให้องค์ชายใหญ่ เกรงว่าจะผิดกฎ…”

“นี่มิใช่เรื่องที่เจ้าจะพูดได้…” ไทเฮาคลึงเตาอุ่นมือเงินแกะลายในมือช้าๆ “หากปล่อยของเหล่านี้ไว้ให้เสียเปล่าย่อมเป็นความผิด ในเมื่อในวังไม่มีคนใช้และองค์ชายใหญ่ก็ใช้มันจนคุ้นชินแล้ว การมอบให้เขาจะมีสิ่งใดไม่เหมาะสมกัน”

ลี่กุ้ยเฟยย่อมไม่กล้าต่อปากต่อคำกับไทเฮา นางรีบก้มหน้าลงพูดยิ้มๆ “เช่นนี้ก็ดี ไทเฮาทรงคิดอ่านได้รอบคอบ หม่อมฉันจะกลับไปแจ้งพวกเขาเพคะ”

ฉู่เซ่าหลิงคุกเข่าขอบพระทัย ไทเฮายิ้มแล้วดึงตัวเขาขึ้นมา ใบหน้าฉายแววเมตตาเช่นเดิม

คลื่นลมขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กภายในตำหนักฉืออันถูกไทเฮาสลายให้หายไปอย่างง่ายดาย ไทเฮาอายุมากแล้ว แต่ยังคงมีความคิดอ่านกระจ่างดุจกระจกว่าความรักใคร่ของฮ่องเต้ทำให้คนบางคนบังเกิดความคิดที่ไม่สมควร ไทเฮามองรอยยิ้มนอบน้อมของลี่กุ้ยเฟยพลางหัวเราะเย็นชาอยู่ในใจ ช่างคิดฝันเหลวไหลเสียจริง

ฉู่เซ่าหลิงได้รับการสนับสนุนจากไทเฮาทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ทำให้เขามีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น ตอนกลางวันชายหนุ่มอยู่กินอาหารเป็นเพื่อนไทเฮาและสนทนากับท่านผู้อาวุโสเป็นนานสองนานกว่าจะออกจากตำหนักฉืออัน บ่าวคนสนิทถามฉู่เซ่าหลิงว่าอยากไปคารวะฮ่องเต้ที่วังเฉิงเฉียนหรือไม่ ฉู่เซ่าหลิงไม่เอ่ยคำใด เพียงสั่งให้กลับวังเพราะเขายังไม่ได้พบกับคนสำคัญคนหนึ่ง

หลังกลับถึงอุทยานปี้เทาตอนยังไม่เลยยามเว่ย ท้องฟ้าขมุกขมัว เริ่มมีหิมะตก หวั่นชุ่ยขอให้ฉู่เซ่าหลิงไปพักผ่อนแต่เขากลับส่ายหน้า ถือร่มเดินไปที่ประตูใหญ่ของอุทยานปี้เทาช้าๆ ตามองทางเดินด้านนอกอย่างเงียบๆ

ฉู่เซ่าหลิงบอกว่าต้องการชมหิมะและยืนอยู่เช่นนั้นถึงสองชั่วยามจนล่วงเข้ายามโหย่ว ทันใดนั้นใครคนหนึ่งก็ย่ำหิมะเข้ามาด้วยท่าทางเดียวกับในความทรงจำ เพียงแต่เขาดูเด็กลงมาก ร่างกายยังไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ดูอายุไม่เกินสิบสามสิบสี่ปี ใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรา เมื่อเห็นฉู่เซ่าหลิงอยู่ที่ประตูก็รีบเดินเข้าไปคุกเข่า พริบตานั้นมือที่ถือร่มของฉู่เซ่าหลิงก็สั่นระริก เขาถามด้วยเสียงแหบพร่า “เจ้าชื่ออะไร”

ผู้คุ้มกันหนุ่มน้อยคิดไม่ถึงว่าองค์ชายใหญ่จะพูดคุยกับเขา หัวใจเต้นรัวเร็วเหมือนตีกลอง เขาตั้งสติก่อนก้มหน้าตอบว่า “เว่ยจี่ เว่ยที่แปลว่าพิทักษ์รักษา จี่ที่แปลว่าง้าวขอรับ”

ฉู่เซ่าหลิงหลับตา “เว่ยจี่ เป็นชื่อที่ดี”

ผู้คุ้มกันน้อยเงยหน้าขึ้นมองฉู่เซ่าหลิงอย่างงงๆ ใบหน้าของฉู่เซ่าหลิงนิ่งสนิท ก่อนพูดช้าๆ “เลื่อนตำแหน่งเว่ยจี่เป็นผู้คุ้มกันขั้นสาม ทำงานรับใช้ประจำตัว”

เว่ยจี่ไม่เคยคิดว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้ เขาอายุยังน้อย ความคิดความอ่านใสซื่อ จึงได้แต่คุกเข่าอยู่บนพื้นโดยไม่รู้ว่าต้องกล่าวคำขอบคุณ เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองฉู่เซ่าหลิงอย่างโง่งม ด้านฉู่เซ่าหลิงมองดวงตาดำขลับของเว่ยจี่แล้วฉับพลันนั้นหัวใจที่เฝ้ารออย่างกระสับกระส่ายก็นิ่งสงบลง

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทที่ 5-6 ได้ในวันที่ 7 .. 64

 

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com