everY
ทดลองอ่าน ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 3 บทที่ 54 #นิยายวาย
ทดลองอ่านเรื่อง ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 3
ผู้เขียน : จื้อฉู่ (稚楚)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 恒星时刻 (Heng Xing Shi Ke)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ
การบูลลี่ บาดแผลทางใจในวัยเด็ก ความรุนแรงในครอบครัว
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ อาการป่วยทางจิต
ความรุนแรง การสะกดรอยตาม มีการกล่าวถึงการฆ่าตัวตาย
และความหลากหลายของกิจกรรมทางเพศ
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 54 ถลำลึกลงทุกที
“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมเข้าหาหลินอี้ชิง” หนานอี่ถาม “เขาบอกคุณเหรอ”
ฉินอีอวี๋เปิดรูปในมือถือออกมา “วันที่สิบสี่พวกนายสองคนไปกินข้าวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในลานสกี Laxx แล้วถูกถ่ายติดในภาพของคู่รักคู่หนึ่งที่อยู่ด้านหน้า” ฉินอีอวี๋ทวนวันที่ด้วยน้ำเสียงประชดประชันเป็นพิเศษว่า “วันที่สิบสี่กุมภาพันธ์”
หนานอี่ไม่รู้เลยว่าวันนี้มีอะไรพิเศษ
“แล้วไง”
“แล้วไง” ฉินอีอวี๋โมโหเจ้าคนที่ไม่ประสีประสาเรื่องความรักคนนี้ขึ้นมาจริงๆ แล้ว แต่เขาไม่อยากพูดคำว่าวาเลนไทน์ออกมา “ช่างเถอะ”
เพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีฉินอีอวี๋เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นทันที “สร้อยที่นายใส่คือปิ๊กที่ฉันสั่งทำล่ะสิ”
นักร้องหนุ่มเลิกคิ้วมองหน้าหนานอี่ “ฉันจำได้ว่าโยนปิ๊กอันนี้ลงจากเวทีไปในการแสดงครั้งหนึ่ง นายเก็บได้เหรอ”
หนานอี่ไม่แสดงท่าทีสะทกสะท้านราวกับคนที่ถูกแฉไม่ใช่ตัวเขา
“ถ้าผมบอกว่ามันตามผมกลับบ้านเอง คุณจะเชื่อไหม”
คำตอบนี้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของฉินอีอวี๋ เขานิ่งอึ้งไป ก่อนจะขำออกมา
หมอนี่ ทั้งที่รักจนจะเป็นจะตายขนาดนี้ยังจะทำปากแข็งอีก
ไม่รู้ทำไมอยู่ดีๆ เขาจึงฉุกคิดถึงสร้อยที่ฉือจือหยางเคยพลั้งปากเล่าขึ้นมา
“สร้อยที่ฉือจือหยางบอกว่านายใส่อยู่ทุกวันคือปิ๊กกีตาร์ของฉันเหรอ” ฉินอีอวี๋ซักตรงๆ
สีหน้าตึงๆ ของหนานอี่คลายลง กะพริบตาเร็วๆ สองครั้ง เขาไม่ได้ตั้งใจจะปดฉินอีอวี๋ แต่ไม่อยากยอมรับง่ายๆ เลยไม่ยอมพูด
“บอกมาเร็ว” ฉินอีอวี๋หยิกแก้มเขา “ถ้านายไม่พูด ฉันจะถือว่านายยอมรับ”
“งั้นคุณก็รับไปสิ” หนานอี่ไม่อยากคุยเรื่องสร้อยกับเขาแล้ว
ของของฉินอีอวี๋ที่เขาสะสมไว้มีจำนวนเยอะมาก ถ้าเอาออกมาพิจารณากันทีละอันคงทำให้เขาดูเหมือนพวกโรคจิต
หนานอี่มองมือของฉินอีอวี๋ที่หยิกแก้มตัวเองไม่ยอมปล่อยแล้วอดอ้าปากกัดไม่ได้
“จี้ใจนายใช่ไหม ถึงขั้นกัดกันเลย!”
นี่แหละเจ้าลูกหมาป่าของแท้ ฉินอีอวี๋นึกค่อนขอดอยู่ในใจ
“จะเล่นหรือไม่เล่น ถ้าไม่เล่นผมจะนอน”
“เล่นสิ เล่นๆ นายอย่าเพิ่งนอนน้า” ฉินอีอวี๋นั่งตัวตรง วางท่าขึงขังจริงจัง นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าหนานอี่ขณะทายต่อ
“นายรู้ข้อมูลจากหลินอี้ชิงว่าโจวไหวอยู่ที่ไหน…ฉันจำได้ว่าโจวไหวเปิดร้านก่อนตรุษจีน เขาอยู่ที่ร้านทุกวัน หรือนายไปสะกดรอยเขา?” ฉินอีอวี๋พูดพลางทบทวนความทรงจำ “แต่โจวไหวไม่เคยมาหาฉัน ช่วงนั้นเราสองคนติดต่อกันทางโทรศัพท์อย่างเดียว ฉันไม่ใช้วีแชตด้วยซ้ำ…”
ถึงมันจะฟังดูแปลกๆ แต่ถ้าหนานอี่เป็นคนทำ ฉินอีอวี๋กลับไม่รู้สึกว่าแปลกอะไร นอกจากรู้สึกว่าหมอนี่รักเขามาก
ฉินอีอวี๋พูดๆ แล้วยกมือขึ้นปิดปาก กะพริบตาปริบๆ สูดลมหายใจเย็นๆ เข้าปอด “นายคงไม่ได้แอบฟังมือถือของโจวไหวเพื่อตามหาฉันหรอกใช่ไหม”
หนานอี่หมดคำจะพูด
“ตอนนั้นผมยังไม่มีทักษะนี้” สีหน้าของชายหนุ่มดูซีเรียสมาก “คุณจำไม่ได้เหรอว่านอกจากโทรศัพท์ พวกคุณยังติดต่อกันด้วยวิธีอื่นอีก”
ฉินอีอวี๋นิ่วหน้า พยายามนึกย้อนกลับไป
“วิธีอื่น…”
“พอหมดวันหยุดช่วงตรุษจีน คนกลับไปทำงาน คุณส่งพัสดุให้โจวไหว เป็นลังใหญ่หนึ่งลัง”
พอหนานอี่พูดขึ้นมา ฉินอีอวี๋ก็นึกออกทันทีว่าเขาเคยส่งพัสดุให้โจวไหวจริงๆ เป็นสินค้าท้องถิ่นของยูนนานที่เขารู้สึกว่ามันอร่อยดีเลยซื้อให้โจวไหวหนึ่งลังแล้วส่งไปให้ที่ปักกิ่ง
“นายรู้ได้ไง” ฉินอีอวี๋เริ่มเดาเปะปะ “พอนายกลับมาจากสวิตเซอร์แลนด์ก็สะกดรอยตามโจวไหวตลอดเลยเหรอ”
“ช่วงวันหยุดฤดูหนาวของผมไม่ยาวต้องกลับไปเรียนหนังสือ ไม่มีแรงมาจับตาดูเขาตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงหรอก แถม…” หนานอี่ฉุกคิดถึงเรื่องไม่สบอารมณ์เรื่องหนึ่งขึ้นมาเลยอดบ่นไม่ได้ว่า “พฤติกรรมเสี่ยงตายของเขามันหนักมากจริงๆ กลางวันไม่ยอมออกจากบ้าน กลางคืนไปขลุกอยู่ที่บาร์เกย์ ผมเคยสะกดรอยเขาครั้งหนึ่ง ลำพังแค่ไม่ได้เรื่องอะไรยังพอว่า แต่ยังถูกขี้เมาสามคนตรงหน้าประตูบาร์เกย์ตามวอแวนี่สิ”
ฉินอีอวี๋ได้ยินแล้วของขึ้น “นี่มันเรื่องบ้าอะไรฮะ นายจะไปตามเขาทำไม ไอ้หมอนั่นมันเป็นพวกผู้ชายไม่ได้เรื่อง นายโดนมันทำอะไรหรือเปล่า”
แค่คิดฉินอีอวี๋ก็ผวา หนานอี่ในตอนนั้นเพิ่งจะอายุสิบหก ยังเป็นเด็กอยู่เลย
“เปล่าครับ” หนานอี่นิ่งมาก “ผมต่อยกับพวกนั้นไปยกหนึ่ง เตะหลายครั้งจนพวกมันลุกไม่ขึ้น แต่ดันมีคนแจ้งตำรวจ ผมเลยต้องไปแกร่วอยู่ที่สถานีตำรวจสองชั่วโมง ตำรวจเห็นว่าผมยังไม่บรรลุนิติภาวะเลยปล่อยตัว”
ฉินอีอวี๋ทั้งโกรธทั้งขำ
“ทำไมนายถึงเก่งขนาดนี้ ใครสอนเนี่ย”
หนานอี่หันไปมองฉินอีอวี๋ พูดเสียงเฉยเมย “คุณไง”
ฉินอีอวี๋เลยเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อหลายเดือนก่อน ตอนหนานอี่มาที่ร้านของโจวไหว อีกฝ่ายช่วยเขาสั่งสอนไอ้อ้วนด้วยการใช้ลูกเตะเหมือนกัน
สมัยเรียนเวลามีเรื่องทะเลาะวิวาท ฉินอีอวี๋ชอบใช้เท้าเตะเพราะเขาต้องใช้มือเล่นกีตาร์ ไม่มีเหตุผลอื่น ถ้าเลี่ยงการใช้มือได้ก็จะเลี่ยง
ตอนสั่งสอนไอ้พวกลูกหมาที่รังแกหนานอี่ ฉินอีอวี๋เลยเตะคนต่อหน้าเขา
“เรื่องดีๆ มีไม่หัด”
ทำเป็นสอนอีกแล้ว คิดว่าตัวเองเป็นพี่ชายจริงๆ หรือไง หนานอี่คิด
ฉินอีอวี๋ถามอีกว่า “สรุปคือนายตามสะกดรอยโจวไหวแต่ไม่ได้อะไร แล้วหาฉันเจอได้ไง”
หนานอี่นั่งพิงหัวเตียง งอขาข้างหนึ่งแล้วเอาแขนพาดบนเข่า ส่วนขาอีกข้างหนึ่งเหยียดตรง วางไว้ข้างตัวฉินอีอวี๋
“ก่อนกลับไปเรียนผมเจอคุณปู่คนเก็บของเก่าแถวซอยร้านสัก งานที่เขาทำทุกวันคือการเก็บลังกระดาษจากที่ต่างๆ และคุ้ยถังขยะ ผมเลยไปหาเขา ให้เงินก้อนหนึ่งเพื่อขอให้เขาช่วยถ่ายรูปใบส่งพัสดุทุกใบที่โจวไหวได้รับมาให้ผม”
นี่เป็นสิ่งที่ฉินอีอวี๋ไม่มีทางคิดถึง
หนานอี่คอยสังเกตสีหน้าของเขาอยู่ตลอด พอเห็นฉินอีอวี๋ไม่พูดก็แกล้งถาม “ผมทำคุณตกใจเหรอ”
แต่ใครจะรู้ว่าฉินอีอวี๋จะหัวเราะ “ตกใจ? จะเป็นแบบนั้นได้ไง นี่มันน่าสนใจมากเลยต่างหาก”
ในความมืดสลัวดวงตาของฉินอีอวี๋เปล่งประกาย มองหนานอี่ราวกับมีประกายไฟสองดวงซ่อนอยู่ตลอดเวลา
“ฉันไม่เคยเจอคนที่น่าสนใจเหมือนนายมาก่อนเลย”
นี่เป็นปฏิกิริยาที่หนานอี่คิดไม่ถึง ทำเอาเขาลืมไปชั่วขณะว่าตัวเองต้องพูดอะไรอีก
ใช่สิ นี่แหละฉินอีอวี๋
หนานอี่คอยเดินตามหลังเขาอย่างระมัดระวัง เพราะไม่อยากถูกจับได้ กลัวว่าจะถูกสังเกตเห็น แต่กลับลืมไปว่าฉินอีอวี๋ไม่ใช่คนขวัญอ่อน
ต่อให้เขาตามสะกดรอยฉินอีอวี๋ยี่สิบสี่ชั่วโมงแบบเอากล้องไปถ่ายทุกอิริยาบถ คนคนนี้จู่ๆ ก็อาจจะหันหน้ามาขยิบตาพร้อมชูสองนิ้วให้กล้อง จากนั้นก็ตะโกนบอกว่า ‘แชร์รูปสวยๆ มาให้ด้วย’
“แล้วไงต่อ” ฉินอีอวี๋ชักเริ่มสนใจจริงๆ “พัสดุตั้งเยอะแยะ แถมฉันไม่เคยใช้ชื่อจริง นายรู้ได้ไงว่าพัสดุชิ้นไหนเป็นของฉัน”
นึกถึงเรื่องนี้แล้วหนานอี่ขำมาก
“คุณคิดว่าไงล่ะ เด็กมัธยมปลายสูงร้อยแปดสิบเจ็ดผู้ใสซื่อและเป็นโรคกลัวการเข้าสังคม จึงปิดกั้นหัวใจจากความรักในเวอร์ชั่นที่สุขุมขึ้น” เขาท่องชื่อปลอมนี้ออกมาอย่างคล่องแคล่ว
นอกจากฉินอีอวี๋แล้วยังจะมีใครใส่ชื่อแบบนี้ในช่องที่อยู่บนพัสดุได้อีก
พอเห็นอีกฝ่ายเริ่มยิ้มทึ่มทื่ออีกครั้ง หนานอี่ก็อดเตะเขาทีหนึ่งไม่ได้แล้วเอ่ยเตือนว่า “นี่ คุณแพ้แล้ว”
ตอนนี้เองที่ฉินอีอวี๋ได้สติ เขามัวแต่ดื่มด่ำอยู่กับคำบอกเล่าของหนานอี่จนเกือบลืมว่านี่คือเกม
“อย่าคิดตีเนียนเชียว” หนานอี่ถูกกระตุ้นต่อมอยากเอาชนะมานาน หากไม่บรรลุเป้าหมายเขาไม่มีทางยอมเลิกรา
“ฉันจะทำแบบนั้นได้ไง” ฉินอีอวี๋ส่งยิ้มว่านอนสอนง่ายให้เขา “บอกมา นายอยากให้ฉันทำอะไร ในเมื่อนายชอบเลียนแบบฉัน จะให้ฉันถอดเสื้อด้วยไหม”
ถึงจะถูกพูดจี้ใจดำ แต่หนานอี่ยังทำหน้าสบายๆ เอนพิงหัวเตียง เชิดคางขึ้นเล็กน้อย
“งั้นคุณก็ถอดสิ” เขาจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาของผู้ล่ามองเหยื่อ
ฉินอีอวี๋ไม่อิดออด ตรงกันข้ามเขายิ้มพลางใช้มือข้างเดียวถอดเสื้อไหมพรมสีแดงออกอย่างไม่มีการพูดพล่าม แถมยังจงใจโยนเสื้อใส่หน้าหนานอี่
เสื้อนุ่มมีกลิ่นส้มจากตัวฉินอีอวี๋ร่วงจากหน้าหนานอี่ลงไปอยู่ที่หน้าอก
ฉินอีอวี๋รู้สึกเหมือนตัวเองตกหลุม ทั้งที่แผนเดิมคือเขาอยากเห็นหนานอี่ตัวล่อนจ้อน แต่คิดไม่ถึงว่าคนที่ชิงสารภาพจนหมดเปลือกก่อนจะเป็นตัวเอง
ฉินอีอวี๋เข้าใจว่าหนานอี่จะไม่กล้ามอง แต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะจ้องกันตรงๆ
“มองอะไร”
ฉินอีอวี๋ก้มหน้าลงมองตามสายตาของหนานอี่ เห็นรอยแผลเป็นยาวเหยียดตรงกระดูกซี่โครงของตัวเอง นักร้องหนุ่มยิ้ม เงยหน้าขึ้นพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ “นายดูตรงนี้อยู่เหรอ นี่เป็นผลที่ได้จากการผ่าตัดตอนเกิดอุบัติเหตุรถชน กระดูกซี่โครงฉันหัก โจวไหวบอกว่าตอนนั้นฉันต้องใส่เครื่องช่วยหายใจเลยนะ”
หัวคิ้วของหนานอี่ขมวดมุ่นอย่างเห็นได้ชัด ตอนที่เขามองฉินอีอวี๋ ดวงตาฉายแววกระด้างและเห็นใจ
หนานอี่กำลังเจ็บแทนอยู่เหรอ
จู่ๆ ฉินอีอวี๋ก็ฉุกคิดขึ้นมาว่าตอนที่หนานอี่ข้ามเขาข้ามดอยไปตามหาเขาจนเจอ อีกฝ่ายก็ทำหน้าแบบนี้เหมือนกันหรือเปล่า
นักร้องหนุ่มจับมือของหนานอี่ที่วางอยู่บนตักดึงเข้าหาตัว
มีเสียงดังมาจากนอกประตูห้องนอนบ่งบอกว่าคนอื่นๆ กลับมาแล้ว ดูเหมือนพวกเขากำลังคุยกันว่าจะกินมื้อดึกหรือเปล่า หนานอี่ได้ยินอย่างชัดเจน
แต่เสียงที่ชัดยิ่งกว่าคือคำเชิญชวนของฉินอีอวี๋ซึ่งแผ่วเบาจนแทบจะเป็นแค่เสียงกระซิบ
“อยากจับดูหน่อยไหม”
หนานอี่ไม่เข้าใจตัวเองเลย ทั้งที่เคยจูบกับคนตรงหน้ามาไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง จนเข้าใจว่าตัวเองมีภูมิต้านทานสูงขึ้น แต่เขากลับใจเต้นเร็วขึ้นเพราะคำพูดประโยคเดียวของอีกฝ่าย
หนานอี่คิดจนว้าวุ่น แต่ผิดกับร่างกายที่มีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างตรงไปตรงมา เขาปล่อยให้ฉินอีอวี๋นำทาง พาปลายนิ้วไปแตะรอยแผลเป็น มันดูไม่ลึกมาก แต่พอจับก็ยังคงมีรอยนูนที่ยากจะมองข้ามได้
“เจ็บไหม” หนานอี่เอ่ยถามเรื่องที่โง่เง่าออกไป
เรื่องนี้ผ่านมานานมากแล้ว
คนทั่วไปคงบอกว่าไม่เจ็บ เพราะเรื่องมันผ่านมานานมาก แต่ฉินอีอวี๋ไม่เหมือนคนอื่น
นักร้องหนุ่มพูดเสียงน่าสงสาร “เจ็บสิ พอนายจับมันเหมือนจะเจ็บขึ้นมาอีกรอบเลย”
พอเห็นหนานอี่หดมือ ฉินอีอวี๋ก็ยิ้มแล้วออกแรงกระชากมือข้างนั้นทำให้หนานอี่ถลามาตรงหน้าเขา ฉินอีอวี๋ยิ้มสบายๆ “ล้อเล่นน่ะ”
ฉินอีอวี๋ใช้มืออีกข้างหนึ่งนวดหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นของหนานอี่ “อย่าเสียใจไปเลย ฉันหนังเหนียวมาก ตอนเด็กๆ ขนาดตกต้นไหวที่บ้านปู่ ฉันยังกระโดดโลดเต้นได้ กับอีแค่กระดูกหักนี่น่ะเหรอ ผ่าตัดเสร็จก็หาย”
โกหก
แล้วใครกันที่พอหลบไปอยู่ยูนนานก็ยังเจ็บจนทนไม่ไหว ต้องใส่เสื้อกันฝนขี่จักรยานลุยฝนเข้าเมืองไปซื้อยาแก้ปวด
หนานอี่ในตอนนั้นไม่รู้ว่าฉินอีอวี๋ลุยฝนไปทำอะไร มาตอนนี้ถึงได้คำตอบ
“อยากร้องไห้เหรอ” ฉินอีอวี๋ก้มศีรษะลง ชะโงกหน้ามาหาหนานอี่เพื่อจ้องตาเขา “รักฉันขนาดนี้เชียว?”
หนานอี่ไม่อยากสนใจอีกฝ่ายแล้ว “คุณว่าใช่ก็ใช่”
แต่ใครจะรู้ว่าอยู่ดีๆ ฉินอีอวี๋จะเชยคางหนานอี่ขึ้นแล้วประทับจูบลงมาอย่างไม่มีการบอกกล่าว เขาจูบหนานอี่พลางพูดเสียงอู้อี้ “ปากนุ่มขนาดนี้…แต่ทำไมเวลาพูดถึงได้แข็งนัก”
เอาอีกแล้ว
หนานอี่พยายามผลักอีกฝ่ายออกไป แต่จู่ๆ ก็ฉุกคิดได้ว่าสิ่งที่มือตัวเองกดคือแผลเป็นกับกระดูกซี่โครงของฉินอีอวี๋ แรงผลักเลยสลายหายไปก่อนจะผลักสำเร็จ หนานอี่เปลี่ยนไปผลักจุดอื่นแทน “คุณจะทำอะไร…หยุด…”
แต่ยิ่งหนานอี่ดิ้น ฉินอีอวี๋ก็ยิ่งจูบหนักขึ้น นักร้องหนุ่มเอ่ยเตือนเบาๆ “ฉันบอกแล้วไงว่าถ้าอยากหยุดให้หยิกฉัน…”
เหมือนฉินอีอวี๋จะมั่นใจว่าหนานอี่ไม่มีทางทำเขาลงถึงได้กล้าขนาดนี้ นักร้องหนุ่มตวัดแขนกอดเอวของหนานอี่แน่น น้ำเสียงซักไซ้เต็มไปด้วยความอ่อนโยน แต่ท่าทีที่รวบตัวหนานอี่ไว้เพื่อจูบนั้นกลับเต็มไปด้วยความดุดัน
“สรุปคือพอนายได้ที่อยู่ก็ไปหาฉัน…ใช่ไหม”
เหมือนฉินอีอวี๋ยังไม่ลืมว่านี่คือเกมเลยใช้วิธีใกล้ชิดสนิทสนมที่สุดมาเฉลยวิธีที่หนานอี่ใช้ตามหาเขา ในช่วงที่ลมหายใจของทั้งคู่สอดประสานกันอย่างนุ่มนวล
“ปลายเดือนสามใช่ไหม ช่วงบ่ายฉันโทรหาเด็กคนหนึ่งที่อยู่ทางนั้น นายนี่เก่งจริงๆ ซื้อตัวเขาให้เก็บความลับไว้จนถึงตอนนี้ได้ ฉันซักอยู่เป็นนานสองนานกว่าเขาจะยอมรับ…”
ฉินอีอวี๋ใช้จมูกโด่งเป็นสันเคลียคลอหนานอี่ ก่อนจะเอียงหน้าแล้วแนบริมฝีปากเข้ากับใบหูของเขา ใช้ฟันกัดเชือกผูกที่ปิดตาเพื่อแกะมันออก
ดวงตาทั้งสองข้างเผยโฉมออกมาโดยไม่สามารถเก็บซ่อนอะไรได้อีก
“ยอมรับเรื่องอะไร…”
หนานอี่ตกใจเสียงหอบของตัวเอง เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ พยายามทำให้ตัวเองกลับเป็นปกติ
ฉินอีอวี๋ทอดสายตามองมา เอาหน้าผากชนกับหน้าผากอีกฝ่ายแล้วพูดยิ้มๆ “เขาบอกว่ามีพี่ชายหน้าตาสวยมากๆ คนหนึ่งมาหา เอารูปถ่ายมาถามว่ารู้จักคนนี้หรือเปล่า”
หนานอี่ที่ถูกฉินอีอวี๋กอดรัดไว้ในอ้อมแขน หัวใจเต้นแรงเหมือนจะโลดออกมานอกอก
นี่จะต้องเป็นเพราะความจริงถูกเปิดเผยแล้วแน่นอน หนานอี่รู้สึกไม่ดีเลย
“เขาตอบนายว่ายังไง” ฉินอีอวี๋ทำท่าจะจูบแต่ไม่จูบ เคลียคลออยู่นาน ใช้แค่ปลายจมูกสัมผัส “นายยังจำได้ไหม”
“เขาบอกว่ารู้จัก คนในรูปคือครูเสี่ยวอวี๋” หนานอี่สูดกลิ่นของฉินอีอวี๋เข้าปอดพลางเล่าความจริงอย่างตรงไปตรงมา “ผมเลยให้ขนมและขอให้เขาพาผมไปหาคุณ”
ฉินอีอวี๋เอาแต่หลุบตามองริมฝีปากเดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบของหนานอี่และเขี้ยวสีขาวที่เผยตัวออกมาแบบวับแวม
“พอนายเจอตัวฉันก็ส่งของขวัญให้ พัสดุนั่นเป็นของที่นายส่งมา ขนมอบกรอบไส้ซานจาสองกล่องกับหมอนทำมือใส่เปลือกบักวีต”
หนานอี่เริ่มเงียบ
เมื่อความลับค่อยๆ ถูกเปิดเผย ตัวเขาก็ค่อยๆ ถูกฉินอีอวี๋ลอกเปลือกออกจนเหลืออยู่ไม่เท่าไหร่ เลยไม่อยากเปิดปากอีก
“รีบบอกมานะ นายไม่แนบการ์ดมาด้วยซ้ำ” ฉินอีอวี๋ใช้นิ้วแงะริมฝีปากล่างของหนานอี่อย่างมีเจตนาร้าย “พอฉันชิมชิ้นหนึ่ง พวกเด็กๆ ก็ร้องว่าอยากกิน ฉันเลยยกให้เด็กๆ ไปหมด”
หนานอี่ได้ยินก็กัดปลายนิ้วเขา แววตาเปลี่ยนเป็นดุดัน
“คุณยกให้คนอื่นหมด? รวมถึงหมอนด้วยเหรอ”
ใครจะรู้ว่าฉินอีอวี๋จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเหมือนเด็กที่เล่นเกมสำเร็จ
“ฉันอำนายต่างหาก” นักร้องหนุ่มหอมแก้มหนานอี่เบาๆ “ฉันไม่ได้แบ่งขนมให้ใครเลยสักชิ้น กินเองหมด หมอนก็เก็บไว้เหมือนกัน ฉันหนุนนอนทุกวัน แถมยังเอากลับปักกิ่งด้วย ตอนแรกฉันว่าจะเอาหมอนมาที่ค่ายนี้ แต่เสียดายที่ยัดใส่กระเป๋าเดินทางไม่ลง…หนานอี่ นายคิดยังไงถึงส่งหมอนให้ฉัน”
“หมอนมันทำไม” หนานอี่รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะหายใจไม่ออก แต่ยังคงฝืนทนเอาไว้
เขาแค่อยากช่วยให้ฉินอีอวี๋หลับสนิทขึ้นเท่านั้น
สำหรับคนที่รักการนอนมาก หลังถูกทำร้ายจนต้องหนีไปอยู่ไกลแสนไกล หากนอนหลับไม่สนิทจะทำยังไง
“นี่ไม่ใช่ของที่แสดงถึงความใกล้ชิดสนิทสนมกันอย่างที่สุดเหรอ” นิ้วของฉินอีอวี๋แทรกตัวเข้าไปในเรือนผมของหนานอี่แล้วนวดเฟ้นเบาๆ ตั้งแต่ท้ายทอยมาจนถึงกกหู “เพราะเป็นของที่ใช้หนุนนอนใช้กอดทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นตอนดีใจ เหนื่อยล้า หรือนอนไม่หลับ หมอนของนายอยู่กับฉันทุกคืน ไม่เคยแยกห่าง…”
น้ำเสียงที่ฉินอีอวี๋ใช้พูดชวนให้คิดลึก วาดภาพอีโรติกขึ้นมาในสมองของหนานอี่ได้อย่างง่ายดาย ทำให้มือเบสหนุ่มเริ่มนึกภาพตอนฉินอีอวี๋นอนหนุนหมอนขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
ทั้งที่เจตนาแรกเริ่มของเขาบริสุทธิ์สุดๆ
“สรุปว่าตอนที่นายส่งหมอนใบนี้ให้ฉัน เคยคิดหรือเปล่าว่าจะมีบางคืน…”
หนานอี่ใช้ปากปิดถ้อยคำทะแม่งๆ ของฉินอีอวี๋ไว้ ใช้มือกดไหล่เขาให้ล้มลง
การที่ฉินอีอวี๋ยังยิ้มได้นั้นกระตุ้นโทสะของหนานอี่ มือเบสหนุ่มจึงจูบแรงขึ้น เมื่ออารมณ์อยากเอาชนะเข้าครอบงำ เขาก็เริ่มดูดเม้ม ลิ้มเลียอีกฝ่ายอย่างสะเปะสะปะ ทว่าวินาทีถัดมามือของฉินอีอวี๋กลับจับชายเสื้อยืดของเขาไว้ ถอดเสื้อที่หนานอี่สวมอยู่ออกดื้อๆ
“คุณจะทำอะไร”
“ฉันเดาถูก นายแพ้ เห็นแก่ที่นายพยายามทำเพื่อฉัน ฉันจะช่วยนายเอง” ฉินอีอวี๋ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ เขามองจ้องรูปร่างของหนานอี่ด้วยดวงตาเป็นประกาย ผิวส่วนที่ไม่เคยโดนแดดขาวจัด ฉายออร่านุ่มนวลเหมือนแพรไหมใต้แสงจันทร์ กล้ามเนื้อเกร็งแน่นเป็นไลน์สวยอย่างที่สุด
หนานอี่ไม่ชอบเป็นผู้แพ้และไม่ชอบที่ฉินอีอวี๋ได้ใจเหมือนปลากระดี่ได้น้ำแบบนี้ เหมือนทุกอย่างอยู่ในกำมือของเขา ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรือปัจจุบัน ต่อให้เขาหนีไปไกลแค่ไหน ในมือก็เหมือนมีเส้นเอ็นเส้นหนึ่งคอยดึงหนานอี่ไว้เงียบๆ
มือเบสหนุ่มปัดความรู้สึกละอายใจออกไปแล้วออกแรงบีบรอยสักที่ฉินอีอวี๋สักเพื่อเขา ความรู้สึกบอกว่าส่วนที่เปราะบางที่สุดของฉินอีอวี๋ถูกรวบไว้ในมือของตน ไม่ว่าจะเป็นลมหายใจ ชีพจร หรือลูกกระเดือกที่ขยับขึ้นลง ไม่มีอะไรหนีพ้น หนานอี่มองใบหน้าหล่อเหลาที่เปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อเพราะออกซิเจนที่ค่อยๆ ลดน้อยลง เห็นว่ามีเส้นเอ็นปูดโปนขึ้นมา
ในขณะที่ตัวเขาเองสัมผัสได้ถึงความหฤหรรษ์แปลกประหลาดรุนแรงอย่างไม่มีเหตุผล คล้ายมีกระแสไฟฟ้าแล่นปราดไปทุกเซลล์ทั่วร่างกาย
ทว่าฉินอีอวี๋ยังยิ้มได้
นักร้องหนุ่มยิ้มอย่างเหิมเกริม เขาจับมือของหนานอี่ที่บีบคอตัวเองอยู่ กลั้นหายใจถามว่า “ยังไม่อิ่มอีกเหรอ แรงดีขนาดนี้เชียว”
ต่อให้ถูกยั่วโมโหหนานอี่ก็ไม่สามารถทำร้ายฉินอีอวี๋ได้จริงๆ เขาแค่บีบอีกฝ่ายพลางจูบปิดปากสมควรตายของฉินอีอวี๋ อารมณ์อยากปลดปล่อยในจูบนี้มองเห็นได้ชัดเจนมาก ปลายลิ้นแทบจะล้วงลึกเข้าไปในคอหอย เริ่มขบกัดมากกว่าลิ้มเลีย
ฉินอีอวี๋เจ็บจนนิ่วหน้า แต่กลับรู้สึกดีมากกว่าเดิม
เขากอดหนานอี่แน่นจนรับรู้ได้ว่ากล้ามเนื้อของอีกฝ่ายหดเกร็ง เหงื่อทำให้ผิวของทั้งสองเหนียวติดกัน ครั้นชายหนุ่มที่เก็บกดอารมณ์พิศวาสถูกเขาไล่ต้อนเข้ามุมทีละก้าวๆ ในที่สุดก็กระโจนขึ้นมากัดเหมือนลูกหมาป่าเพื่อระบายความปรารถนาอย่างรุนแรง
ในที่สุดหนานอี่ก็กล้าปลดปล่อยตัวเอง
ฉินอีอวี๋จมอยู่ในห้วงจุมพิตอันร้อนแรงจนเหม่อ เขาอัศจรรย์ใจเหลือเกินและอยากเห็นหนานอี่ในวัยสิบหกปีว่าเป็นแบบไหน หนานอี่อาจจะไม่นิ่งเหมือนอย่างตอนนี้ แถมยังร้ายกว่าด้วยหรือเปล่า หรือเขาจะเจ็บปวดทรมานมากกว่านี้
นักร้องหนุ่มรับรู้ถึงความเจ็บปวดทุกข์ทนของหนานอี่จากจุมพิตแต่ละครั้งได้ง่ายกว่าการงัดเอาความจริงจากปากเขามาก
ไม่ว่ายังไงฉินอีอวี๋ก็รู้ว่าในโลกใบนี้ไม่มีทางหาหนานอี่คนที่สองได้อีก จะไม่มีใครตะลอนไปกว่าครึ่งโลกเพื่อตามหาเขา ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อเข้าหาความเป็นไปได้อันน้อยนิด ไม่มีใครยอมสะกดรอยตามเพื่อนๆ ที่ไม่เอาไหนของเขา ยอมไปเฝ้าประตูบาร์เกย์ เช็กใบส่งพัสดุทีละใบๆ วิ่งรอกจากใต้ไปเหนือ จากตะวันออกไปตะวันตก ทุ่มสุดชีวิตเพื่อตามหาเขา
หมอนี่มันบ้าจริงๆ
แต่ต้องบ้าขนาดนี้แหละถึงจะหาตัวเขาพบ ทำไมหนานอี่ถึงไม่ยอมเผยตัวออกมานะ ทำไมหนานอี่ถึงเอาแต่มองดูอยู่ห่างๆ โดยรักษาระยะไว้ ไม่ยอมเจอหน้า ไม่ยอมเข้าใกล้ แถมยังฝากของขวัญแสนเปราะบางที่ตัวเองอุตส่าห์หอบหิ้วมาจากแดนไกลให้คนอื่นนำมาให้เขาก่อนจากไปเงียบๆ
หนานอี่คิดอะไรอยู่กันแน่
เขาบ้าผิดมนุษย์มนา แต่มีระเบียบเคร่งครัด
ขอบตาของฉินอีอวี๋แสบร้อนอย่างที่สุด
เอาอีกแล้ว เขาแทบจะรับตัวเองไม่ไหว หลังได้เจอกับหนานอี่ อารมณ์พวกนี้แทบจะทะลักทลายออกมาท่วมตัวเขา
ฉินอีอวี๋แกล้งทำเป็นถูกบีบจนเจ็บใกล้ขาดอากาศหายใจแล้วไอออกมา ใช้หลังมือปิดตา เช็ดน้ำตาที่กำลังจะซึมออกมา
หนานอี่หยุดกลางคัน ถอยออกห่างทันที มีสายน้ำลายที่บ่งบอกถึงความเร่าร้อนยืดยาว มือเบสหนุ่มหอบฮัก นึกอยากจะดิ้นออกจากวงแขนของฉินอีอวี๋ แต่กลับได้ผลลัพธ์ตรงกันข้ามเมื่อความผิดปกติของเขาถูกสังเกตเห็น
ตอนจบของเกมแมวจับหนูนี้ หนานอี่ถูกจับแฉความจริงอย่างไร้ความปรานี
“เสี่ยวอี่ นายมีอารมณ์แล้ว”
หนานอี่แทบจะระเบิดตูม แต่ถูกฉินอีอวี๋ยึดมือไว้ทำให้ตำแหน่งถูกสลับกัน เป็นเขาที่ถูกกดตัวไว้แน่น
มือเบสหนุ่มกัดฟัน “คุณฝันไปเองต่างหาก”
ฉินอีอวี๋หัวเราะเบาๆ
“จริงเหรอ แต่นายแข็งกว่าในฝันของฉันอีกนะ”
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 3
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN
Comments



