everY
ทดลองอ่าน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 1 บทที่ 5 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 1
ผู้เขียน : เหยียนเหลียงอวี่
แปลโดย : สนสราญ
ผลงานเรื่อง : พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การตาย การฆาตกรรม
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ
การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน การบูลลี่
การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 5
หายดี
ทันทีที่เสียงดังกล่าวสิ้นสุด เจิ้งลั่วจู๋ ฟั่นเพ่ยหยาง และถังหลิ่นก็ถูกส่งกลับมายังโลกแห่งความเป็นจริง
ตำแหน่งพิกัดแท้จริงที่สอดคล้องกับห้องอธิษฐานคือซินเจียง อุณหภูมิช่วงหลังเที่ยงคืนเย็นยะเยือก
วั่นเฟิงหมาง จางเฉียน และเถิงจื่อเยี่ยนสามคนที่ออกมาก่อนนั้นไม่ได้ไปไหน เดิมพวกเขาตั้งใจคิดจะกินมื้อส่งท้ายกับเถ้าแก่ฟั่นสักมื้อ แต่นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะพาคนออกมาเพิ่มอีกคน
ฟั่นเพ่ยหยางไม่ยอมเสียเวลา เขาพาถังหลิ่นตรงไปที่สนามบิน
ทั้งสามคนเต็มไปด้วยคำถาม พวกเขาทำได้เพียงคว้าตัวเจิ้งลั่วจู๋ไว้
โชคดีที่เจิ้งลั่วจู๋เองก็ไม่ได้ตัดสินใจที่จะวิ่งหนี ตลอดระยะเวลาหลายเดือนมานี้พวกเขาสี่คนเคียงบ่าเคียงไหล่ทำเควสมาด้วยกัน ดังนั้นจึงหาสถานที่ใกล้ๆ ดื่มเหล้าพูดคุยกันพร้อมถือโอกาสเลี้ยงส่งท้ายไปในตัว
“คำอธิษฐานของเถ้าแก่ฟั่นคือการพาคนคนนั้นเข้าไปทำเควสฝ่าด่านด้วย?” หลังฟังเจิ้งลั่วจู๋เล่าจบ คนทั้งสามก็ต่างพากันตกตะลึงอ้าปากค้าง
“ฉันบอกได้แค่ว่าเจ้านายเข้าไปคนเดียว ออกมาสองคน ส่วนที่ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องอธิษฐานนั้นพวกนายคิดดูเอาเองก็แล้วกัน” เจิ้งลั่วจู๋ยังคงตั้งตนอยู่ในขอบเขตของผู้สังเกตการณ์อย่างเข้มงวด ทำเพียงถ่ายทอดไม่แต่งแต้มระบายสี
ทั้งสามคนมองตากันปริบๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น สุดท้ายก็ปล่อยวางเรื่องของอดีตเจ้านายที่ยากจะคาดเดาได้ลง สายตาจับจ้องไปที่เจิ้งลั่วจู๋แทน
“จู๋จื่อ ทำไมนายถึงยังจะเล่นเกมต่ออีก”
เจิ้งลั่วจู๋วางแก้วเหล้าลง เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยปากออกมาอย่างระมัดระวัง “ถ้าฉันบอกว่าฉันทำไปเพื่อเงิน พวกนายจะว่าฉันโง่หรือเปล่า”
เถิงจื่อเยี่ยนไม่มีอะไรจะพูด “เชี่ย”
จางเฉียนมองดูอีกฝ่ายด้วยสายตาดูแคลน “โง่”
วั่นเฟิงหมางถอนหายใจ “โง่บัดซบ”
เจิ้งลั่วจู๋หรี่ตา “พวกนายเริ่มเห็นเงินทองเป็นของไร้ค่าตั้งแต่เมื่อไหร่”
ยังไม่ทันพูดจบ ใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นกระตือรือร้นจนระงับไว้ไม่อยู่ทั้งสามก็ขยับเข้ามาใกล้ “รีบว่ามา นายขอเงินกับห้องอธิษฐานนั่นเท่าไหร่”
“…” เจิ้งลั่วจู๋เงียบ เขารู้ว่าหัวข้อสนทนาที่กระตุ้นความรู้สึกคนได้ดีที่สุดก็คือการพูดถึงเรื่องเงินๆ ทองๆ
มื้อนั้นกินดื่มกันจนกระทั่งฟ้าสาง จางเฉียนดื่มจนเมา คอพับคออ่อนคอยถามวั่นเฟิงหมางไม่เลิกว่าจบแล้วจริงๆ ใช่ไหม ไม่ต้องเข้าไปในที่สับปะรังเคนั่นอีกแล้วใช่หรือเปล่า ถามจนวั่นเฟิงหมางนึกอยากจับอีกฝ่ายยัดกลับเข้าไปอีกครั้ง
อันที่จริงไม่ว่าใครก็ไม่อาจรับประกันได้ จนถึงตอนนี้พวกเขาสามคนก็ไม่มีใครมั่นใจว่าฝันร้ายนั่นจบสิ้นแล้วจริงๆ หรือเปล่า ถึงขั้นไม่กล้าลิงโลดยินดีเกินไปนัก กลัวว่าเส้นทางสู่ยอดเขาจะคดเคี้ยววกวน* จนดีใจเก้อกันเปล่าๆ
เจิ้งลั่วจู๋เรียกรถแท็กซี่มาสองคัน คันหนึ่งส่งคนทั้งสามกลับโรงแรม อีกคันส่งตัวเองไปสนามบิน
“จะไปแล้ว?” เถิงจื่อเยี่ยนรู้สึกแปลกใจอยู่เล็กๆ “เหนื่อยกันมาทั้งคืนแล้ว ยังไงก็พักผ่อนสักหน่อยเถอะ นายเพิ่งบอกไม่ใช่เหรอว่ากว่าเควสใหม่จะเปิดก็อีกหนึ่งเดือน”
“ไม่เป็นไร หลับบนเครื่องเอาก็ได้” เจิ้งลั่วจู๋หาวออกมาทีหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ลืมกำชับสั่ง “พวกนายถ้าไม่รีบกลับก็อยู่ต่ออีกสักสองสามวันสิ ถือเสียว่ามาเที่ยว”
เถิงจื่อเยี่ยนตบหลังเขาอย่างไม่สบอารมณ์นัก “เถ้าแก่ฟั่นควรมอบตำแหน่งพนักงานยอดเยี่ยมให้นาย”
ท้องฟ้าที่ซินเจียงสว่างช้ากว่าที่ปักกิ่ง ตอนเจิ้งลั่วจู๋มาถึงสนามบินตะวันก็ขึ้นสูงสามลำไผ่** แล้ว เที่ยวบินรอบเช้าที่จะบินไปปักกิ่งออกไปนานแล้ว แน่นอนเรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรกับเขามากนัก เพราะเขายังไม่ตัดสินใจจะกลับปักกิ่งในตอนนี้ ดังนั้นหากเจ้านายของเขาเป็นเหมือนอย่างที่เถิงจื่อเยี่ยนบอก ยกตำแหน่งพนักงานยอดเยี่ยมให้ เขาก็อายที่จะรับมันไว้จริงๆ
ท่ามกลางเสียงเครื่องยนต์ดังสะเทือนเลื่อนลั่น เครื่องบินทะยานขึ้นรวดเร็ว
เจิ้งลั่วจู๋มองออกไปนอกหน้าต่าง พื้นดินห่างไกลออกไปมากขึ้นทุกที สิ่งปลูกสร้างดูเล็กลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็เหลือเพียงเมฆขาว
เขากลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง หูที่อื้อเพราะความกดอากาศโล่งขึ้นทันที เสียงเครื่องยนต์คำราม เสียงจ้อกแจ้กจอแจในห้องโดยสารที่เคยเหมือนมีอะไรกั้นขวางไว้ตอนนี้กลับกระจ่างชัด
ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นจริง รวมถึงเสียงเต้นของหัวใจเขา
หลังออกมาจากห้องอธิษฐานความรู้สึกปลอดโปร่ง สนุกสนาน เมฆบางสายลมพัดแผ่วทั้งหลายทั้งปวงล้วนหลุดลอกพังทลายหมดสิ้น เขายืนอยู่ท่ามกลางเศษซากของภาพลวงตา ลมหายใจไม่สม่ำเสมอ ฝ่ามือร้อนผ่าว เผยตัวตนที่แท้จริงออกมา
“ผู้โดยสารคะ” น้ำเสียงหวานล้ำดังขึ้นมา
เจิ้งลั่วจู๋ตะลึงหันหน้ามองไป “เอ๋?”
แอร์โฮสเตสที่กำลังเข็นรถเข็นเครื่องดื่มยิ้ม “ไม่ทราบว่าผู้โดยสารต้องการดื่มอะไรไหมคะ”
“น้ำเปล่า” เจิ้งลั่วจู๋ตอบไปตามพฤติกรรมการตอบสนองแบบมีเงื่อนไข*** หลังจากผ่านไปได้ครึ่งวินาทีเขาก็ยิ้มสุภาพคล้ายกลับกลายเป็นได้สติ “รบกวนช่วยเติมน้ำแข็งให้ด้วยนะครับ”
ตอนบ่าย เครื่องบินมาลงจอดยังเมืองหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางภาคเหนือ
เจิ้งลั่วจู๋แจ้งที่อยู่กับคนขับรถแท็กซี่ สี่สิบนาทีหลังจากนั้นคนขับก็พาเขามาส่งยังสถานที่ที่เป็นจุดหมายอย่างแม่นยำ
ที่นี่เป็นอาคารบ้านพักสวัสดิการเก่าแก่ของรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง เพื่อดำเนินการสร้างเขตที่พักอาศัยใหม่ อาคารรอบๆ ที่มีลักษณะเดียวกันถูกรื้อถอนไปไม่น้อยแล้ว มีแต่มันเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่ที่นั่น ซื่อสัตย์ เรียบง่าย ซ้ำยังดื้อรั้นเหมือนเหล่าคนงานในยุคนั้น
แม้ว่าอาคารจะเก่าแต่ก็อบอุ่นไปด้วยความมีน้ำใจ บางครั้งบางคราวก็จะมีผู้พักอาศัยในอาคารเดินออกมา พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนอายุมากแล้ว ถ้าบนอาคารมีคนหมอบมองฟ้าอยู่กับวงกบหน้าต่าง คนพวกนั้นก็จะตะโกนทักทายคนที่อยู่ทางด้านล่าง
เจิ้งลั่วจู๋นั่งห่างจากแปลงปลูกดอกไม้ไม่ไกลนัก เขานั่งอยู่ตรงนั้นตั้งแต่บ่ายจนพลบค่ำ ในที่สุดก็มองเห็นชายหญิงอายุมากคู่หนึ่งควงกันออกมาเดินเล่น
เขามองดูคนทั้งคู่เงียบๆ
ท้องฟ้าใกล้มืดแต่ก็ยังไม่มืด สามีภรรยาคู่นั้นเดินกลับมาด้วยกัน
เจิ้งลั่วจู๋แอบดูคนทั้งคู่เดินกลับเข้าตัวอาคารไปอย่างเงียบๆ
ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นมืดสนิท หน้าต่างแต่ละบานสว่างไสวด้วยแสงไฟอบอุ่น
โคมไฟริมถนนเองก็สว่างขึ้นเช่นกัน แสงเหล่านั้นขับไล่ความมืดของเงาไม้ เผยให้เห็นใบหน้าด้านข้างของคนที่นั่งอยู่ทางด้านล่างกับสายตามุ่งมั่นคู่นั้น
เจิ้งลั่วจู๋จองตั๋วเครื่องบินกลับปักกิ่งผ่านทางโทรศัพท์ ลุกขึ้นมุ่งหน้าไปยังสนามบิน
สามชั่วโมงก่อน ณ โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในเมืองปักกิ่ง
“เนื้องอกในสมองหายไปแล้ว ผลการตรวจร่างกายทุกด้านล้วนชี้ชัดว่าคนไข้รายนี้เป็นปกติดี เดิมทีเรื่องนี้ไม่น่าเป็นไปได้…” หมอรักษาท่าทีเยี่ยงมืออาชีพไว้ไม่อยู่ ผลกระทบที่เกิดขึ้นทำเอาระบบองค์ความรู้ของเขาพังทลายหมดสิ้น
“แน่ใจว่าไม่มีปัญหาแล้วใช่ไหม” ฟั่นเพ่ยหยางสนใจแต่เรื่องนี้
อารมณ์ของหมอเป็นปกติอย่างรวดเร็ว แต่ในใจยังคงรู้สึกหวั่นๆ สายตาที่อยู่หลังแว่นตากลายเป็นจับจ้องสงสัย “คุณทำอะไรกับเขา”
หมอยินดีเชื่อในความอัศจรรย์ทางการแพทย์ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะรับเรื่องที่เป็นไปไม่ได้นี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนไข้ของตัวเอง สภาพร่างกายของถังหลิ่นเป็นอย่างไรเขาย่อมรู้ดีกว่าใครทั้งหมด
สีหน้าของฟั่นเพ่ยหยางยังคงเหมือนเดิม สองตาก็ไม่แม้แต่จะกะพริบ คล้ายไม่ได้ยินข้อสงสัยของผู้เป็นหมอ เขาทำเพียงถามอย่างจริงจังว่า “การดูแลรักษาหลังจากนี้ต้องใส่ใจอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ”
“ไม่มีการรักษาหลังจากนี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องดูแลอะไรเป็นพิเศษ เขาในเวลานี้เหมือนคนที่สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงคนหนึ่ง” หมอนวดขมับที่ปวดหนึบ รู้ดีว่าถามไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ครอบครัวของผู้ป่วยทิฐิสูงรายนี้ เขาเองก็ใช่ว่าจะเพิ่งรู้จักเป็นวันแรก
“ขอบคุณครับ” ฟั่นเพ่ยหยางลุกขึ้น “อีกสักครู่คนของผมจะมาทำเรื่องออกจากโรงพยาบาล”
หลังออกจากห้องทำงานของหมอแล้วฟั่นเพ่ยหยางก็ไม่ได้รีบร้อนกลับห้องพักผู้ป่วย เขาไปยืนอยู่หน้าหน้าต่างบนระเบียงกว้างโล่ง มองออกไปด้านนอกนิ่งๆ
นี่เป็นช่วงบ่ายที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งแจ่มใส ท้องฟ้าสีฟ้าสะอาดราวกับผ่านการซักล้างมาก่อน เมฆขาวราวกับปุยนุ่นแบบนี้ใช่ว่าจะพบเห็นกันได้ง่ายๆ ในปักกิ่ง
ฟั่นเพ่ยหยางยืนค้ำอยู่ตรงขอบหน้าต่าง จ้องมองแผ่นฟ้าอยู่นาน นานจนกระทั่งกระดูกนิ้วเริ่มซีดขาว เขาผ่อนลมหายใจยาวๆ ช้าๆ ออกมาทีหนึ่ง
เขาไม่โอ้เอ้เสียเวลาอีก ฟั่นเพ่ยหยางหันหลังเดินกลับไปที่ห้องพักผู้ป่วย ทันทีที่ผลักประตูเปิดเขาก็เห็นถังหลิ่นนั่งอยู่บนเตียง อีกฝ่ายยังคงสวมชุดผู้ป่วยที่สวมตอนไปตรวจร่างกาย แต่ในเวลานี้สีหน้าของอีกฝ่ายกลับไม่เหมือนคนป่วยเลยแม้แต่น้อย ผิวขาวอมชมพู ดูมีกำลังวังชาดี
มุมปากของฟั่นเพ่ยหยางยกขึ้นน้อยๆ น้ำเสียงของเขาแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกอดใจไม่ไหวโดยที่ตัวเองก็ยังไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำ “เก็บของเถอะ พวกเราออกจากโรงพยาบาลกัน”
ถังหลิ่นมองดูฟั่นเพ่ยหยางด้วยสายตางงงัน สายตาปราศจากรอยยิ้มสบายๆ เหมือนเช่นทุกครั้ง ตรงกันข้ามกลับเย็นเยียบอย่างเห็นได้ชัด
แต่เขาไม่ได้ตั้งใจ เขาแค่ไม่อาจปลาบปลื้มดีอกดีใจที่หายป่วยได้เหมือนอย่างฟั่นเพ่ยหยางก็เท่านั้น นับแต่ตื่นลืมตาขึ้นมาในสถานที่แปลกประหลาดนั่น เขาก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยความรู้สึกฉงนสนเท่ห์ ตอนกลับมาปักกิ่ง ทำการตรวจร่างกาย เขาแทบจะถูกความรู้สึกสงสัยพวกนั้นกลืนกินไปจนหมด หนึ่งวินาทีก่อนหน้านี้เขายังเป็นทุกข์กับเรื่องเนื้องอกในสมองอยู่เลย แต่อีกหนึ่งวินาทีต่อมากลับสามารถวิ่งสามารถกระโดดโลดเต้นได้สบายๆ แล้ว?
“ฟั่นเพ่ยหยาง” ถังหลิ่นพยายามควบคุมน้ำเสียงของตนเองให้สงบเยือกเย็นที่สุด “ตกลงมันเกิดเรื่องอะไร…”
เสียงของเขาชะงักอยู่เพียงแค่นั้น
มือข้างหนึ่งของฟั่นเพ่ยหยางประคองอยู่ข้างแก้มเขา นิ้วโป้งกดริมฝีปากเขาไว้อย่างอ่อนโยน
“พวกเราไปคุยกันที่อื่นเถอะ”
วิลล่าของฟั่นเพ่ยหยางอยู่ไม่ไกลจากบริษัท ท่ามกลางบรรยากาศคึกคักโดยรอบสภาพแวดล้อมของที่นี่กลับเงียบสงบ
ใกล้ค่ำแล้ว แสงจากดวงอาทิตย์ที่กำลังตกเปลี่ยนห้องรับแขกให้อบอุ่น
ถังหลิ่นนั่งอยู่บนโซฟา มองดูแก้วน้ำที่ตั้งอยู่บนโต๊ะด้วยสายตาเหม่อลอย เขาต้องการเวลาย่อยข่าวสารจำนวนมากที่ได้รับมาเมื่อครู่
ฟั่นเพ่ยหยางนิ่งรอ
“ความหมายของคุณคือ” ในที่สุดถังหลิ่นก็เอ่ยปาก “คุณลากผมเข้าไปในโลกที่ว่านั่น ใช้เครื่องมือช่วยให้ผมกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม ค่าตอบแทนคือหลังจากวันนี้ไปผมก็จะเหมือนกับคุณ ทุกคืนต้องเข้าไปทำเควส ก่อนจะกลับมายังโลกแห่งความเป็นจริงก่อนรุ่งเช้า?”
ฟั่นเพ่ยหยางพยักหน้า “โดยรวมก็เป็นแบบนั้น แค่ไม่ใช่เครื่องมือ แต่เป็นไอเทม”
“มีกำหนดระยะเวลาหรือเปล่า” ถังหลิ่นถาม
ฟั่นเพ่ยหยางตอบ “ผลของการใช้ไอเทมรักษาจะดำรงอยู่ตลอดไป”
ถังหลิ่นถามต่อ “ในอนาคตผมจะไม่ป่วยอีก?”
“เท่าที่ผมรู้ มันเป็นแค่ไอเทมรักษาที่ใช้ได้ครั้งเดียว ซึ่งนั่นก็หมายความว่ามันไม่อาจรับประกันได้ว่าคุณจะไม่ป่วยอีกตลอดไป” ฟั่นเพ่ยหยางตอบ
“แล้วเรื่องการทำเควสนั่น ถ้าล้มเหลวคนจะตายหรือเปล่า”
ฟั่นเพ่ยหยางอธิบาย “ไม่ ทันทีที่ได้รับบาดเจ็บถึงขั้นเสียชีวิต คนจะถูกดีดกลับมายังโลกแห่งความจริง อย่างมากก็ได้รับบาดเจ็บนิดหน่อย แต่ตอนถูกดีดออกมานั้นคุณจะรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดของความตายด้วย”
ถังหลิ่นถามต่อ “แจ้งตำรวจได้ไหม”
ฟั่นเพ่ยหยาง “ความเป็นไปได้เท่ากับศูนย์ เพราะทันทีที่คุณคิดจะเอ่ยปากบอกเรื่องนี้ให้คนนอกรู้ หัวคุณก็จะปวดจนแทบแตก ไม่มีปัญญาปริปากบอกใครได้”
ถังหลิ่น “คำถามสุดท้าย ผมต้องเริ่มตั้งแต่แรก หรือว่าเหมือนกับคุณ แค่ผ่านเควสที่เหลืออีกแค่สิบเควสให้ได้ก็พอ”
“ตอนนี้ยังไม่รู้ชัด แต่ถ้าต้องแยกกัน ผมจะหาวิธีไปรวมตัวกับคุณให้ได้”
ความเงียบเข้าปกคลุมห้องรับแขกอีกครั้ง แสงอาทิตย์ที่ยังเหลือจับอยู่บนใบไม้สีเขียวเกิดเป็นลวดลายต่างๆ
เรื่องราวไม่ได้สาหัสสากรรจ์เหมือนอย่างที่ถังหลิ่นคิดไว้ การช่วยให้หายจากโรคที่ไม่มีทางรักษาและความปรารถนาที่แทบจะเรียกได้ว่าไม่ต่างอะไรกับการหวังให้คนตายฟื้นมามีชีวิตใหม่นี้ เดิมเขาคิดว่ามันอาจเป็นเหมือนในตำนานหรือเรื่องเล่ามากมายที่ต้องเอาวิญญาณไปแลกกับภูตผีปีศาจ หรือต้องสิ้นเนื้อประดาตัว หรือไม่ก็ต้องแลกเปลี่ยนกับของสำคัญอะไรบางอย่าง
แต่นี่กลับไม่มี
เขากับฟั่นเพ่ยหยางแค่ไปยังที่ที่เดียวกัน ทำเรื่องเรื่องเดียวกัน เควสงั้นเหรอ ผ่านได้ก็จบแล้ว
ถังหลิ่นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะผ่อนมันออกมาช้าๆ จนตอนนี้เขาถึงเพิ่งรับรู้อุณหภูมิอุ่นร้อนของชีวิตที่หมุนเวียนกลับมาใหม่อีกครั้งได้อย่างแท้จริง
ฟั่นเพ่ยหยางที่นั่งอยู่บนโซฟาฝั่งตรงกันข้ามคือคนที่มอบทุกสิ่งทุกอย่างนี้ให้กับเขา
ถังหลิ่นลุกขึ้นเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าฟั่นเพ่ยหยาง เขาค้อมกายกอดอีกฝ่ายแน่นอย่างไม่นึกลังเล
“คุณช่วยชีวิตผมไว้”
ไม่มีคำพูดประดิดประดอย ไม่มีคำขอบคุณมากมายเป็นกระบุง แค่คำพูดสั้นๆ เรียบง่าย ทว่าทุกตัวอักษรกลับหนักนับพันจิน*
ฟั่นเพ่ยหยางไม่ฝืนสะกดกลั้นอารมณ์ความรู้สึกอีกต่อไป เขาโอบอีกฝ่ายไว้แน่น
วินาทีถัดมาฟ้าดินก็หมุนคว้าง
ถังหลิ่นไม่ทันได้ตั้งตัว ตัวคนก็ถูกกดติดกับโซฟาแล้ว
ดวงตาของฟั่นเพ่ยหยางดำสนิท สุกสว่างวับวาวเป็นประกาย ทันทีที่ร่างกายแนบสนิทกัน เขาก็ก้มศีรษะลงไปหาริมฝีปากของถังหลิ่น
ทว่า…ไม่สำเร็จ
มือเย็นๆ ข้างหนึ่งยันหน้าผากเขาไว้
ที่ปรากฏต่อสายตาของฟั่นเพ่ยหยางคือถังหลิ่นกำลังขมวดคิ้วน้อยๆ
“โอเค” ฟั่นเพ่ยหยางฝืนสะกดความรู้สึกกระสับกระส่ายภายในร่างกาย ยอมประนีประนอมทั้งๆ ที่ไม่เต็มใจนัก “งั้นผมไปอาบน้ำนะ”
เขาลงจากโซฟาด้วยท่าทางคล่องแคล่ว รีบเดินตรงไปยังห้องน้ำ ทว่ายังไม่ทันพ้นออกจากห้องรับแขกเขาก็ได้ยินถังหลิ่นถาม
“ฟั่นเพ่ยหยาง คุณคิดจะทำอะไรกันแน่?”
น้ำเสียงของถังหลิ่นแฝงความไม่เข้าใจและต่อต้าน ทำเอาสองเท้าของฟั่นเพ่ยหยางชะงักค้าง หยุดนิ่งอยู่กับที่
* เส้นทางสู่ยอดเขาคดเคี้ยววกวน เป็นสำนวน อุปมาถึงเรื่องราวประสบความล้มเหลว พ่ายแพ้ หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่
** ตะวันขึ้นสูงสามลำไผ่ เป็นสำนวน หมายถึงเวลาสาย
*** การตอบสนองแบบมีเงื่อนไข (conditioned reflex) หมายถึงการเรียนรู้แบบมีเงื่อนไข ตามทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบดั้งเดิมของอีวาน ปัฟลอฟ ซึ่งเชื่อว่าการเรียนรู้ของสิ่งมีชีวิตจำนวนมากเกิดจากการวางเงื่อนไข กล่าวคือการตอบสนองหรือการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นต่อสิ่งเร้าหนึ่งมักมีเงื่อนไขหรือสถานการณ์เกิดขึ้น ซึ่งในสภาพปกติหรือในชีวิตประจำวันอาจไม่มีการตอบสนองเช่นนั้น
* จิน หรือชั่ง เป็นมาตราชั่งของจีน ที่มีน้ำหนักประมาณครึ่งกิโลกรัม และยังนิยมใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน
โปรดติดตามตอนต่อไป…