everY
ทดลองอ่าน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 1 บทที่ 7 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 1
ผู้เขียน : เหยียนเหลียงอวี่
แปลโดย : สนสราญ
ผลงานเรื่อง : พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การตาย การฆาตกรรม
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ
การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน การบูลลี่
การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 7
ครั้งแรกที่มาถึง
วันเริ่มต้นเควสใหม่
เจิ้งลั่วจู๋มารายงานตัวที่บริษัทของผู้เป็นเจ้านายตรงตามเวลา หลังจากนั้นก็ไปนั่งอยู่บนโซฟารับแขกภายในห้องทำงานของฟั่นเพ่ยหยาง มองดูเจ้านายของตัวเองเซ็นเอกสาร เซ็นเอกสาร และเซ็นเอกสาร
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปในที่สุดประธานฟั่นก็ให้ผู้ช่วยเข้ามาเอาเอกสารฉบับสุดท้ายไป ฟั่นเพ่ยหยางวางปากกาลงและเงยหน้าถาม “ทุกอย่างจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว?”
เจิ้งลั่วจู๋ตบกระเป๋าเดินทางหนักอึ้งที่อยู่ข้างขา “วางใจได้ เจ้านาย ของที่เอาไปได้ผมล้วนเอามาครบถ้วนแล้ว นอกจากนี้ผมยังเอามีดไปด้วยอีกสองสามเล่ม”
ไม่มีใครรู้ว่าเควสใหม่อนุญาตให้พกอาวุธไปด้วยหรือเปล่า แต่พกไปอย่างไรก็ดีกว่าไม่พก หากไม่อนุญาต อย่างมากตอนถูกดูดเข้าไปในโลกของการทำเควสฝ่าด่าน อาวุธก็จะยังคงอยู่ที่เดิม หากอนุญาตให้เอาติดตัวไปด้วย นั่นย่อมเท่ากับว่าพวกเขามีของไว้ใช้ป้องกันตัว
ฟั่นเพ่ยหยางพยักหน้า สายตาเคลื่อนอยู่บนตัวเจิ้งลั่วจู๋อยู่ครู่หนึ่ง “สีหน้าไม่เลวนี่”
เจิ้งลั่วจู๋กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที แผ่นหลังเหยียดตรง “หนึ่งเดือนมานี้ผมไม่ทำอะไรเลย แค่กินเต็มที่ พักผ่อนเพียงพอ ชดเชยที่ต้องอดตาหลับขับตานอนทำเควสก่อนหน้านี้”
สี่ตาสบประสานกัน เจิ้งลั่วจู๋ค่อยๆ เงียบเสียง
ตอนนี้เจ้านายดูอ่อนล้าและซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือน…ไม่สิ เขาอยากเอ่ยปากชมผิวของอีกฝ่ายจริงๆ
สายลมแผ่วเบาพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่แง้มไว้ครึ่งหนึ่ง หนังสือบนโต๊ะสะบัดเกิดเป็นเสียงพึ่บพั่บ
ฟั่นเพ่ยหยางมองไปตามเสียง แต่อยู่ดีๆ สายตาก็หยุดลงคล้ายตกอยู่ท่ามกลางความคิดอะไรบางอย่าง
เจิ้งลั่วจู๋ไม่กล้ารบกวนผู้เป็นนาย ประสบการณ์บอกเขาว่าหลังจัดการกับเรื่องราวในบริษัทเสร็จ ฟั่นเพ่ยหยางก็จะเปลี่ยนไปอยู่ในโหมดทำเควส ส่วนลูกจ้างอย่างเขามีหน้าที่แค่รอฟังคำสั่งเท่านั้น
ไม่ผิดจากที่คิด หลังผ่านไปครู่หนึ่งนิ้วมือของฟั่นเพ่ยหยางที่วางอยู่บนโต๊ะก็เริ่มกระดิกเคาะเบาๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า
“ทำไม…ครั้งนี้ถึงต้องให้เวลาพวกเราเตรียมตัวถึงหนึ่งเดือนด้วย
พิกัดของเควสใหม่อยู่ที่ไหน”
เจิ้งลั่วจู๋เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก “เจ้านาย คุณกำลังถามผมเหรอ”
สายตาของฟั่นเพ่ยหยางเคลื่อนไปจับอยู่บนใบหน้าของอีกฝ่าย “นายมีความคิดเห็นอะไรบ้าง”
เจิ้งลั่วจู๋ “ไม่มีครับ”
ฟั่นเพ่ยหยาง “โอเค”
เจิ้งลั่วจู๋ “…”
เขาดูเหมือน ไม่ ฉันถูกรังเกียจแล้วแน่ๆ
ประตูห้องทำงานเปิดออกอีกครั้งโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าเลยแม้แต่น้อย คนที่มาไม่ได้เคาะประตู ทำเพียงผลักประตูเดินตรงเข้ามาเฉยๆ
เจิ้งลั่วจู๋ลุกขึ้นยืนตามการตอบสนองแบบมีเงื่อนไข สายตาสบเข้ากับสายตาของถังหลิ่นพอดี เขารีบทักทายอีกฝ่ายด้วยมารยาท “ประธานถัง”
ก่อนหน้านี้เขากับถังหลิ่นเคยเจอหน้ากันสองครั้ง แต่ได้พูดคุยแบบนี้ คงต้องบอกว่าเป็นครั้งแรก
พอนึกขึ้นได้ว่าบางทีถังหลิ่นอาจไม่รู้จักชื่อของตัวเอง เจิ้งลั่วจู๋ก็รีบพูดเสริม “ผมชื่อเจิ้งลั่วจู๋ เรียกผมจู๋จื่อก็ได้ครับ”
ถังหลิ่นยิ้มให้เขาทีหนึ่ง ก่อนเอ่ยปากทักทายด้วยมารยาท ท่าทีเหินห่างนิดๆ “เรียกผมถังหลิ่นก็พอ”
หางตาของเจิ้งลั่วจู๋สังเกตเห็นเจ้านายกำลังจับจ้องมาทางนี้ เจิ้งลั่วจู๋พยักหน้าเต็มแรง “ได้ครับ ประธานถัง”
ถังหลิ่นพยักหน้าน้อยๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาหันเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าโต๊ะของฟั่นเพ่ยหยาง ดึงเก้าอี้ออกมาแล้วทิ้งตัวลงนั่ง
เจิ้งลั่วจู๋มองดูเงาร่างของอีกฝ่ายด้วยสายตาเคลือบแคลงสงสัย รู้สึกเหมือนอีกฝ่ายไม่เหมือนเดิม การพบเจอกันสองครั้งก่อนล้วนเกิดขึ้นที่โรงพยาบาล ความรู้สึกที่เขามีต่อถังหลิ่นตลอดทั้งสองครั้งคืออีกฝ่ายเป็นคนอารมณ์ดีเป็นพิเศษ มองโลกในแง่ดี อีกทั้งยังอบอุ่นอ่อนโยน ทว่าถังหลิ่นในตอนนี้คล้ายเย็นชาอยู่เล็กน้อย
คนทั้งสามอยู่ในห้องทำงานจนกระทั่งค่ำมืดดึกดื่น
ระหว่างนั้นฟั่นเพ่ยหยางได้กำชับบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับการทำเควสฝ่าด่านให้ถังหลิ่นฟัง ถังหลิ่นจดจำไปทีละอย่างๆ
หลังจากคืนนั้นคนทั้งสองก็ไม่พูดถึงเรื่องที่ความทรงจำขาดหายไปอีก
เวลา 00:00 น.
“ฮูกๆ”
นี่เป็นครั้งที่สองที่ถังหลิ่นได้ยินเสียงนี้ คราวนี้เขาได้ยินมันอย่างชัดเจน ไม่ผิดจากที่ฟั่นเพ่ยหยางบอกไว้ มันคือเสียงนกเค้าแมว
น้ำวนบิดเบี้ยวสีม่วงปรากฏขึ้นบนเพดาน จากนั้นก็ดูดคนทั้งสามเข้าไปภายใน
ฟ้าดินหมุนคว้าง พวกเขาหล่นลงหน้าลิฟต์แคบๆ ตัวหนึ่ง ระเบียงเก่าคร่ำคร่า ป้ายร้านป้ายโฆษณาหลากหลายสีสันสว่างไสว ลิฟต์อยู่ในสภาพทรุดโทรม ด้านหน้ามีแผงกั้นเหล็กยืดหดได้กั้นอยู่อีกชั้น สภาพของมันไม่ต่างอะไรกับลิฟต์ในเกาะเกาลูนของฮ่องกงเมื่อศตวรรษที่แล้ว
ทั้งสามคนตกถึงพื้นแต่กลับมีเสียงดังขึ้นเจ็ดครั้ง
ทุกคนต่างมองหน้ากันไปมา รู้สึกประหลาดใจ
“กลุ่มอู่เฮยตั่ง?”
“จางเฉวียน?”
“เหล่าเก่อ?”
“เสี่ยวอวี้ เสี่ยวหลี่?”
หนึ่งคนหนึ่งประโยค ต่างฝ่ายคล้ายจะรู้จักกันอย่างดี
พวกเขาต่างเคยเจอกันตอนทำเควส บางคนถึงกับเคยสู้กันมาก่อน
“มิน่าถึงต้องให้รอตั้งยี่สิบวัน ที่แท้ก็รอรวบรวมคนนี่เอง” เก่อซาผิงวางท่าตระหนักรู้
“ยี่สิบวัน? งั้นนายก็ขาดทุนแล้ว” อวี้เฟยพูดอวดเก่ง “พวกเราได้พักกันตั้งเดือนครึ่ง”
พอเจิ้งลั่วจู๋ได้ยินแบบนั้นก็พอเข้าใจได้ทันที วันเปิดเควสใหม่ถูกกำหนดไว้แน่นอนแล้ว เพราะแต่ละทีมไปถึงห้องอธิษฐานไม่พร้อมกัน ดังนั้นระยะเวลาหยุดพักของแต่ละคนจึงไม่เท่ากัน
ปัญหาคือทำไมกำหนดเปิดเควสใหม่ถึงได้ช้าแบบนี้
หรือจะเป็นอย่างที่พวกเขาได้ยินในห้องอธิษฐาน คือเพื่อให้พวกเขาได้มีเวลาเตรียมตัวอย่างเพียงพอ หรือที่จริงแล้วจะเป็นเหมือนที่เก่อซาผิงบอก นั่นคือเพื่อรวบรวมจำนวนคน
“ได้พบเจอกันที่นี่ นับเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง” เก่อซาผิงใช้น้ำเสียงโดดเด่นไม่เหมือนใครเอ่ยปากกระเซ้าอย่างเปิดเผย “ดูเหมือนว่าพวกเราจะเป็นพวกทะเยอทะยานด้วยกันทั้งนั้น”
ไม่มีใครพูดอะไร ทุกคนต่างทำเพียงยิ้มน้อยๆ ก่อนจะปล่อยผ่าน
การทำเควสฝ่าด่านก่อนหน้านี้ สมาชิกทั้งห้าของทีมต้องผ่านเควสไปด้วยกันถึงจะสามารถเข้าสู่ห้องอธิษฐานได้ แต่บรรดาทั้งเจ็ดคนในตอนนี้กลับไม่มีแม้แต่คนเดียวที่มีสมาชิกเดิมครบถ้วน เห็นได้ชัดว่าแต่ละทีมล้วนซื้อข่าวเรื่องวิธีการที่จะไปจากที่นี่อย่างเบ็ดเสร็จไว้ แถมยังมีสมาชิกบางคนไปจากที่นี่ได้สำเร็จ
ส่วนพวกเขาที่เหลือได้ใช้โอกาสที่จะออกไปจากที่นี่แลกเปลี่ยนกับความปรารถนาบางอย่าง
ทว่าบทสนทนานี้ไม่มีใครอยากหยิบขึ้นมาพูด
ติ๊ง
ติ๊ง
เสียงสัญญาณเตือนดังขึ้นสองครั้ง ครั้งแรกเป็นเสียงลิฟต์เคลื่อนมาถึง ครั้งที่สองดังมาจากแขนของพวกเขาทุกคน
ถังหลิ่นร่นแขนเสื้อโค้ตขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นภาพหัวนกเค้าแมวสัญลักษณ์สำคัญที่ฟั่นเพ่ยหยางเพียรอธิบายอยู่นาน
เมื่อแตะภาพก็จะสามารถตรวจสอบข้อความที่ได้รับได้
[โน้ตย่อ : ไอเทมถูกล้างทั้งหมด เชิญผู้เข้าร่วมแข่งขันเข้าลิฟต์ได้]
แต่ไหนแต่ไรถังหลิ่นก็ไม่เคยมีไอเทม ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกอะไร
คนอื่นๆ ต่างสีหน้าไม่สู้ดี อวี้เฟยหนุ่มเลือดร้อนสบถด่าว่า ‘เชี่ย’ ออกมาทันที
ประตูลิฟต์กับแผงเหล็กต่างเปิดออกพร้อมกัน เผยให้เห็นลิฟต์ว่างเปล่า
จางเฉวียนลดแขนลงแล้วเอ่ยเรียกทุกคน “ไหนๆ ก็มากันแล้ว ทำใจให้ร่มๆ ดีกว่า ไปกันเถอะ”
ถังหลิ่นเดินเข้าไปเป็นคนแรก เขายืนอยู่ด้านในสุด หลังจากนั้นลิฟต์ก็ค่อยๆ เต็มขึ้นมาทีละนิด โดยมีอวี้เฟยและหลี่จั่นเป็นสองคนสุดท้าย ประตูลิฟต์ปิดลงอย่างช้าๆ ลิฟต์เริ่มเคลื่อนที่ลงข้างล่าง
เจิ้งลั่วจู๋แอบคลำกระเป๋าเดินทาง มีดยังอยู่ นับว่าไม่เลว
ตอนนั้นทุกคนไม่รู้ตัวว่ากฎกติกาที่พวกเขาคิดว่าคุ้นเคยนั้น ยามนี้ได้เปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว
นครใต้พิภพ
ติ๊ง
เสียงสัญญาณกระจ่างชัด แม้จะไม่ดังมากแต่ก็สามารถแหวกผ่านเสียงคำรามทึบทึมของเครื่องจักรออกมาได้
ถังหลิ่น ฟั่นเพ่ยหยาง และเจิ้งลั่วจู๋ที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ยกแขนขึ้นดูพร้อมกัน อวี้เฟยซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลตะลึงอยู่สองสามวินาทีก่อนจะเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนอง
ทันทีที่แตะภาพนกเค้าแมว อินเตอร์เฟซที่เดิมควรปรากฏขึ้นบนแขนกลับดีดตัวขึ้นกลางอากาศตรงหน้า ทว่าทุกคนมองเห็นได้แค่ของตัวเองเท่านั้นคล้ายมีการป้องกันหน้าจอไว้ไม่ให้ผู้อื่นมองเห็น
อินเตอร์เฟซใหม่นี้แตกต่างไปจากตอนก่อนหน้า พูดกันตามตรงก็คือมันเรียบง่ายกว่าเดิม มีแท็บเหลือแค่สองแท็บคือ ‘โน้ตย่อ’ กับ ‘กล่องไอเทม’ เท่านั้น
‘โน้ตย่อ’ ใช้แสดงข่าวสารต่างๆ ภายในเควส ในตอนนี้เหมือนจะไม่มีอะไรผิดแปลกไปจากเดิม ทว่าด้านในมีข่าวสารใหม่อยู่ฉบับหนึ่ง
‘ต้นไอเทมเกิดเป็นรูปร่างแล้ว คนที่ตอบสนองเงื่อนไขได้ครบถ้วนสมบูรณ์จะสามารถปลดล็อกช่องเก็บไอเทมที่สามารถใช้ซ้ำได้ไม่มีหมด’
ประโยชน์ของ ‘กล่องไอเทม’ คือเก็บไอเทม แต่ตอนนี้ช่องที่อยู่ทางด้านขวาซึ่งเอาไว้เก็บไอเทมที่ถูกกำจัดทิ้งไปจนเกลี้ยงนั้นกลับมีต้นไอเทมโผล่ขึ้นมาต้นหนึ่ง
จากรากถึงลำต้น จากลำต้นถึงกิ่งก้าน ทุกช่วงล้วนมีช่องเก็บไอเทมที่สามารถใช้ซ้ำได้ไม่มีหมดอยู่ช่องหนึ่ง ด้านในเขียนเงื่อนไขการปลดล็อกไอเทมเอาไว้ ยิ่งสูงขึ้นไปมากเท่าไหร่ เงื่อนไขก็ยิ่งสูงมากเท่านั้น
ตัวอย่างเช่นต้นไอเทมของเจิ้งลั่วจู๋ ตอนนี้ช่องเก็บไอเทมบริเวณรากถูกปลดล็อกแล้ว ที่อยู่ด้านในคือ ‘แผ่นเหล็กแผ่นหนึ่ง’ ไม่มีคำเสริมบอกหมวดหมู่อย่างคำว่า [โจมตี] [ป้องกัน] และ [เวท] เหมือนกับไอเทมทั่วไป มีแค่ชื่อไอเทมเท่านั้น
ครั้นมองขึ้นไปอีกก็มีข้อความระบุดังนี้
‘[? / 100 / ด่าน 1]
[? / 500 / ด่าน 2]
[? / 1,000 / ด่าน 3]
[? / 2,000 / ด่าน 4]
[? / ? / ?]
[?/ ? / ?]
[…]’
เงื่อนไขปลดล็อกที่พอจะชัดแจ้งหน่อยก็มีอยู่แค่สี่อันเท่านั้น ส่วนที่เหลือมีแต่เครื่องหมายคำถาม
ตอนนี้ในสมองของเจิ้งลั่วจู๋เองก็เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
ด่าน 1 ด่าน 2 อะไรพวกนี้เข้าใจได้ไม่ยาก น่าจะหมายความว่านับจากตอนนี้เป็นต้นไปทุกอย่างให้เริ่มต้นใหม่ อย่างเช่นที่ที่พวกเขาอยู่นี้คือด่านที่หนึ่ง คิดปลดล็อกไอเทมที่สามารถใช้ซ้ำได้ไม่มีหมด จำเป็นต้องฝ่าด่านให้ได้เสียก่อน ทว่าตัว 100 500 1,000 พวกนี้คืออะไร เงิน? คะแนน? ค่าประสบการณ์? รวบรวมของอะไรบางอย่าง? เขาไม่เข้าใจ การทำเควสก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอะไรแบบนี้
นอกจากนี้การทำเควสฝ่าด่านก่อนหน้านี้ก็ไม่มีไอเทมที่สามารถใช้ซ้ำได้ไม่มีหมดแบบนี้ ทุกไอเทมล้วนใช้ได้ครั้งเดียว ใช้เสร็จก็หมดกันไป หากพูดกันถึงจุดนี้การมีต้นไอเทมโผล่ขึ้นมาก็นับว่าไม่เลวเหมือนกัน ถึง ‘แผ่นเหล็กแผ่นหนึ่ง’ ไม่ว่ามองอย่างไรก็มีคุณสมบัติในเชิงป้องกันเท่านั้น ซ้ำยังเรียบง่ายไม่ได้ดีเด่นสักเท่าไหร่ แต่มีมันติดตัวไว้อย่างน้อยก็ช่วยให้รู้สึกอุ่นใจ
“เจ้านาย ไอเทมที่สามารถใช้ซ้ำได้ไม่มีหมดอันแรกของคุณคืออะไร” หลังมองดูรากของต้นไอเทมของตัวเองแล้ว เจิ้งลั่วจู๋ก็เริ่มอยากรู้ของคนอื่น
ฟั่นเพ่ยหยางมองไปยังอากาศนิ่งๆ ไม่พูดไม่จา
เจิ้งลั่วจู๋ “…”
เหมือนว่าเจ้านายจะไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้
“จู๋จื่อ” จู่ๆ ถังหลิ่นก็มองมา “ต้นไอเทมของนายปลดล็อกแล้ว?”
เจิ้งลั่วจู๋พยักหน้า “ใช่ครับ อันที่อยู่ล่างสุดปลดล็อกเองแล้ว”
ถังหลิ่นขมวดคิ้ว ก่อนเงยหน้ามองอากาศอีกครั้ง
เจิ้งลั่วจู๋ครุ่นคิด “ของคุณยังไม่เปิด?”
ถังหลิ่นบอก “ยังไม่เปิดแม้แต่อันเดียว ถูกล็อกไว้ทั้งหมด”
ทั้งสองมองตากันอีกรอบ จากนั้นก็หันมองไปทางฟั่นเพ่ยหยาง
“ของฉันก็ปลดล็อกแล้วอันหนึ่ง” ฟั่นเพ่ยหยางดึงสายตากลับ อินเตอร์เฟซที่อยู่กลางอากาศดับวูบลง
เจิ้งลั่วจู๋เริ่มกังวล ไอเทมที่ใช้ได้ซ้ำไม่มีหมดของเขากับฟั่นเพ่ยหยางล้วนปลดล็อกแล้ว แต่ถังหลิ่นที่ไม่มีประสบการณ์อะไรเลยกลับยังล็อกอยู่
ฟั่นเพ่ยหยาง “มีผมอยู่ คุณไม่จำเป็นต้องใช้ไอเทมอะไร”
ถังหลิ่น “…”
เจิ้งลั่วจู๋นิ่งแล้วคิดว่า เจ้านายนี่ร้ายกาจจริงๆ
ห่างออกไปไม่ไกลมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินตรงเข้ามา ไม่สิ สองกลุ่มต่างหาก แต่ละกลุ่มประกอบไปด้วยคนหกเจ็ดคน กลุ่มหนึ่งเป็นชายหนุ่มรูปร่างบอบบางสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งเป็นชายรูปร่างกำยำ แม้จะเดินอยู่ด้วยกันแต่ก็เห็นได้ชัดว่าคนทั้งสองกลุ่มไม่ใช่พวกเดียวกัน
หัวหน้าของกลุ่มคนสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเป็นชายสวมแว่น แลดูฉลาดปราดเปรื่อง ส่วนหัวหน้าของชายรูปร่างกำยำนั้นเป็นชายหนุ่มหัวโล้น แขนเต็มไปด้วยรอยสัก แค่รอยสักนั่นก็ทำเด็กร้องไห้ขวัญผวาได้แล้ว
ทั้งสองคนเดินเคียงกันอยู่ด้านหน้า ความรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์ชัดแจ้งจนปิดไม่มิด พวกเขาพูดคุยกันอย่างคึกคัก
ชายสวมแว่น หัวหน้าของกลุ่มคนสวมเชิ้ตขาว “มาถึงเร็วจริงๆ”
ชายหนุ่มหัวโล้นที่มีรอยสักที่แขน “นายเองก็ไม่ช้า”
“ถ้าฉันเป็นนาย ไม่จำเป็นต้องวิ่งมาก็รู้ว่าสี่คนนั้นเป็นคนของกลุ่มไป๋จู่ (กลุ่มสีขาว) ของพวกเรา”
“นายเลิกหวังจะดีกว่า ขอแค่มีตาไม่ว่าใครก็ดูออกว่ากลุ่มของพวกนายมีแต่คนไม่เอาไหน”
“ถ้าจำไม่ผิด ปู้ปู้เกาเซิงของพวกนายดูเหมือนจะไม่มีสมาชิกใหม่เข้าร่วมมาครึ่งปีได้แล้ว”
“เฮอะ นั่นเพราะเจ้าพวกนั้นตาไม่มีแววต่างหาก ปู้ปู้เกาเซิงแปลว่ารุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ ชื่อของพวกเราฮึกเหิม ความหมายดี แต่เจ้าพวกนั้นกลับไม่รู้จักของดี”
“คนพวกนั้นล้วนมีรสนิยม น่าชื่นชมจริงๆ”
“ต้องมีสักวันที่นายจะต้องตายด้วยน้ำมือฉัน”
“พวกเด็กใหม่กำลังมองมาทางนี้”
“ฉันจะปล่อยให้นายมีชีวิตรอดต่อไปอีกวันก่อน”
หลังคุยกันจบพวกเขาสองคนก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกฟั่นเพ่ยหยาง เหล่าพี่น้องที่เดินตามอยู่ทางด้านหลังยืนตรงและแยกออกเป็นสองกลุ่มทันที ชายหนุ่มรูปร่างบอบบางเป็นกลุ่มของชายเชิ้ตขาวสวมแว่น ส่วนชายหนุ่มรูปร่างกำยำเป็นพวกของชายหัวโล้นที่มีรอยสักอยู่บนแขน
สถานการณ์ชวนตื่นตระหนก ทว่าที่กำลังพูดคุยอยู่กับคนทั้งสี่กลับเป็นใบหน้ายิ้มแย้มอบอุ่น
“สวัสดี” ชายหัวโล้นที่มีรอยสักบนแขนยื่นมือออกไปอย่างเป็นมิตร ไล่จับมือทุกคนไม่สนว่าคนเหล่านั้นจะยินดีด้วยหรือเปล่า ส่วนอวี้เฟยเพราะอยู่ห่างออกมาค่อนข้างไกล เขาจึงเดินเข้าไปจับมือกับอีกฝ่ายก่อนจะถอยกลับออกมา “เรียกฉันว่าซาอวี๋ก็ได้ พวกนายเพิ่งผ่านการคัดเลือกจากในลิฟต์ คงสังเกตเห็นแล้วว่าที่นี่กับเควสก่อนหน้านี้ไม่เหมือนกัน ที่นี่ตายคือตายจริง ยากคือยากจริง อย่าว่าแต่ฝ่าด่านเลย แค่คิดจะมีชีวิตอยู่ที่นี่พวกนายก็ต้องหากลุ่มให้ดี พวกเราปู้ปู้เกาเซิงคือครอบครัวที่อบอุ่น”
สักแขน กล้ามโต ความสูงโดยเฉลี่ยอยู่ที่หนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรขึ้นไป
เจิ้งลั่วจู๋คอยสังเกตอยู่เงียบๆ อืม ชวนให้รู้สึกปลอดภัยจริงๆ
“พูดจบหรือยัง พูดจบแล้วฉันจะได้พูดบ้าง” ชายสวมแว่นเชิ้ตขาวดันแว่น น้ำเสียงเกรงอกเกรงใจ แม้จะถูกอีกฝ่ายชิงพูดขึ้นก่อนแต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้มีทีท่าจะอ่อนข้อให้ “สวัสดี ฉันชื่อหลี่ว์เจวี๋ย ไม่จำเป็นต้องมีสมญานามน่าขัน พวกเรากลุ่มไป๋จู่ล้วนใช้ชื่อจริง”
เริ่มด้วยการตัดบทหลังจากนั้นก็กระแนะกระแหนนี่นับเป็นกฎธรรมดาทั่วไป ซาอวี๋กอดแขนหนาๆ ของตัวเองไว้แน่นจะได้ไม่เผลอเหวี่ยงแขนฟาดหลี่ว์เจวี๋ยปลิว
เจิ้งลั่วจู๋แอบชำเลืองมองฟั่นเพ่ยหยาง หวังว่าจะพบเจอแนวโน้มอะไรบางอย่างจากสายตาของคนเป็นเจ้านาย
ไม่มี
เหมือนว่าเจ้านายจะไม่ได้ฟังเลย
โปรดติดตามตอนต่อไป…