everY
ทดลองอ่าน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 1 บทที่ 8 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 1
ผู้เขียน : เหยียนเหลียงอวี่
แปลโดย : สนสราญ
ผลงานเรื่อง : พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การตาย การฆาตกรรม
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ
การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน การบูลลี่
การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 8
ปล้นสะดม
อากาศเหม็นๆ สายลมร้อนผะผ่าว นครใต้พิภพพิลึกพิลั่น กลุ่มคนแปลกประหลาด ทั้งหมดทั้งมวลนี้คล้ายอยู่ห่างจากอวี้เฟยไปไกลแสนไกล
เขารู้เพียงว่าหลี่จั่นตายแล้ว
พี่น้องที่เคยร่วมทำเควสอยู่ด้วยกันกับเขาก่อนหน้านี้ ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว เมื่อคืนวานตอนกินอาหารค่ำด้วยกัน อีกฝ่ายยังคุยโวโอ้อวดกับตนอยู่เลย
‘หลี่จั่น ฉันจะทำเควสทั้งหมดให้เร็วที่สุด นายก็บินตามพี่มาก็แล้วกัน’
‘ฮ่าๆ งั้นฉันคงต้องเกาะปีกพี่ไว้แน่นๆ แล้ว’ หลี่จั่นเอ่ย
‘จะว่าไป ที่ฉันอยู่ต่อก็เพราะจำเป็น แต่นายทำไมถึงไม่ไปล่ะ’
‘ฉันแค่นึกสงสัย’
‘เอ๋?’
‘ว่าทำไมถึงมีสถานที่แบบนี้อยู่บนโลกได้ แล้วทำไมพวกเขาถึงเลือกเรา’
‘…’
‘อวี้เฟย เชื่อฉัน เรื่องราวบนโลกนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล เรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำอะไรบางอย่างซ่อนอยู่แน่’
‘เชี่ย นายนี่มันเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ แค่ทำเควสฝ่าด่านสำเร็จได้ก็อมิตาภพุทธแล้ว นายยังจะคิดศึกษาวิจัยมันอีก!’
‘นายกำลังยกยอฉันเหรอ’
‘ไม่ ฉันกำลังคารวะผู้คงแก่เรียนต่างหาก’
หลี่จั่นในตอนนั้นหัวเราะร่วน ไม่พูดไม่จาอะไรอีก
เขามักเป็นเช่นนี้ ไม่ต่อล้อต่อเถียง ไม่โต้แย้ง ทำเพียงมุ่งมั่นอยู่เงียบๆ ใช้ความจริงสอนคนว่าควรทำตัวเช่นไร
“ที่นี่คือนครใต้พิภพไง ลุกขึ้นมาตรวจสอบสิ นายแม่งไม่รักษาคำพูดเลยว่ะ…” มือของอวี้เฟยที่วางอยู่บนพื้นกำเข้าหากันเป็นกำปั้น ข้อกระดูกซีดขาว สั่นระริกอย่างควบคุมไม่อยู่
น้ำตาหล่นร่วง กระทบอยู่กับเม็ดทรายเล็กละเอียด
“อยากล้างแค้นงั้นหรือ” จู่ๆ ที่ด้านข้างก็มีเสียงของใครบางคนดังขึ้น แผ่วเบาทว่าใสกระจ่าง
อวี้เฟยหันหน้ากลับไปอย่างรวดเร็ว อีกฝ่ายเป็นชายสวมผ้าปิดปากสีดำ ร่างของเขาเครียดเกร็ง ระมัดระวังขึ้นมาทันที “นายเป็นใคร”
“ก็เหมือนกับนาย เสียพรรคพวกไปในลิฟต์”
“นายรู้ได้ยังไง…”
“ถ้าไม่ใช่ ตอนนี้นายก็น่าจะไปยืนอยู่กับคนพวกนั้น มองไปข้างหน้า ไม่ใช่หันหลังให้พวกเขาแล้วมาทุบประตูลิฟต์อยู่แบบนี้” ชายคนนั้นนั่งยองๆ ลงไปอยู่ในระดับเดียวกับเขา “น่าเสียดายที่ทุกอย่างไม่อาจหวนคืนได้แล้ว ที่นายพอจะทำได้ในเวลานี้นอกจากจะยอมรับความจริงแล้วก็มีเพียงการล้างแค้นเท่านั้น”
“ต้องทำยังไง” เสียงของอวี้เฟยกลับกลายเป็นเคร่งขรึม
“ทำความเข้าใจกับสถานที่บัดซบนี่ จากนั้นก็ทำลายมันซะ” ชายคนนั้นเผยให้เห็นเพียงดวงตาที่ตอนนี้กำลังส่องประกายหนักแน่น
ส่วนหลี่ว์เจวี๋ยยังคงพูดจาฉะฉาน เทียบกับซาอวี๋ที่ได้แต่สัญญาเพียงลมปากแล้ว เรียกได้ว่าน่าเชื่อถือกว่ามาก
“ที่พักขั้นพื้นฐาน อาหารการกิน ข้าวของเครื่องใช้ประจำวัน การรักษาขั้นต้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นหลักประกันที่กลุ่มไป๋จู่ของพวกเราสามารถมอบให้พวกนายได้ แน่นอนที่สำคัญที่สุดคือการทำเควสฝ่าด่าน การทำเควสคนเดียวกับการทำเควสเป็นกลุ่ม ความต่างในเรื่องความปลอดภัยกับอัตราความสำเร็จนั้น คิดว่าฉันไม่ต้องพูดอะไรมากพวกนายก็คงรู้ดีแก่ใจดี”
ที่ไม่ต้องพูดมาก ก็เพราะไม่มีคนฟังแล้ว
ตอนนี้ฟั่นเพ่ยหยาง ถังหลิ่น และเจิ้งลั่วจู๋ต่างหันหน้ามองไปยังอวี้เฟยที่กำลังเดินไกลออกไปอยู่กับชายแปลกประหลาดสวมผ้าปิดปากคนนั้น
ซาอวี๋เองก็เห็นแล้ว เขาตวาดออกไปอย่างไม่พึงพอใจ “ชอบทำตัวลับๆ ล่อๆ ตลอด จะแย่งคนก็กล้าทำกันซึ่งๆ หน้าหน่อยไม่ได้หรือไง”
คำพูดต้องลอยไปถึงหูอีกฝ่ายแน่ ทว่าชายสวมผ้าปิดปากกลับไม่มีทีท่าจะสนใจเขาแม้แต่น้อย อีกฝ่ายทำเพียงพาอวี้เฟยเดินเลี้ยวหายเข้าไปในตรอกหนึ่ง
“ไม่ต้องสนใจพวกเขาหรอก” หลี่ว์เจวี๋ยดึงความสนใจของคนทั้งสามกลับ “กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ประหลาดนั่น สนใจแต่พวกสภาพจิตใจพังทลาย พวกเราว่ากันต่อ”
ยังไม่ทันพูดจบฟั่นเพ่ยหยางกับถังหลิ่นก็ยกมือขึ้นพร้อมกันทำท่าบอกอีกฝ่ายว่าไม่ต้อง
ฟั่นเพ่ยหยาง “ฉันไม่คุ้นกับการถูกคนอื่นจูงจมูก”
ถังหลิ่น “ผมเองก็ไม่คุ้นกับการถูกคนอื่นจูงจมูกเหมือนกัน”
คำพูดของพวกเขาพร้อมเพรียงกันเสียยิ่งกว่าการเคลื่อนไหว
หลี่ว์เจวี๋ยได้แต่นิ่งเงียบ ซาอวี๋เองก็อึ้งไปเช่นกัน
บทสนทนาถูกอีกฝ่ายวาดเครื่องหมายจบประโยคใส่โดยไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้นึกสงสัย
เจิ้งลั่วจู๋พลันรู้สึกเจ็บปวดใจแทนคนทั้งสองที่มารับสมาชิกใหม่
“พวกเราไปกันเถอะ” ฟั่นเพ่ยหยางทิ้งคำพูดออกมาประโยคหนึ่งก่อนจะหันกลับไปด้วยท่าทางที่สมบูรณ์แบบ
ถังหลิ่นไม่พูดอะไรทั้งนั้น เดินจากไปด้วยท่วงท่างามสง่ายิ่งกว่า
เจิ้งลั่วจู๋เองก็รีบตามไป
ซาอวี๋นิ่งมองก่อนจะพูดออกมาตามตรง “น่าอัดให้น่วมทั้งคู่”
“ไม่จำเป็น” หลี่ว์เจวี๋ยมองไปทางด้านหน้า มุมปากยกขึ้นน้อยๆ “มีคนเตรียมลงมืออยู่ก่อนแล้ว”
ซาอวี๋มองไปตามสายตาของอีกฝ่าย บริเวณปากทางที่คนทั้งสามเพิ่งเดินผ่านไปมีเงาดำของคนกลุ่มหนึ่งกำลังจับจ้องแผ่นหลังของพวกเขาอยู่ รอจังหวะลงมือ
“เฮอะ เลือกพวกเราปู้ปู้เกาเซิงก็สบายแล้ว” ซาอวี๋ถอนหายใจ “รับรองมั่นคงปลอดภัย”
หลี่ว์เจวี๋ยคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “คนต้องลำบากก่อนถึงจะรู้ว่าตัวเองมีความสามารถแค่ไหน”
ยิ่งเดินลึกเข้าไปมากเท่าไหร่ แสงไฟก็ยิ่งมืดสลัวลงมากเท่านั้น ตลอดสองข้างทางมีคนสภาพจิตใจห่อเหี่ยวปรากฏให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ แววตาล่องลอยยากเกินกว่าจะบอกได้ชัดว่าพวกเขากำลังมองคุณอยู่หรือไม่
เจิ้งลั่วจู๋รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ถึงขั้นรู้สึกว่าอากาศเหนียวเหนอะหนะมากขึ้น
เขาแบกกระเป๋าเดินทางไว้บนไหล่ เดินอยู่ข้างฟั่นเพ่ยหยาง “เจ้านาย หลังจากนี้พวกเราจะไปไหนกันต่อ”
ฟั่นเพ่ยหยางตอบ “หาที่พักเท้าก่อน”
ถังหลิ่นมองดูบ้านผุๆ พังๆ ตลอดสองข้างทาง บ้างก็ปิดสนิท เป็นการปฏิเสธแขกชัดแจ้งราวกับแขวน ‘ป้ายห้ามรบกวน’ เอาไว้ บ้างก็ไม่มีประตู แค่แวบเดียวก็สามารถมองทะลุผนังที่แตกไปถึงถนนด้านหลังได้ คิดจะใช้พักอาศัยก็ออกจะฝืนเกินไปหน่อย
อยู่ดีๆ แขนของฟั่นเพ่ยหยางก็เหยียดขวาง ห้ามไม่ให้พวกเขาขึ้นหน้าเดินต่อ
ถังหลิ่นชะงักเท้า เขาเห็นฟั่นเพ่ยหยางหันหน้ากลับมาแล้วเอ่ยว่า “ออกมา”
มีชายสามคนซ่อนตัวอยู่ภายในเงามืดตรงหัวมุมของตรอก คนหนึ่งสวมเสื้อยืดขาดๆ อีกคนสวมเสื้อโปโล นอกจากนี้ยังมีชายร่างอ้วนไม่สวมเสื้ออีกคน
เดิมทีทั้งสามตั้งใจจะซุ่มโจมตี นึกไม่ถึงว่าฟั่นเพ่ยหยางจะความรู้สึกไวแบบนี้
“อีกเดี๋ยวทุกอย่างให้รอฟังคำสั่งจากฉัน” ชายสวมเสื้อยืดขาดก้มหน้ากำชับสั่งอีกสองคนที่เหลือ
ชายสวมเสื้อโปโลกับชายร่างอ้วนพยักหน้าพร้อมๆ กัน “วางใจได้ พี่ใหญ่”
พอพูดจบชายเสื้อยืดขาดก็พาลูกน้องสองคนเดินอาดๆ ออกจากตรอกมายืนอยู่ใต้แสงไฟสลัวราง
“พวกเราอยากได้แค่ของ ไม่ต้องการชีวิต” ชายเสื้อยืดขาดยืนห่างจากพวกฟั่นเพ่ยหยางสามคนอยู่ประมาณสี่ห้าเมตร เอ่ยปากบอกถึงจุดยืนของตัวเองออกมาราวกับผู้มีคุณธรรม “ทิ้งกระเป๋าเดินทางไว้ ส่วนคนไปได้”
ฟั่นเพ่ยหยาง ถังหลิ่น และเจิ้งลั่วจู๋ต่างถือกระเป๋าเดินทางไว้คนละใบ แถมด้านในยังบรรจุข้าวของไว้เต็ม
ชายเสื้อโปโลกับชายร่างอ้วนจ้องกระเป๋าพวกนั้นตาเป็นมัน
“ไม่มีทาง” ฟั่นเพ่ยหยางปฏิเสธ ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ต่อรองอะไรทั้งสิ้น
คำพูดของเจ้านายสั้นกระชับแต่ก็กินใจความครอบคลุมแบบนั้นแล้ว ต่อให้ไม่ไหวเจิ้งลั่วจู๋ก็จำเป็นต้องพูดขึงขัง “ขนาดเสื้อผ้าดีๆ ก็ยังไม่มีจะใส่ คนไม่เอาไหนอย่างพวกนายยังคิดจะปล้นชาวบ้าน?”
ไม่รู้คำพูดคำไหนของเจิ้งลั่วจู๋ไปแทงใจดำของพวกเขาเข้า คนทั้งสามต่างหน้าเปลี่ยนสีขึ้นมาทันที
ชายเสื้อยืดขาดยิ้มเย็น “ในเมื่อไม่อยากไป ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องไป” เขาส่งสายตาให้ชายร่างอ้วน “เจ้าสาม จัดการ!”
พอได้รับคำสั่งชายร่างอ้วนก็รวบรวมสมาธิ จ้องพวกเขาเขม็ง
เจิ้งลั่วจู๋ใจหาย แย่แล้ว เจ้านั่นกำลังใช้ไอเทม
แต่ไม่ทันแล้ว พุ่มไม้หนามงอกออกมาจากพื้นใต้ฝ่าเท้าอย่างรวดเร็ว ตรึงข้อเท้าของพวกเขาเอาไว้แน่น แค่ขยับตัวเพียงนิด หนามพวกนั้นก็พร้อมจะทิ่มตำใส่เนื้อมอบความเจ็บปวดรวดร้าวให้กับพวกเขาแล้ว
ถังหลิ่นที่อยู่ข้างๆ ย่อตัวลงทันที
เจิ้งลั่วจู๋คิดว่าถังหลิ่นคงเจ็บ แต่พอหันหน้าไปเขากลับพบว่าถังหลิ่นที่ได้เห็นไอเทมเป็นครั้งที่สองกำลังนั่งยองๆ เพื่อพิจารณาดูปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง สายตาพินิจพิเคราะห์
หลังจากนั้นเจ้านายของเขาก็นั่งยองๆ ลงเช่นกัน จากการศึกษาวิเคราะห์เพียงลำพังกลับกลายเป็นกลุ่มสองคนขึ้นมาทันที
“ไอเทมนี้ดูเหมือนจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับของจางเฉวียนที่ใช้ตอนอยู่ในลิฟต์” ถังหลิ่นพึมพำ “คลายออกได้ไม่ยากใช่ไหม”
ฟั่นเพ่ยหยางยื่นมือออกไปสัมผัสกับเถาหนามพวกนั้น “ออกแรงสักหน่อยก็น่าจะดึงให้ขาดได้”
“ขาดแล้วมันจะงอกขึ้นใหม่ได้หรือเปล่า” ถังหลิ่นถาม
ฟั่นเพ่ยหยาง “ได้ ถ้าคิดจะลำบากครั้งเดียวสบายไปตลอดก็คงมีแต่ต้องจัดการกับคนใช้ไอเทม”
ถังหลิ่น “คุณเคยบอกว่าสามารถใช้การโจมตีทำให้ผู้ใช้ไอเทมเสียสมาธิจนไม่อาจควบคุมไอเทมได้อีก”
ฟั่นเพ่ยหยาง “หรือไม่ก็ทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บตรงๆ เมื่อสภาพจิตใจอ่อนแอ ความสามารถในการควบคุมไอเทมก็จะสูญหายไปเหมือนกัน”
ถังหลิ่น “แสดงว่ามีหลายทาง”
ฟั่นเพ่ยหยาง “ค่อยๆ ศึกษาไปเดี๋ยวก็เข้าใจเอง”
เจิ้งลั่วจู๋ “…”
ชายร่างอ้วน “…”
ชายเสื้อโปโล “…”
“เชี่ยเอ๊ย คิดจะมาเรียนมาสอนอะไรกันตอนนี้!” ชายเสื้อยืดขาดคล้ายกำลังคลั่ง “เจ้ารอง มัดมือพวกเขาไว้!”
ชายเสื้อโปโลสะดุ้ง ในที่สุดเขาก็ฟื้นคืนสติจากห้องเรียนวิธีการใช้ไอเทมเมื่อครู่ เขากลั้นลมหายใจตั้งสมาธิ คิ้วเข้มๆ ขมวดเข้าหากัน
เชือกสีดำลอยมาจากกลางอากาศ มัดมือของพวกฟั่นเพ่ยหยางสามคนไว้แน่น
เจิ้งลั่วจู๋รู้สึกอึดอัดใจ ถ้าไม่ใช่เพราะกล่องไอเทมถูกชำระล้าง ไหนเลยพวกเขาจะต้องทนเป็นฝ่ายตั้งรับแบบนี้
ยิ่งไปกว่านั้นตอนตะลุยทำเควสก่อนหน้านี้อีกฝ่ายใช้ไอเทมอะไร ในหูก็จะมีเสียงเตือนดังขึ้นตลอด แต่พอมาถึงนครใต้พิภพ สัญญาณเตือนแบบนั้นกลับหายไปหมด แม้แต่อีกฝ่ายใช้ไอเทมอะไรกับพวกตัวเองก็ยังไม่รู้ชัด เรื่องตอบโต้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
พอเห็นเท้ามือของพวกฟั่นเพ่ยหยางถูกพันธนาการไว้ โจรทั้งสามก็ขยับใกล้เข้ามา
เพราะเห็นฟั่นเพ่ยหยางเกะกะลูกหูลูกตา ชายเสื้อยืดขาดจึงตรงเข้าไปกระชากกระเป๋าเดินทางออกจากมือของฟั่นเพ่ยหยางเอาดื้อๆ ชายเสื้อโปโลแย่งกระเป๋าเดินทางของถังหลิ่น ชายร่างอ้วนแย่งกระเป๋าเดินทางของเจิ้งลั่วจู๋ เพียงชั่วพริบตากระเป๋าเดินทางทั้งสามใบก็เปลี่ยนเจ้าของเป็นที่เรียบร้อย
ชายเสื้อยืดขาดชั่งน้ำหนักกระเป๋าด้วยมือพลางพูดอย่างได้ใจ “วู้ หนักซะด้วย จำไว้ คราวหน้าอย่าได้ทำตัวจองหองอีก” ชายเสื้อยืดขาดตบเสื้อโค้ตของฟั่นเพ่ยหยางเบาๆ ก่อนจะถือกระเป๋าเดินทางหันหลังเดินจากไป เสื้อยืดพลิ้วไหวไปตามจังหวะย่างเท้า เผยให้เห็นมีดพกบนเอวเป็นครั้งคราว
ฟั่นเพ่ยหยางนิ่งมองมีดสั้นเล่มนั้น
ตอนที่ถูกเล่นงานเขาก็สังเกตเห็นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชายเสื้อโปโลหรือว่าชายร่างอ้วนตอนใช้ไอเทมพวกเขาไม่ได้แตะท่อนแขนเลยแม้แต่น้อย นั่นหมายความว่าพวกเขาสามารถเรียกใช้ไอเทมได้ตามแต่ใจคิด
ถ้าพวกนั้นทำได้ ตัวเองก็ต้องทำได้เช่นกัน
ชายเสื้อยืดขาดเดินจากไปไกลแล้ว ทว่ามีดพกบนเอวเขาก็ยังคงไม่ขยับ
บนหน้าผากของฟั่นเพ่ยหยางเริ่มมีเหงื่อซึม เขาตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมาย หันไปจ้องกระเป๋าเดินทางในมือของชายเสื้อยืดขาดแทน
ไม่นานหัวซิปของกระเป๋าเดินทางก็ขยับไหวเล็กๆ
ฟั่นเพ่ยหยางพยายามอย่างต่อเนื่อง ทุ่มเทสมาธิแทบทั้งหมดไว้ที่นั่น
ซิปเริ่มเคลื่อนที่ช้าๆ โดยไม่มีใครล่วงรู้ ซิปกระเป๋าเดินทางเปิดออกทีละน้อย
เนื่องจากต้องรักษาประสิทธิภาพของเถาหนามกับเชือกสีดำไว้ ชายเสื้อโปโลกับชายร่างอ้วนจึงได้แต่ต้องจ้องพวกฟั่นเพ่ยหยางไว้ ค่อยๆ ชักเท้าถอยหลังไปทีละก้าว ด้วยเหตุนี้การเคลื่อนไหวของพวกเขาจึงเชื่องช้าเป็นพิเศษ
หลังเดินพ้นออกไปไกลชายเสื้อยืดขาดถึงได้คิดจะหยุดรอพรรคพวกอีกสองคน ในจังหวะที่ก้มหน้าลงโดยบังเอิญ เขาถึงได้สังเกตเห็นว่าซิปของกระเป๋าเดินทางนั้นเปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง
เขารู้สึกงุนงงสงสัย ตอนแย่งกระเป๋ามาซิปมันปิดอยู่ไม่ใช่หรือ
ขณะกำลังสงสัย จู่ๆ อาหารกระป๋องสีเขียวก็ลอยออกมาจากช่องซิปที่เปิดไว้ พุ่งตรงเข้าใส่เขาอย่างรวดเร็ว
ชายเสื้อยืดขาดไม่ทันตั้งตัว แต่ถึงอย่างนั้นอาหารกระป๋องนั่นก็ไม่ได้พุ่งมาถูกเขา หากแต่พุ่งผ่านหน้าเขาไป
สองสามวินาทีต่อมาอาหารกระป๋องนั่นก็พุ่งกลับมาอีกครั้ง คราวนี้มันกระแทกใส่หัวของชายเสื้อยืดขาดเต็มเปา
อาหารกระป๋องหนักๆ นั่นไม่ต่างอะไรกับลูกปืนเหล็ก อีกฝ่ายเหมือนถูกคนเอาอิฐฟาดใส่หัว
ชายเสื้อยืดขาดงุนงงอยู่นาน พอได้สติเขาก็กุมหน้าผากหันหลังกลับไปมอง
ฟั่นเพ่ยหยางมองอีกฝ่ายนิ่ง สีหน้าเคร่งขรึมสงบนิ่ง
ชายเสื้อยืดขาดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ดูเหมือนว่าพวกเราจะประเมินนายต่ำไปหน่อย นายควบคุมต้นไอเทมได้ไม่เลวนี่…”
ทันทีที่เขาพูดจบกลางอากาศพลันปรากฏอาวุธมีคมขึ้นนับไม่ถ้วน มีทั้งมีดพก มีดสั้น ปลายแหลมของมันล้วนชี้ไปทางพวกฟั่นเพ่ยหยางสามคน
ลมหายใจของเจิ้งลั่วจู๋ชะงักค้าง ขณะคิดจะแตะแขนก็พบว่ามือของตัวเองถูกมัดไว้ ในตอนที่กำลังร้อนรนนั้นจู่ๆ เขาก็นึกถึง ‘แผ่นเหล็กแผ่นหนึ่ง’ ไอเทมที่สามารถใช้ซ้ำได้ไม่มีหมดเพียงหนึ่งเดียวบนต้นไอเทมของตัวเอง
เจิ้งลั่วจู๋ตะลึง นึกโยงไปถึงภาพของอีกฝ่ายที่สามารถเรียกใช้ไอเทมได้โดยไม่ต้องขยับแขน เขาเข้าใจได้ทันที
อาวุธมีคมที่ลอยอยู่กลางอากาศพวกนั้นเริ่มสั่นไหวเล็กๆ
เจิ้งลั่วจู๋กลั้นหายใจตั้งอกตั้งใจรวบรวมสมาธิ
อาวุธมีคมพวกนั้นพุ่งตรงเข้ามาพร้อมกัน ไม่ต่างอะไรกับฝนกระบี่ที่สาดซัดลงมา
แผ่นเหล็กแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้น กั้นอยู่เหนือศีรษะพวกเขาสามคน
เคร้งๆๆๆ
ฉึกๆๆๆ
มีดดาบพวกนั้นพุ่งตรงลงมา แต่ที่กระทบกับแผ่นเหล็กกลับมีจำนวนไม่มาก ส่วนใหญ่ล้วนเบี่ยงออกไปไกล ปักลงไปบนพื้น
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นแผ่นเหล็กก็ยังถูกทิ่มจนเป็นรอยบุ๋ม หนำซ้ำยังมีมีดพกเล่มหนึ่งปักทะลุผ่านแผ่นเหล็กเข้ามา เผยให้เห็นปลายแหลมเล็กๆ
เจิ้งลั่วจู๋เงยหน้ามองดูแผ่นเหล็ก สายตาหนักแน่นจริงจัง แผ่นเหล็กนี่ยังไม่พอในฐานะของไอเทมป้องกัน ประสิทธิภาพแบบนี้เรียกได้ว่ายังไม่เพียงพอ แต่นี่ไม่น่าจะใช่ปัญหาเรื่องไอเทม ปัญหาน่าจะอยู่ที่ความสามารถในการควบคุมมากกว่า ต่อให้ ‘แผ่นเหล็กแผ่นหนึ่ง’ จะไม่ใช่ไอเทมป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูง แต่เขาก็ยังคงไม่อาจแสดงอานุภาพของมันออกมาได้เต็มร้อย เขารู้สึกได้อย่างชัดแจ้งว่าพลังและความคล่องแคล่วในการควบคุมไอเทมของตนยังไม่ได้ดั่งใจคิด ต้องฝึกอีกสักระยะ
ฟั่นเพ่ยหยางไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายมีโอกาสโจมตีอีกเป็นครั้งที่สอง
ขณะที่เจิ้งลั่วจู๋กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ฟั่นเพ่ยหยางก็หลับตาลงอีกครั้ง อาหารกระป๋องลอยขึ้นอีกหน ความเร็วและพลังของมันเพิ่มมากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ มันลอยอ้อมชายเสื้อยืดขาด ชายเสื้อโปโล และชายร่างอ้วน โจมตีเข้าใส่คนทั้งสามแบบเดิม ทว่าปัญหากลับอยู่ที่ความแม่นยำยังคงต่ำ พุ่งเข้าใส่สิบครั้ง กลับเข้าเป้าแค่เพียงสองสามครั้งเท่านั้น แต่ถึงจะแค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้หัวของคนทั้งสามลั่นวิ้งได้แล้ว
คนทั้งสามคิดจะจับอาหารกระป๋อง แต่ก็ไม่อาจทำได้สำเร็จ ตรงกันข้ามกลับถูกมันพุ่งกระแทกเข้าใส่ติดๆ เพียงไม่นานพวกเขาก็ตั้งสติไม่ได้
พอตั้งสติไม่อยู่พวกเขาก็ไม่อาจควบคุมต้นไอเทมได้อีก เถาหนาม มีดดาบ และเชือกดำทยอยหายลับกันไปทีละอย่างสองอย่าง
ทว่าอาหารกระป๋องกลับไม่มีทีท่าจะหยุด
คนทั้งสามกุมหัวหลบอุตลุด เสียงโอดครวญดังลั่นไม่หยุด
“พี่ใหญ่ นายเป็นพี่ใหญ่”
“พวกเราไม่เอากระเป๋าแล้วยังไม่พออีกหรือไง”
“เชี่ยเอ๊ย นี่มันไอเทมอะไรวะ อ๊ากๆๆๆ”
“เจ้านาย…” ลงมือโหดจริงๆ เจิ้งลั่วจู๋คิดพลางรู้สึกทนดูต่อไม่ไหวแล้ว
ฟั่นเพ่ยหยางหยุดควบคุมต้นไอเทม เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ
เมื่อเห็นปลายจมูกของเขามีเม็ดเหงื่อผุดพรายแบบนั้น ถังหลิ่นก็ตะลึงอยู่นิดหน่อย ถามฟั่นเพ่ยหยางด้วยเสียงที่ได้ยินกันเองสองคนว่า “ควบคุมต้นไอเทมยากมากเหรอ”
ฟั่นเพ่ยหยางกระซิบตอบ “ควบคุมยากกว่าไอเทมธรรมดา ถ้าคิดจะแสดงอานุภาพของมันให้ได้เต็มร้อยคงต้องฝึกอีกสักระยะ”
ครั้นหลุดพ้นออกจากการถูกโจมตีด้วยอาหารกระป๋อง คนทั้งสามก็นั่งหอบหายใจอยู่กับพื้น
เจิ้งลั่วจู๋รีบเอากระเป๋าเดินทางของพวกตัวเองกลับมา
ถังหลิ่นมาหยุดอยู่หน้าชายเสื้อยืดขาด “ทำไมถึงต้องแย่งชิงข้าวของของคนอื่นด้วย”
ชายเสื้อยืดขาดกุมหัวลุกขึ้นยืน ครั้นพบว่าตัวเองเตี้ยกว่าชาวบ้านเขาก็นึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที “ก็หิวน่ะสิ ไม่มีอะไรตกถึงท้องมาสองวันแล้ว ถ้าไม่ใช่หิวจนบ้าไปแล้ว ใครจะทำอะไรแบบนี้!”
ถังหลิ่นพูดขึ้น “ดูเหมือนว่าพวกคุณจะใช้ไอเทมกันคล่องดีนี่”
ชายเสื้อยืดขาด “พวกเรา…พวกเราฝึกฝนกันมาก่อน เตรียมพร้อมเป็นอย่างดี!”
ถังหลิ่น “เตรียมพร้อมเป็นอย่างดี ทั้งฆ่าคนทั้งปล้นทรัพย์”
ชายเสื้อยืดขาด “ใครคิดจะฆ่าพวกนายกัน มีดดาบเมื่อกี้ก็แค่ขู่เท่านั้น ไม่เห็นหรือไงว่าพวกมันปักอยู่บนพื้นทั้งนั้น!”
ถังหลิ่น “แต่ก็มีอยู่หลายเล่มที่ปักลงบนแผ่นเหล็ก”
ชายเสื้อยืดขาดคล้ายจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา “ก็ลองอดข้าวสักสองวันแล้วใช้ไอเทมดูสิ ต่อให้เป็นนายยังไงก็ต้องมีพลาดบ้างเหมือนกัน”
ถังหลิ่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เรื่องของกิน พวกเราพอแบ่งให้พวกคุณได้อยู่”
“พูดจริง?” ชายเสื้อยืดขาดเบิกตาโพลงเหมือนไม่นึกอยากเชื่อ เขามองดูถังหลิ่นจริงจังเป็นครั้งแรก ก่อนจะพบว่าในบรรดาคนทั้งสามคนคนนี้หน้าตาหล่อเหลาที่สุด ทั้งยังไม่เย็นชาชวนให้คนรู้สึกถูกกดขี่เหมือนเจ้าคนที่ใช้อาหารกระป๋องเล่นงานพวกเขา และไม่แฝงท่าทีเหยียดหยามอย่างคนที่ใช้แผ่นเหล็ก แต่แลดูสบายๆ หล่อเหลาอ่อนโยนงดงาม
“ผมพูดจริง” ถังหลิ่นพยักหน้า “พวกคุณพักอยู่ที่ไหน”
ชายเสื้อยืดขาดไม่ทันได้ตั้งตัว “เอ๋?”
ถังหลิ่นไม่ได้รีบร้อนอธิบาย ตรงกันข้ามเขากลับหันหน้ามองไปทางฟั่นเพ่ยหยาง
ฟั่นเพ่ยหยางจ้องมองดูเขามาตลอด ครั้นสายตาประสานเข้ากับสายตาที่แฝงไว้ซึ่งคำถามของถังหลิ่น ฟั่นเพ่ยหยางก็ตระหนักได้ทันที เขาจึงพยักหน้า
เจิ้งลั่วจู๋ชะงักงันไปชั่วขณะ แต่พอเข้าใจแล้วเขาก็รีบร่วมวงพยักหน้าราวกับโขลกกระเทียม
ถังหลิ่นขำไปกับปฏิกิริยาของอีกฝ่าย แม้บนใบหน้าจะไม่ได้ปรากฏชัด แต่รอยยิ้มนั้นกลับฉายชัดในดวงตาเขา
เจิ้งลั่วจู๋กะพริบตาปริบๆ จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าถังหลิ่นควรยิ้มให้มาก ไม่ใช่รอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนอย่างในห้องพักผู้ป่วยนั่น หากแต่เป็นรอยยิ้มน้อยๆ ที่แฝงด้วยความเย็นชาเล็กๆ จากใจจริงแบบนี้
น่าดูจริงๆ
ถังหลิ่นหันมองมาทางชายเสื้อยืดขาดอีกครั้ง พร้อมถามออกมาอีกรอบว่า “พวกคุณพักอยู่ที่ไหน”
ชายเสื้อยืดขาดลังเลไม่พูดไม่จา
ถังหลิ่นค่อยๆ โน้มน้าวอีกฝ่าย “จะกินข้าวก็ต้องหาที่กินสบายๆ”
ชายเสื้อยืดขาดส่ายหน้ารวดเร็ว “ไม่ต้องๆ พวกเรากินกันที่นี่ก็ได้”
ถังหลิ่นรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย น้ำเสียงอ่อนโยนลงอย่างน่าประหลาด “แต่ว่าที่นี่ไม่มีที่เปิดกระป๋อง”
“…” ชายเสื้อยืดขาดสาบานเลยว่าเขากำลังถูกอีกฝ่ายข่มขู่อยู่
“ตกลงตามนี้” ถังหลิ่นตบไหล่เขา “พวกเราดูแลเรื่องอาหารการกิน พวกคุณก็ดูแลเรื่องที่พักให้พวกเรา”
ฟั่นเพ่ยหยางดึงมือถังหลิ่นออกจากไหล่ของชายเสื้อยืดขาด หันมองไปทางชายเสื้อโปโลกับชายร่างอ้วนแล้วเอ่ย “นำทางสิ”
เสียงเครื่องจักรหยุดลงแล้ว นี่หมายความว่าเวลาของนครใต้พิภพมาถึงตอนกลางคืนแล้ว
กลุ่มไป๋จู่กับกลุ่มปู้ปู้เกาเซิงที่ล้มเหลวในการรับสมาชิกใหม่ยังคงอยู่ที่เดิม มองดูการต่อสู้ที่เกิดขึ้นอยู่ไกลๆ จนกระทั่งเงาร่างทั้งหกหายลับเข้าไปในตรอกแคบ
“ทำไมโจรพวกนั้นถึงดูเหมือนเป็นฝ่ายถูกปล้นเสียมากกว่า” ซาอวี๋ลูบหูคล้ายยังคงได้ยินเสียงโอดครวญที่ดังอยู่ใต้อาหารกระป๋องอยู่
หลี่ว์เจวี๋ยมองไปตามทางที่คนทั้งหกเดินจากไป ใบหน้ายังคงฉายแววอบอุ่นอ่อนโยนเหมือนก่อนหน้านี้ “ถ้าพวกเขายืนกรานจะลุยทำเควสฝ่าด่านด้วยตัวเอง วันหน้าคงไม่แคล้วต้องกลายเป็นศัตรูที่รับมือได้ยากแน่”
ซาอวี๋ชำเลืองมองดูอีกฝ่าย “พวกนายคงไม่ใช่คิดจะใช้วิธีนั้นอีกใช่ไหม พอไม่ได้ชาวบ้านเป็นพวกก็คิดจะทำลายทิ้ง”
หลี่ว์เจวี๋ยดันแว่นยิ้ม “ตอนเป็นต้นอ่อนไม่ถอน รอให้เติบโตเป็นไม้ใหญ่ ถึงตอนนั้นคิดจะโค่นแน่นอนว่าต้องเปลืองแรงมากแน่ๆ”
ซาอวี๋ถูแขนกำยำที่เต็มไปด้วยรอยสักด้วยความรู้สึกหนาวสะท้าน “กลุ่มไป๋จู่ของพวกนายนี่มันบัดซบจริงๆ”
โปรดติดตามตอนต่อไป…