everY
ทดลองอ่าน ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 2 บทที่ 33 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 2
ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่
แปลโดย : qMondae
ผลงานเรื่อง : 骷髅幻戏图 (Ku Lou Huan Xi Tu)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการตาย การฆ่าตัวตาย การฆาตกรรม
มีการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
และการทำร้ายเด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 33 ดินแดนแห่งพันธสัญญา (6)
อิริน่าหาวหวอดอย่างเกียจคร้าน ครั้นหันไปเห็นเซอร์เก้ที่นั่งหน้าซีดเป็นไก่ต้มอยู่ข้างๆ กองไฟก็กะพริบตาปริบๆ แล้วเอ่ยแกมหัวเราะว่า “สวัสดียามค่ำ เซอร์เก้”
“สวัสดียามค่ำ” พอเซอร์เก้ได้ยินเสียงของตัวเอง เขาก็รู้สึกว่ามันคลุมเครือ ไม่แจ่มใสอย่างน้ำเสียงปกติ เขาพยายามทำตัวเหมือนไม่มีอะไรแต่กล้ามเนื้อบนใบหน้ากลับแข็งทื่ออย่างไม่อาจควบคุม “หลับสบายดีมั้ย”
“ก็ไม่เลว” อิริน่ากล่าว “ถึงตาคุณนอนแล้ว”
“คือ…ไม่ได้รู้สึกไม่สบายตรงไหนใช่มั้ย” เซอร์เก้ถามเสียงค่อย
“ไม่สบาย? ก็ไม่นะ” อิริน่าไม่คิดว่าตัวเองมีปัญหาอะไรเลย เธอลุกขึ้นจากกระเป๋าเป้ “ฉันสบายดี คุณนอนเถอะ”
เซอร์เก้ได้แต่ตอบรับด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ
ถึงปากบอกว่าจะนอนแต่เขาจะหลับลงได้ยังไง เซอร์เก้เอนตัวลงนอนบนพื้นแล้วหรี่ตาลง หางตาลอบมองสำรวจอิริน่าที่กำลังนั่งเฝ้ายาม เธอนั่งอยู่ข้างกองไฟครู่หนึ่ง ก่อนจะขยับกายหันหลังให้เซอร์เก้ ต่อมาก็มีเสียงสวบสาบคล้ายกำลังล้วงเอาอะไรออกมาจากกระเป๋าเป้ดังขึ้น วินาทีถัดมาเซอร์เก้ก็ได้ยินเสียงที่ปลุกให้ตนตื่นขึ้นเมื่อคืน ตอนนี้เขาแน่ใจจนไม่รู้จะแน่ใจยังไงแล้วว่านั่นเป็นเสียงเคี้ยวที่ใครได้ฟังก็ต้องขนพองสยองเกล้าจริงๆ
ฟังแล้วเหมือนกำลังเคี้ยวเนื้อสดๆ อยู่ก็มิปาน แถมยังมีเสียงฉีกทึ้งอยู่กลายๆ ด้วยซ้ำ เมื่อเชื่อมโยงกับสมุดบันทึกประจำตัวของอิริน่าแล้วเซอร์เก้ก็ขนลุกเกรียวขึ้นมาทันที เขาจ้องอิริน่าราวกับจ้องมองสัตว์ประหลาดที่บิดเบี้ยว ไม่กล้าผ่อนคลายประสาทสัมผัสเลยแม้แต่เสี้ยว
ครึ่งคืนหลังอิริน่ากำลังกินอะไรสักอย่างอยู่ตลอด กระทั่งฟ้าเริ่มสางเธอถึงค่อยๆ หยุดลง เซอร์เก้อยากลุกขึ้นนั่งแล้วถามออกไปว่าเธอกินอะไรอยู่กันแน่ แต่ในใจก็ค่อนข้างลังเลไม่เป็นสุข เพราะเขาไม่แน่ใจจริงๆ ว่าหากสิ่งนี้ไม่ใช่อิริน่า แล้วถ้าตนฉีกหน้ากากเปิดโปงมันเข้า จะมีผลลัพธ์อะไรที่ร้ายแรงกว่านี้ตามมาหรือไม่
อีกทั้งเขาก็ประเมินไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้อิริน่าเพียงแค่ถูกวัตถุนอกรีตปนเปื้อน หรือเธอกลายเป็นสิ่งอื่นตั้งแต่หัวจรดเท้าไปแล้ว
ท่ามกลางเสียงอันน่าสิ้นหวังนั้น เซอร์เก้ก็ได้ต้อนรับการมาถึงของรุ่งเช้าในที่สุด เขาสาบานเลยว่าตนเองไม่เคยเฝ้าคอยให้ฟ้าสว่างมากขนาดนี้มาก่อน
อิริน่าเก็บกระเป๋าแล้วกลับมามีท่าทีร่าเริงตามปกติ เร่งรุดเดินทางไปต่อกับเซอร์เก้ แต่คราวนี้เซอร์เก้จงใจทิ้งระยะห่างจากเธอเล็กน้อย โชคดีที่อิริน่าไม่รู้สึกตัวเลย เพียงก้มหน้าย่ำเท้าไปตามย่างก้าวของเซอร์เก้ ไม่ได้สังเกตเลยว่าชายหนุ่มปฏิบัติกับเธอต่างออกไปอย่างไรบ้าง
ทั้งสองเดินทางด้วยบรรยากาศน่าสติแตกเช่นนี้อยู่สามวัน ครั้นเมื่อสภาพจิตใจของเซอร์เก้ที่หลับไม่ลงใกล้ถึงขีดจำกัด เขากลับพบเรื่องอื่นที่ทำให้สติแตกยิ่งกว่าเดิม…เขาพบว่าท้องของอิริน่าใหญ่ขึ้นแล้ว
ในเวลาเพียงไม่กี่คืนหน้าท้องของเธอที่ยังนับว่าแบนราบอยู่จู่ๆ ก็โตขึ้นมาประหนึ่งเป่าลมเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น เธอลูบหน้าท้องอย่างเคยชิน ใบหน้าแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มรักใคร่ของคนเป็นมารดา
“อิริน่า เธอไม่เป็นไรนะ?” เซอร์เก้จำไม่ได้แล้วว่าตนถามคำถามนี้ไปกี่รอบ เขาถามเป็นการยืนยันกับอิริน่าครั้งแล้วครั้งเล่า การกระทำเช่นนี้แทนที่จะบอกว่าอยากได้คำตอบจากเธอ ไม่สู้บอกว่าอยากหลอกตัวเองมากกว่า
ทว่าคำตอบของอิริน่าไม่มีอะไรต่างไปจากก่อนหน้านี้เลย เธอยกยิ้มมองเซอร์เก้ แล้วกล่าวว่า “ฉันไม่เป็นไร โอเคดี เซอร์เก้ คุณไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก”
เซอร์เก้เอ่ย “ท้องเธอ…เหมือนจะใหญ่…ขึ้นมาก”
อิริน่าไม่ยี่หระเลยแม้แต่น้อย เธอเอ่ยแกมหัวเราะ “ฉันบอกคุณไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าฉันท้อง ท้องของคนท้องจะใหญ่ขึ้นก็เป็นเรื่องปกตินี่” เธอลูบหน้าท้องตนเองพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติจนดูเหมือนว่าเป็นเซอร์เก้เองที่ถามอะไรแปลกๆ ออกมา
จะไปปกติได้ยังไง เซอร์เก้คิดอย่างมึนงง
หรือจะบอกว่าในโลกที่ไม่ปกตินี้คนไม่ปกติอย่างเธอต่างหากที่ปกติ? กลับกันตัวเขากลายเป็นสิ่งแปลกปลอมอย่างนั้นหรือ ทันทีที่ความคิดเช่นนี้ผุดขึ้นมาในสมอง เขาก็พยายามสะกดมันไว้ด้วยสติสัมปชัญญะ เขารู้ว่าความคิดเช่นนี้อันตรายอย่างยิ่ง เพียงก้าวเข้าสู่หลุมพรางของตรรกะนี้ เขาก็อาจจะได้เป็นอิริน่าคนต่อไป
ดูจากแผนที่แล้ว ระยะห่างระหว่างจุดที่เขาอยู่กับริมแม่น้ำไม่ถือว่าไกลกันมาก แต่เขาก็ไม่อาจแน่ใจได้เลยว่าหากตนมุ่งหน้าไปด้วยความเชื่องช้าเช่นนี้ อีกนานแค่ไหนกว่าจะไปถึง และในการเดินทางที่เหลือจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรอย่างอื่นกับอิริน่าอีกหรือเปล่า
การไม่ได้นอนอย่างสงบใจมาหลายวันทำให้สภาพจิตใจของเซอร์เก้ทิ้งดิ่ง แต่เขายังคงพยายามยืนหยัดต่อไป ถึงขั้นลองใช้ความเจ็บปวดปลุกตัวเองให้ตื่นตัวด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่เป็นเรื่องน่าปีติยินดีคืออิริน่าคล้ายจะไม่มีความผิดปกติอย่างอื่น…เว้นเสียก็แต่หน้าท้องที่ใหญ่โตขึ้นทุกทีๆ
ในเวลาไม่กี่วันเธอก็เหมือนคนที่ตั้งครรภ์มาแปดเดือน แขนขาเล็กบางกับหน้าท้องที่โตเกินจริงดูขัดแย้งกันชอบกล เซอร์เก้เคยเห็นผู้ประสบภัยที่เสียชีวิตด้วยความแร้นแค้นเหล่านั้นมาก่อน พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนมีท้องปูดนูน ได้ยินมาว่าสิ่งที่อยู่ในท้องคือดินโคลนที่ไม่สามารถย่อยได้
และดูจากภายนอก อิริน่าก็เหมือนคนเหล่านั้นมากขึ้นเรื่อยๆ
ยามนี้ก็เป็นค่ำคืนที่เงียบสงบอีกคืนหนึ่ง ด้วยความอ่อนล้าที่สะสมเซอร์เก้จึงเผลอจมสู่นิทราไปอย่างไม่อาจควบคุม เมื่อเขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วมองดูรอบทิศอย่างมึนงง ก็พบว่าอิริน่าที่เดิมทีควรนั่งอยู่ข้างกองไฟหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
“อิริน่า…อิริน่า?” แม้เธอจะห่างไกลจากขอบเขตของคำว่าปกติแล้ว แต่เซอร์เก้ก็ยังคงเรียกชื่อเธอ เขาสังเกตว่าแม้ตัวอิริน่าจะไม่อยู่ แต่กระเป๋าเป้สีชมพูใบใหญ่ของเธอยังคงวางอยู่ที่เดิม
สายตาของเซอร์เก้หยุดอยู่ที่กระเป๋าใบนั้น
ยามปกติอิริน่าดูแลรักษากระเป๋าใบนี้อย่างดี ไม่ยอมให้เขาได้เฉียดใกล้เลย แต่ตอนนี้เธอกลับหายไป นี่คล้ายจะเป็นโอกาสอันดีที่สุดที่จะเปิดเผยความลับ กระเป๋าเป้ตรงหน้าเป็นราวกับกล่องแพนโดร่า มันดึงดูดเซอร์เก้ผู้อารมณ์อ่อนไหวมากอย่างต่อเนื่อง
เขาเลียริมฝีปาก สุดท้ายก็ไม่อาจต้านทานแรงยั่วยุได้ เขาเยื้องย่างไปตรงหน้ากระเป๋าเป้แล้วรูดซิปออกเบาๆ
เสียง ‘ครืด’ ดังขึ้น ซิปกระเป๋าถูกรูดออกจนสุด ช่องกระเป๋ามืดมิดเปิดออกเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน
เซอร์เก้ได้กลิ่นคาวเลือดโชยขึ้นมา เขามองเห็นไม่ชัดนักจึงอ้ากระเป๋าออกอีกเล็กน้อย พยายามมองสิ่งที่อยู่ด้านในให้ชัดเจน
ด้วยแสงวูบวาบของกองไฟ ในที่สุดเขาก็ทำตามเป้าหมายสำเร็จ ได้มองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านในแล้ว และในชั่วพริบตาที่ได้เห็นมันชัดเจน เซอร์เก้ก็ผงะถอยหลังไปหลายก้าวก่อนจะอาเจียนออกมาทันที น้ำตาเอ่อทะลักเบ้าตา เขาไม่สามารถควบคุมปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายได้เลย นั่นเป็นศพของคนคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเสียชีวิตไปนานแค่ไหนแล้ว ผิวกายถูกกัดแทะจนเห็นกระดูกขาวโพลน ทว่านี่ไม่ใช่สาเหตุที่เซอร์เก้อาเจียนออกมา แต่เป็นเพราะใบหน้าของศพนี้ยังคงสมบูรณ์ไร้ตำหนิ…เป็นใบหน้าของคนที่อยู่ข้างกายเขาในตอนเช้า…อิริน่า
“อุ๊บ…แหวะ…” เซอร์เก้ขาอ่อนเปลี้ย คุกเข่าลงกับพื้น แทบจะอ้วกเอาสิ่งที่อยู่ในกระเพาะของตนออกมาทั้งหมด เขาคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ ทำไมอิริน่าถึงอยู่ในกระเป๋าได้ ในวินาทีนี้ตรรกะทั้งหมดที่เคยมีล้วนไม่ถูกต้อง เขารู้สึกว่าสภาพจิตใจของตนกำลังทิ้งดิ่งอย่างรุนแรง เมื่อตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้นได้ ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็ถึงขั้นบิดเบี้ยวผิดรูปไปชั่วขณะ เซอร์เก้ไม่อยากเห็นกระเป๋าใบนั้นอีกต่อไป เขาหันหลังจากมา เดินโซซัดโซเซเข้าไปในป่าอันมืดมิด เขาไม่รู้ว่าตนต้องไปที่ไหน คิดเพียงอยากหนีออกจากที่นี่ให้เร็วขึ้น หนีไปจากกระเป๋าสีชมพูน่าสยดสยองใบนั้นให้เร็วขึ้นกว่านี้
เซอร์เก้ถลาเข้าป่ารกทึบด้านหลังไปด้วยสติอันเลือนราง กระทั่งรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งเขาก็ออกห่างจากกองไฟนั้นระยะหนึ่งแล้ว เขายังคงรู้สึกอยากอ้วกอยู่แต่ก็อ้วกจนไม่มีอะไรให้ออกมาแล้ว น้ำตาไหลรินไปตามแก้มอย่างหยุดไม่อยู่ ส่งเสียงสะอึกสะอื้นออกมาแผ่วเบา ในเสียงเจือไปด้วยความหวาดกลัวแต่มากกว่านั้นคือความเศร้าโศก
อิริน่าตายแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย คนที่อยู่ข้างๆ เขาหลายวันมานี้คือสัตว์ประหลาดที่ไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไร ทว่าทำไมสัตว์ประหลาดตัวนี้ถึงกินศพของอิริน่าแต่ไม่ลงมือกับเขาเลย เซอร์เก้ฟุบกับต้นไม้ใช้แรงเฮือกสุดท้ายครุ่นคิดตริตรอง เขาเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุดเงียบๆ สะอื้นไห้อย่างคุมไม่อยู่
ไม่รู้ใช้เวลาไปนานแค่ไหนกว่าเซอร์เก้จะดึงจิตใจตัวเองออกมาจากความรู้สึกสิ้นหวังนี้ได้อย่างยากลำบาก เขาหันหลังหมายจะกลับไปที่กองไฟอีกครั้ง ทว่าในตอนที่กำลังเดินกลับไปนั่นเอง เขาพลันได้ยินเสียงร้องไห้และกรีดร้องของอิริน่าดังมาจากที่ไม่ไกล เซอร์เก้ได้ยินเสียงก็ผงะ เขามองไปทางต้นเสียง ตรงนั้นมืดสนิท มองอะไรไม่เห็นเลย
อิริน่ากำลังร้องไห้? ทำไมเธอต้องร้องไห้กัน เธอตายไปแล้วไม่ใช่หรือ เซอร์เก้ใจลอยเล็กน้อย ตามหลักแล้วตัวเลือกที่ดีที่สุดของเขาตอนนี้ควรจะเป็นการกลับไปที่ข้างกองไฟอย่างเงียบๆ แล้วทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ความทุกข์ใจที่มีต่อการตายของอิริน่ากลับทำให้เขาเคลื่อนฝีเท้า มุ่งไปทางเสียงนั้นช้าๆ
เสียงร้องไห้ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ภายใต้แสงจันทร์มืดสลัวในที่สุดเซอร์เก้ก็หาต้นตอของเสียงเจอ เขาเห็นหญิงท้องโตคนหนึ่งฟุบลงกับพื้น กุมท้องพลางร้องไห้อย่างสิ้นหวังราวกับเด็กในท้องกำลังจะคลอดออกมาเดี๋ยวนี้…
“ลูก ลูกของฉัน…” อิริน่าร้องออกมาแบบนั้น ท่วงทำนองของเสียงอ้างว้างสิ้นหวัง แม้เซอร์เก้จะเห็นหน้าเธอไม่ชัด แต่เขาก็รับรู้ได้ว่าอิริน่าในตอนนี้ต้องน้ำตานองหน้าอยู่แน่นอน
“ลูกของฉัน พวกเราต้องออกไปได้ ออกไปให้ได้…” เธอกรีดร้องราวกับสัตว์ประหลาดน่ากลัวตัวหนึ่งที่ถูกกักขังอยู่ในร่างมนุษย์ ร้องโหยหวนไม่หยุด “แต่ฉันหิวมากเลย หิวจังเลย หิวจัง…ฉันอยากกิน ฉันอยากกินนน…” เสียงแผดร้องค่อยๆ บิดเบี้ยวขึ้นทีละนิดราวกับเสียงคำราม เซอร์เก้ได้ยินก็ขนลุกเกรียว
แต่สิ่งที่น่าสยองที่สุดเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น ในเสียงร้องสะอื้นไห้ของเธอเซอร์เก้ได้ยินเสียงเหมือนผ้าไหมฉีกขาด วินาทีต่อมาเขาก็ตระหนักได้ว่าเสียงนี้คืออะไร
หน้าท้องนูนของอิริน่ามีมือคู่หนึ่งแหวกออกมาจากด้านใน เริ่มด้วยข้อมือ ข้อศอก และสุดท้ายก็เป็นลำตัว…ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมยาวเฟื้อยโผล่ออกมาจากท้องของอิริน่า แล้วพยายามดีดดิ้นราวกับเพิ่งหลุดออกมาจากร่างของแม่อย่างไรอย่างนั้น มันถอดตัวเองออกมาทีละนิดๆ อย่างยากลำบาก…นั่นคือผู้หญิงคนหนึ่ง ใบหน้าเหมือนกันกับอิริน่า สีหน้าเฉกเช่นเดียวกับอิริน่า ในวินาทีที่เธอถือกำเนิดเสียงร้องโหยหวนอย่างผู้หญิงท้องแก่ของอิริน่าก็หยุดลงราวกับสิ้นใจไปแล้ว
หล่อนเริ่มหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข ตั้งแต่คลอดออกมาบนตัวก็สวมเสื้อผ้าเหมือนอิริน่าทุกกระเบียดนิ้ว ไม่สิ…พวกเธอแทบจะเป็นคนเดียวกันอยู่แล้ว เจ้าหล่อนมองศพไร้ลมหายใจด้านล่างที่เหมือนกับตนเองไม่มีผิดเพี้ยน ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างน่าตกตะลึงก่อนกล่าวว่า “เยี่ยมไปเลย มีของให้กินแล้ว…เยี่ยมไปเลย มีของให้กินแล้ว…” เธอก้มหน้าลง ลูบท้องตัวเองด้วยความอ่อนโยน และพึมพำกับมันอย่างนุ่มนวล “ลูกรัก พวกเราไม่ต้องตายแล้ว พวกเราจะไม่เป็นอะไร แม่จะคลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัย แล้วพวกเราก็จะมีอาหารเยอะแยะ…”
เมื่อเซอร์เก้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ก็แทบจะกลายเป็นรูปปั้นแข็งทื่ออยู่กับที่ ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ขยับไม่ได้เลยสักกระผีก
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ในที่สุดอิริน่าก็หมอบลงกัดกินศพตัวเองอย่างอิ่มหนำสำราญ สีหน้าเธอดูตื่นเต้น จากนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหว เซอร์เก้ที่มองอยู่ข้างๆ ไม่กล้าเปล่งเสียงและไม่กล้าขยับเขยื้อน เขาเห็นอิริน่าก้มลง ลากศพที่เละเทะนั้นไปยังทิศที่มีกองไฟ ศพที่ปกติควรจะหนักมากเธอกลับลากได้อย่างสบายๆ ใบหน้าประดับรอยยิ้มพึงใจ ลากศพตัวเองไปข้างกองไฟทั้งอย่างนี้ทีละนิดๆ
แน่นอนว่าอิริน่าย่อมสังเกตเห็นว่าเซอร์เก้ที่ควรจะนอนอยู่ข้างกองไฟหายตัวไปแล้ว แต่เธอก็ไม่คิดสนใจ เพียงรูดซิปกระเป๋าสีชมพูของตัวเอง ก่อนฝืนยัดศพใส่กระเป๋าโดยการจัดวางท่าทางที่ดูน่าเหลือเชื่อ แสงจากเปลวไฟสาดส่องใบหน้าอย่างชัดเจนยิ่งกว่าอะไร บนนั้นประดับสีหน้าพอใจ ทว่ารอยยิ้มเช่นนี้ช่างขัดกับทุกการกระทำอย่างน่าประหลาด น่าสยดสยองชนิดที่ไม่อาจหาสิ่งใดเปรียบ
อิริน่าเพิ่มฟืนเล็กน้อยทำให้กองไฟนี้ลุกโชนยิ่งกว่าเดิม สีหน้าพออกพอใจไม่หายไปจากใบหน้าของเธอเลยแม้แต่วินาทีเดียว ในที่สุดความมหัศจรรย์พันลึกทุกอย่างก็สิ้นสุดลงตรงนี้
เซอร์เก้ยกมือลูบใบหน้าหนักๆ หนึ่งที บังคับให้ตัวเองประคองสติไว้ แต่ทั้งสรรพางค์กายเขากลับหนาวเยือกอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อก้าวเท้าเดินก็พบว่าร่างกายของตนกำลังสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุม
ค่ำคืนกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง อิริน่ายังคงเป็นหญิงสาววัยรุ่นหน้าตาสะสวยคนนั้น เธอไม่ร้องหิวและท้องก็ไม่ได้นูนขึ้นเหมือนก่อนหน้านี้
แต่เซอร์เก้ไม่สามารถหลอกตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว
เขาเดินออกมาจากพุ่มไม้ คว้าปืนลูกซองมาขึ้นลำกล้อง
“เซอร์เก้?” อิริน่าเห็นเขาแล้วรอยยิ้มบนหน้ายังคงเดิมไม่แปรเปลี่ยน
เซอร์เก้กดเสียงต่ำเรียกชื่อเธอ “อิริน่า”
“มีอะไรเหรอ” อิริน่าเอียงหัว ท่าทางใสซื่อไร้เดียงสา “ทำไมคุณทำหน้าอย่างนั้นล่ะ”
“ไม่ แกไม่ใช่อิริน่า แกเป็นตัวอะไรกันแน่?!!”
“ฉันอิริน่าไง” อิริน่าลุกขึ้นยืน มองเซอร์เก้อย่างหวาดกลัว
สีหน้าหวาดกลัวบนใบหน้าเธอสมจริงถึงเพียงนี้ ไม่ว่าใครก็คงคิดไม่ถึงว่าเธอไม่ใช่มนุษย์ หากไม่ใช่เพราะเซอร์เก้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยตาตัวเองแล้ว เขาก็คงไม่คิดแบบนี้เหมือนกัน
“แกไม่ใช่อิริน่า” เซอร์เก้เอ่ยอย่างมึนงง “อิริน่าตายไปแล้ว”
สิ้นคำพูดนี้ก็ตามมาด้วยเสียงปืน อิริน่าก้มมองหน้าอกของตัวเองด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ ตรงนั้นเป็นรูกลวงขนาดใหญ่แต่กลับไม่มีเลือดสดๆ ไหลออกมาเลย จากนั้นของเหลวสีดำก็ไหลทะลักออกมาจากตัวเธออย่างต่อเนื่องและส่งเสียงกรีดร้องหวีดแหลม ร่างกายของเธอเริ่มละลายราวกับเทียนไขลนไฟ เวลาเพียงพริบตาก็กลายเป็นกองดินโคลนสีดำ หลอมรวมไปกับพื้นดินใต้เท้าเซอร์เก้
ตั้งแต่ลั่นไกปืนจนถึงตอนที่ร่างสลายไป สีหน้าของอิริน่าค่อยๆ กลับมาสงบนิ่ง ในแววตาของเธอฉายแววโศกสลด เซอร์เก้คิดว่าเธอจะพูดอะไรออกมา ทว่าตราบจนกระทั่งมลายหายไปแล้วเธอก็ไม่ปริปากเอ่ยอะไรเลยสักอย่าง
เซอร์เก้มือไม้อ่อนจนปืนลูกซองในมือร่วงลงไปที่พื้น หัวเข่าทั้งสองข้างทรุดลง เขาร้องออกมาราวกับสัตว์ป่า เสมือนจะร้องจนกว่าน้ำตาทั้งชีวิตของตัวเองจะเหือดแห้งไป
กว่าเขาจะหยุดร้องไห้ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว กองไฟที่ก่อไว้ก็มอดลง ราวกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนล้วนเป็นเพียงความฝันอันสยดสยอง
เซอร์เก้ลุกขึ้นจากพื้น ขยับเข้าไปรูดซิปเปิดกระเป๋าเป้สีชมพูอีกครั้ง เขายังคงเห็นศพของอิริน่าอยู่ด้านในนั้น
ศพของเธอมีสีหน้าสงบนิ่ง เซอร์เก้เช็ดตาตัวเอง ใช้ปืนลูกซองในมือเป็นเครื่องมือขุดหลุมศพเล็กๆ ให้อิริน่าบนพื้นดินอ่อนนุ่ม จากนั้นเขาก็ฝังเธอลงไปอย่างระมัดระวังก่อนทำสัญลักษณ์ไว้ด้านบน เขายังต้องมุ่งหน้าต่อไป บางทีอีกไม่นานเขาก็อาจตายไปด้วยสาเหตุพิสดารเช่นกัน แต่หากเขายังมีโอกาสกลับมาที่นี่ เขาจะพาอิริน่ากลับไปด้วยแน่นอน ต่อให้เธอในตอนนั้นจะเน่าเปื่อยจนเหลือแต่กระดูกไปแล้ว เขาก็ต้องพาเธอออกไปจากที่แห่งนี้ให้ได้
หลังทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เซอร์เก้ก็ออกเดินทางอีกครั้ง จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงพลบค่ำ เสียงสายน้ำก็ดังเข้าโสตประสาทของเขา เสียงนั้นทำให้สภาพจิตใจที่ใกล้จะพังทลายได้รับการเยียวยา เขาเริ่มออกวิ่ง แทบจะพุ่งไปยังริมแม่น้ำด้วยความเร็วที่มากที่สุดในชีวิต
เมื่อสายน้ำใสสะอาดปรากฏแก่สายตาเซอร์เก้ก็สะอึกสะอื้นขึ้นมา เขาแทบไม่สนใจอะไรแล้ว ใช้มือวักน้ำใสสะอาดชะล้างใบหน้าตัวเองที่ด้านชาไปแล้วอย่างแรง
เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก ทิ้งตัวลงนั่งริมฝั่งแม่น้ำ เหม่อมองสายน้ำที่ไหลเชี่ยวข้างกาย ในที่สุดความสงบเงียบในใจอย่างที่เขาไม่ได้มีมานานก็กลับมา
คืนนี้เซอร์เก้ตัดสินใจค้างแรมที่ริมแม่น้ำ
เมื่อเขายืนยันสถานที่สำหรับตั้งค่ายแล้ว ก็ตั้งใจจะไปหาฟืนสำหรับก่อไฟแถวๆ นี้ เพียงแต่เดินไปได้ไม่ไกลเขาก็เห็นเปลวไฟส่องสว่างอยู่ใกล้ๆ บริเวณริมแม่น้ำ คล้ายเป็นร่องรอยกิจกรรมของมนุษย์ หากเป็นก่อนหน้านี้เซอร์เก้คงถลาเข้าไปอย่างตื่นเต้นดีใจทันที แต่เมื่อประสบกับเรื่องของอิริน่ามาไม่นานเขาจึงไม่กล้าเข้าไปตรงๆ ได้แต่มองสำรวจอยู่ข้างๆ อย่างระมัดระวังแทน
เปลวไฟนั้นเป็นกองไฟที่เพิ่งก่อขึ้น ข้างกองไฟมีคนสองคนเดินไปมา เซอร์เก้มองจากที่ไกลๆ ก็พบว่าเป็นใบหน้าของคนเอเชีย หนึ่งในนั้นเป็นคนในทีมของเขา อีกคนเขาไม่รู้จัก ทั้งสองนั่งล้อมกองไฟคล้ายกำลังกินอะไรบางอย่างอยู่ จากกลิ่นหอมเข้มข้นที่แผ่กระจายออกมาดูเหมือนว่าจะเป็นเนื้อ และเพียงแค่คิดถึงเนื้อ เซอร์เก้ก็รู้สึกไม่สบายกระเพาะเล็กน้อย
หลินปั้นซย่ากำลังกินเนื้ออยู่จริงๆ แต่เนื้อที่เขากินเป็นเนื้อธรรมดาทั่วไปและเพิ่งจับมาจากแม่น้ำข้างๆ นี่เอง เขากับหลี่ซูรออยู่ริมแม่น้ำมาสามวันแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นสมาชิกในทีมโผล่มาเลย พวกเขาว่าง ไม่มีอะไรทำ จึงจับปลาในแม่น้ำมาหมายจะกินให้อิ่มหนำ หลินปั้นซย่าเป็นคนลงน้ำไปจับปลาเอง เขาเกิดในหมู่บ้านริมแม่น้ำจึงมีทักษะการว่ายน้ำดีเยี่ยม เขาชอบลงไปจับปลาในแม่น้ำตั้งแต่เด็กๆ แต่เรื่องเดียวที่เขากังวลก็คือปลาของที่นี่จะกินได้หรือไม่
“น่าจะกินได้นะ” หลี่ซูวิเคราะห์เช่นนี้ “เสบียงของพวกเราเหลือน้อยแล้ว ยังไงก็จำเป็นต้องหาแหล่งอาหารอย่างอื่น ไม่อย่างนั้นคงหิวตายอยู่ที่นี่ ผมยอมเป็นบ้าดีกว่าหิวตายไปอย่างน่าอนาถ”
หลินปั้นซย่าเห็นด้วยกับคำพูดของเขา อาจเป็นเพราะตอนเด็กเขามักได้กินไม่อิ่มท้อง ดังนั้นจึงไม่ชอบความรู้สึกตอนหิวจัดเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เมื่อทั้งสองคนตกลงกันได้แล้วหลินปั้นซย่าก็ลงน้ำไป ไม่นานก็จับปลาตัวอ้วนได้สองสามตัว
หลี่ซูล้วงเอาเครื่องปรุงจำนวนไม่น้อยออกมาจากกระเป๋าเป้อย่างเต็มใจ ปรุงรสปลาเล็กน้อย ทาน้ำมันแล้วเสียบไม้ย่าง
หลินปั้นซย่าที่กำลังผิงไฟตากเสื้อผ้าตัวเองอยู่ข้างๆ กองไฟเอ่ยอย่างแปลกใจ “ทำไมคุณถึงพกเครื่องปรุงติดตัวมาด้วยล่ะ” แม้เขามักจะพูดล้อเล่นว่าตนมาเที่ยวแต่เขาก็ไม่ได้ผ่อนคลายถึงขั้นนี้
“จากประสบการณ์ล้วนๆ” หลี่ซูถอนหายใจ หลังจากฟ้ามืดเขาก็ถอดผ้าปิดปากและแว่นกันแดดออก แสงจากกองไฟส่องกระทบผิวขาวจัดของเขาจนทั้งร่างราวกับส่องแสงเจิดจ้า เขายิ้มอย่างอ่อนโยนเอ่ยว่า “ที่นี่ใหญ่เกินไป แล้วยังเป็นทุ่งรกร้างอีก ใครจะรู้ว่าเสบียงที่มีจะประคับประคองอยู่ได้กี่วัน ถ้าไม่เหลือแล้วก็ต้องกินอย่างอื่น ต่อให้ต้องขุดรากต้นไม้มากินก็เถอะ แต่แค่เราเติมเกลือไปนิดหน่อยก็อร่อยกว่าเดิมแล้วนี่”
หลินปั้นซย่าคิดแล้วก็เห็นด้วย
“ตัวใหญ่นี่ผมให้คุณ” หลี่ซูกล่าว “ผมกินน้อย กินตัวนี้ก็พอแล้ว”
หลินปั้นซย่าอยากเอ่ยตอบไปตามมารยาท แต่เมื่อจ้องลายบนตัวปลาแล้วกลับรู้สึกไม่สบายใจอย่างรุนแรง เขาปิดปาก รีบวิ่งเข้าไปในป่าแล้วอ้วกออกมาอย่างเกินจริง
“เอ๊ะ? หลินปั้นซย่า? คุณไม่เป็นไรนะ??” หลี่ซูตกใจกับการตอบสนองของเขา “เป็นอะไรไปน่ะ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”
หลินปั้นซย่าอาเจียนอยู่ครู่หนึ่งก่อนหันกลับมา “เห็นปลาแล้วรู้สึกคลื่นไส้นิดหน่อย อุ๊บ…”
“หา? คลื่นไส้?” หลี่ซูชำเลืองมองปลาย่างบนมือของตัวเอง ตอนนี้มันย่างไฟกำลังดี น้ำมันชุ่มฉ่ำเหลืองเกรียม เครื่องเทศและเกลือที่โรยลงไปส่งกลิ่นหอมเข้มข้น เมื่อเทียบกับอาหารอย่างอื่นที่กินมาตลอดหลายวันนี้มันดีกว่ามาก เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่ามีตรงไหนน่าคลื่นเหียน
หลินปั้นซย่าจับต้นไม้ไว้พลางเอ่ยอย่างยากลำบาก “เปล่า…แค่นึกถึงตอนที่เข้าไปในหมู่บ้านนั้นเมื่อเดือนก่อน ผมลงน้ำไปแล้วเจอปลาอัลลิเกเตอร์ตัวหนึ่ง…” ทันทีที่เขาพูดจบก็อาเจียนไปอีกสองรอบ “แล้วก็เนื้อเน่าที่อยู่ด้านล่างปลาอัลลิเกเตอร์นั่น…”
หลี่ซูนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ใบหน้าซับซ้อนอย่างยิ่ง สุดท้ายก็เดินเข้ามาส่งขวดน้ำให้เป็นการบอกให้เขาล้างปากและกล่าวว่า “คุณนี่เหมาะกับอาชีพนี้จริงๆ”
หลินปั้นซย่าอาเจียนจนตาพร่าไปด้วยน้ำตา สูดจมูกแล้วเอ่ย “คุณกินปลาไปเถอะ ตอนนี้ผมไม่อยากเห็นเนื้อเลย”
หลี่ซูตอบว่า “โอเคๆ แต่คุณเลือกไม่กินเองนะ จะไปบอกซ่งชิงหลัวว่าผมแกล้งคุณไม่ได้ล่ะ”
หลินปั้นซย่ากล่าวว่าแน่นอนอยู่แล้ว
ด้วยเหตุนี้ สุดท้ายเหตุการณ์ก็กลายเป็นหลี่ซูกินปลาย่างด้วยความเอร็ดอร่อย ส่วนหลินปั้นซย่ากินบิสกิตด้วยความขมขื่น
ขณะที่ทั้งสองกำลังกินมื้อเย็นกันอย่างสบายอารมณ์ จู่ๆ หลี่ซูก็ชะงักแล้วหันไปมองป่าทึบด้านหลัง
“มีอะไรเหรอ” หลินปั้นซย่าเห็นสีหน้าเขาแปลกไปก็ระแวดระวังขึ้นมาทันที
“ในป่าเหมือนจะมีคน” หลี่ซูกล่าว
หลินปั้นซย่าอึ้งไป ขณะกำลังจะลุกขึ้นก็ถูกหลี่ซูกดไหล่ไว้และกระซิบบอกว่า “อย่าเพิ่งขยับ รอดูก่อนว่าเขาจะทำอะไร” ขณะที่กล่าวหลี่ซูก็ล้วงปืนพกในกระเป๋ากางเกงออกมา ขึ้นลำกล้องปืนอย่างเงียบเชียบ
บรรยากาศนิ่งงันไปราวๆ สองสามนาที แล้วเสียงก้าวเดินสวบสาบก็ดังขึ้นมาจากในป่า หลินปั้นซย่าหันไปก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย เป็นหนึ่งในคนรัสเซียที่พลัดหลงกับทีมซึ่งมีชื่อว่าเซอร์เก้นี่เอง
“รู้จักเหรอ” หลี่ซูเหลือบมองหลินปั้นซย่า
“รู้จัก” หลินปั้นซย่าเอ่ยตามตรง “แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นคนจริงๆ หรือเปล่า”
“คุณไม่สนิทกับเขาใช่มั้ย” หลี่ซูถาม
“ไม่สนิท” หลินปั้นซย่ากล่าว “ยังไม่เคยคุยกันสักประโยคเลย”
“ดูจากท่าทางเขาแล้วน่าจะเป็นคนจริงๆ” หลี่ซูตริตรองครู่หนึ่งคล้ายกำลังกลั่นกรองอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็ลุกขึ้น ตะโกนไปทางเขาด้วยภาษารัสเซียสองสามประโยค
ในทีแรกหลินปั้นซย่ายังกังวลอยู่ว่าจะสื่อสารกันไม่ได้ คิดไม่ถึงเลยว่าหลี่ซูจะรู้ภาษารัสเซีย
เซอร์เก้เดินมุ่งไป นับว่าตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เขารู้ดีว่าลำพังตัวเองคนเดียวย่อมไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้ ทางเลือกที่ดีที่สุดคือหาผู้สังเกตการณ์ไว้คนหนึ่ง ถึงจะรับรองความปลอดภัยในชีวิตตัวเองได้ ดังนั้นเมื่อชั่งน้ำหนักซ้ำแล้วซ้ำอีกเขาจึงตัดสินใจเดินเข้าไปที่กองไฟ เพียงแต่จับปืนลูกซองในมือแน่น ลงความเห็นในใจว่าหากได้กลิ่นตุๆ ตนก็จะลั่นไกปืนทันที
ไม่นึกเลยว่าคนข้างๆ นายหลินนั่นจะพูดภาษารัสเซียได้ อีกฝ่ายลุกขึ้นตะโกนมาทางเขา ถามว่าเขาเป็นคนที่พลัดหลงไปหรือเปล่า
เซอร์เก้เอ่ย “ใช่ ผมพลัดหลงไป” เขามองหลินปั้นซย่าก็พบกับสีหน้าเหลอหลา เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจภาษารัสเซียเลยสักนิด ในใจจึงกังวลเล็กน้อย
“คุณเรียกผมว่าหลี่ก็พอ” หลี่ซูกล่าว “อย่าเพิ่งเข้ามา…ผมจำเป็นต้องยืนยันตัวตนของคุณก่อน”
เซอร์เก้ชะงักฝีเท้า
“คุณมาจากไหน ระหว่างทางเจออะไรหรือเปล่า” หลี่ซูเอ่ยถาม “คุณรู้หรือเปล่าว่าเขาชื่ออะไร”
เซอร์เก้ตอบทีละคำถาม แต่เว้นเรื่องน่าสยดสยองที่เจอกับอิริน่าไป บางทีอาจเพราะรู้ว่าหากตนคิดเรื่องนี้ต่อไปอีกก็คงได้เป็นบ้าเข้าจริงๆ ดังนั้นสติสัมปชัญญะของเขาจึงจงใจทำให้ภาพเหล่านั้นพร่าเลือนไป เขาบอกเพียงว่าระหว่างทางตนเองได้เจอคนที่เหมือนกับคนในทีมทุกกระเบียดนิ้ว หลังจากคนคนนั้นถูกฆ่าก็ละลายกลายเป็นกองโคลน
หลี่ซูครุ่นคิดก่อนเอ่ย “ต่อจากนี้พวกเราจะข้ามแม่น้ำนี้แล้วไปเผชิญหน้ากับมัน คุณจะไปกับพวกเราหรือเปล่า”
เซอร์เก้ยิ้มเจื่อน “ยังไงผมก็กลับไปคนเดียวไม่ได้อยู่แล้ว…แค่บึงน้ำนั่น ผมก็ข้ามไปคนเดียวไม่ได้แล้ว”
หลี่ซูกล่าว “นั่นสินะ” เขากัดเนื้อปลาไปคำใหญ่ เคี้ยวอย่างเอื่อยเฉื่อย “คุณจะไปกับพวกเราก็ได้ แต่ต้องส่งปืนของคุณมา”
เซอร์เก้ลังเลอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติมากเพราะปืนลูกซองในมือเป็นอุปกรณ์ป้องกันตัวเพียงหนึ่งเดียวของเขา ถ้าเอาให้คนไม่คุ้นเคยทั้งสองคนไปทั้งอย่างนี้…เป็นเรื่องที่เสี่ยงเกินไปจริงๆ
หลี่ซูเองก็ไม่ได้เร่ง เพียงรอเขาอยู่อย่างนั้น
ในที่สุดเซอร์เก้ก็ตัดสินใจได้ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ โยนปืนลูกซองไปให้หลี่ซู จากนั้นหลี่ซูก็ส่งสายตาให้หลินปั้นซย่า แล้วหลินปั้นซย่าก็เดินเข้ามาหยิบปืนไป
“โอเค คุณผ่านแล้ว มากินอะไรหน่อยเถอะ” หลี่ซูกล่าว “และผมก็อยากอ่านสมุดบันทึกของคุณด้วย”
เซอร์เก้ตอบรับพร้อมรอยยิ้มฝืดเฝื่อน
หลี่ซูส่งปลาตัวหนึ่งให้เขาพลางรับสมุดบันทึกสีดำในมืออีกฝ่ายมา เซอร์เก้กัดอาหารในมืออย่างด้านชา รู้สึกถึงเนื้อปลาร้อนๆ เต็มปาก อาหารรสชาติเยี่ยมเช่นนี้เดิมทีเขาควรจะต้องรู้สึกสุขใจ แต่ความเป็นจริงนั้นแม้แต่จะขยับมุมปากขึ้นยิ้มสักนิดยังรู้สึกว่ายากลำบาก
สมุดบันทึกของเซอร์เก้ก็เป็นภาษารัสเซียเช่นกัน หลี่ซูอ่านอย่างว่องไว หลังจากอ่านจบก็ตบไหล่ของเซอร์เก้ เอ่ยประโยคหนึ่งว่า “ลำบากหน่อยนะ”
เซอร์เก้ไม่ได้เอ่ยคำใด ทำเพียงกินของในมือเงียบๆ ต่อไป
หลี่ซูแปลเรื่องที่เซอร์เก้เขียนบรรยายให้หลินปั้นซย่าฟังเป็นภาษาจีน กล่าวว่ามีความเป็นไปได้สูงที่คนคนนี้จะเป็นคนจริงๆ ตอนนี้ยังไม่เจอพิรุธอะไรเป็นพิเศษจากตัวเขา จากนั้นก็เล่าเรื่องของอิริน่าโดยสังเขปไปรอบหนึ่ง แม้เซอร์เก้จะไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้มาก แต่เขาก็ยังปฏิบัติตามหน้าที่อย่างเต็มที่โดยเขียนเล่าเรื่องทั้งหมดที่เจอไว้ในสมุดบันทึกอย่างละเอียด
หลินปั้นซย่าฟังจบก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจหนุ่มรัสเซียผู้น่าสงสารคนนี้ขึ้นมา
เซอร์เก้กินปลาหมด หลี่ซูก็บอกแผนการเดินทางวันพรุ่งนี้กับเขาคร่าวๆ พวกเขาจะข้ามแม่น้ำกันก่อน จากนั้นค่อยมุ่งหน้าไปยังบริเวณใจกลางที่ราบลุ่ม
เซอร์เก้ฟังจบก็ไม่ได้ถามอะไร ทำเพียงพยักหน้าตอบรับ
ในที่สุดทีมของเขาก็รวบรวมคนที่กระจัดกระจายมาได้สามคน หลี่ซูให้เซอร์เก้พักผ่อนอย่างสงบหนึ่งคืน เขากับหลินปั้นซย่าจะรับหน้าที่เฝ้ายามให้ หลังจากที่เซอร์เก้กินเนื้อปลาหมดแล้ว ก็เหมือนจะวางใจเลิกระแวงพวกเขาไปโดยปริยาย ก่อนจะหาที่เรียบๆ เอนตัวนอนลง จากท่าทางเหนื่อยล้านั้นก็ดูท่าจะไม่ได้พักผ่อนมานานหลายวันแล้ว หลินปั้นซย่าที่รับผิดชอบเฝ้าครึ่งคืนหลังเมื่อตื่นขึ้นมาก็เป็นช่วงที่ท้องฟ้ายามค่ำคืนและแสงดาวงดงามที่สุดพอดี
แม้เขาจะเห็นค่ำคืนแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกตื้นตันใจกับความงดงามของมันอยู่ดี มันเป็นภาพแสนวิจิตรที่หาไม่ได้ในเมืองที่เต็มไปด้วยมลพิษ เขาฟังเสียงเปรี๊ยะๆ ของกองไฟแล้วก็รู้สึกถึงความสงบอย่างที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
และแล้วพวกเขาก็ผ่านพ้นค่ำคืนอันเงียบสงบ ต้อนรับดวงตะวันที่ทอแสงยามรุ่งอรุณ
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 17 ก.ย. 65