everY
ทดลองอ่าน ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 2 บทที่ 34 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 2
ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่
แปลโดย : qMondae
ผลงานเรื่อง : 骷髅幻戏图 (Ku Lou Huan Xi Tu)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการตาย การฆ่าตัวตาย การฆาตกรรม
มีการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
และการทำร้ายเด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 34 ดินแดนแห่งพันธสัญญา (7)
วันนี้ยังคงเป็นวันท้องฟ้าโล่งแจ่มใสเช่นเคย หรือกล่าวได้ว่าตั้งแต่มาถึงที่นี่ท้องฟ้าก็ไม่มีทีท่าว่าจะมีฝนตกลงมาเลย ทั้งสามจัดเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้วก็กินมื้อเช้าง่ายๆ จากนั้นจึงออกเดินทาง ก่อนอื่นพวกเขาต้องข้ามแม่น้ำที่กว้างใหญ่แต่ก็ไม่ถึงกับลึกสายนี้ให้ได้ก่อน เมื่อวานตอนหลินปั้นซย่าลงไปจับปลาก็สำรวจแม่น้ำนี้ไปบ้างแล้ว จุดที่ลึกที่สุดของแม่น้ำนี้ลึกแค่เข่าเท่านั้น สามารถสะพายสัมภาระไว้ที่หลังแล้วลุยน้ำอย่างระมัดระวังได้
หลินปั้นซย่ามีทักษะการว่ายน้ำดี เขาอาสาเดินนำไปเป็นคนแรก หลี่ซูเป็นคนถัดมา และเซอร์เก้อยู่รั้งท้าย เขาถอดรองเท้าถุงเท้า ม้วนขากางเกงขึ้น ย่ำไปตามหินเกลี้ยงเรียบลื่นอย่างระมัดระวังจนไปถึงอีกฝั่งของริมแม่น้ำ โบกมือให้พวกหลี่ซูเป็นเชิงให้พวกเขาข้ามมา
เมื่อฟ้าสว่างหลี่ซูก็แต่งตัวครบชุดอีกครั้ง ทั้งผ้าปิดปากและแว่นกันแดดไม่ขาดเลยสักชิ้นเดียว เขามาถึงอีกฝั่งอย่างปลอดภัยเช่นเดียวกับหลินปั้นซย่า
ตอนนี้เป็นตาของเซอร์เก้แล้ว เขาเป็นคนที่ร่างกายกำยำมากที่สุดในบรรดาพวกเขาทั้งสาม ตามหลักแล้วการข้ามแม่น้ำซึ่งไม่นับว่าไหลเชี่ยวนี้ไม่ใช่เรื่องยากลำบากสำหรับเขาเลย ดังนั้นหลินปั้นซย่าและหลี่ซูจึงไม่ได้เป็นห่วงมากนัก แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็บังเกิด
จู่ๆ เซอร์เก้ที่เดินมาถึงกลางแม่น้ำก็ลื่นไถลล้มลงไปในน้ำทั้งร่าง ระดับน้ำในแม่น้ำไม่ลึก เขาควรลุกขึ้นมาได้ในทันที แต่ใครจะรู้ว่าตั้งแต่เขาร่วงลงน้ำไป พวกหลินปั้นซย่าก็ไม่เห็นตัวเขาเลย เห็นเพียงน้ำที่สาดกระเซ็นเพราะการตีน้ำดิ้นรนอย่างต่อเนื่อง
หลินปั้นซย่ารู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลได้ทันที เขากระโจนลงน้ำไปโดยไม่รั้งรอ และเพียงแค่ลงไปก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเซอร์เก้ถึงลุกขึ้นมาไม่ได้ เท้าของอีกฝ่ายมีบางสิ่งที่เหมือนเชือกหนาพันรัดเอาไว้ ทีแรกหลินปั้นซย่าคิดว่าเป็นวัชพืชใต้น้ำ แต่เมื่อเขาเข้าไปใกล้ก็พบว่ามันเป็นมือของมนุษย์ที่เรียวยาวราวกับงู แขนของมือเหล่านี้ผุดขึ้นมาจากโคลนตมใต้น้ำราวกับเชือกยาวเฟื้อย ฉุดรั้งเซอร์เก้ไว้อย่างเหนียวแน่น ยื้อยุดชายหนุ่มลงไปไม่หยุด เซอร์เก้ดิ้นรนจนหมดแรง พ่นฟองอากาศออกจากปากคำใหญ่ดูใกล้จะไม่ไหวแล้ว หลินปั้นซย่าคว้ามือเหล่านั้น ดึงกริชที่รัดไว้ตรงต้นขาออกมา แล้วตัดแขนที่ยาวเฟื้อยประดุจงูโดยไม่หยุดยั้ง เคราะห์ดีที่สิ่งเหล่านี้ถูกจัดการได้โดยเร็ว หลินปั้นซย่าลากร่างกายอันหนักอึ้งของเซอร์เก้ พยายามพยุงให้ลอยขึ้นเหนือน้ำ เขาไอโขลกออกมาอย่างรุนแรงหลายครั้ง และตะโกนว่า “รีบ…ช่วยที…เขาหนักเกินไปแล้ว…”
หลี่ซูรีบยื่นมือออกไปดึงทั้งสองขึ้นมาตามลำดับ
หลินปั้นซย่าขึ้นฝั่งมาก็นั่งลงกับพื้นหอบหายใจเอ่ยว่า “เซอร์เก้ เป็นยังไงบ้าง”
แน่นอนว่าเซอร์เก้ฟังคำที่เขาพูดไม่ออก ได้แต่ฟุบกับพื้นสำรอกน้ำออกมาหลายรอบกว่าจะกลับมาเป็นปกติได้ ปากพูดภาษารัสเซียสองสามประโยค ฟังจากน้ำเสียงแล้วเหมือนว่าจะพ่นคำหยาบออกมา
“ที่อยู่ในน้ำนั่นทำไมถึงไม่โจมตีพวกเราสองคนล่ะ” หลินปั้นซย่าเอ่ยอย่างแปลกใจ “หรือเป็นเพราะไม่ชินอาหารต่างถิ่น ชอบกินแต่คนท้องถิ่น?”
หลี่ซูหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เวลาแบบนี้คุณอย่าเพิ่งเล่นมุกเลย” เขาสนทนากับเซอร์เก้สองสามคำ หลังจากรู้ว่าอีกฝ่ายไม่บาดเจ็บตรงไหนถึงค่อยวางใจ
แม้เซอร์เก้จะรอดมาได้ แต่เรื่องยุ่งยากดันไปเกิดกับกระเป๋าสัมภาระของเขา เพราะมันถูกน้ำพัดจมหายไปแล้ว บนตัวเขาเองก็เปียกแฉะ พอลมหนาวพัดมาหลินปั้นซย่าก็ตัวสั่นงันงก เอ่ยว่า “เดือนพฤษภาแล้วทำไมถึงยังหนาวขนาดนี้นะ”
“ที่รัก ที่นี่คือรัสเซีย” หลี่ซูกล่าว “ไปก่อไฟแล้วผึ่งเสื้อผ้าพวกคุณให้แห้งกันก่อนเถอะ อย่าป่วยกันเลย ถ้ากลับไปบอกคนอื่นว่าเพื่อนร่วมทีมตายเพราะเป็นหวัดรุนแรงคงถูกหัวเราะเยาะแน่” เขากล่าวพลางเคลื่อนย้ายร่างกายไปหาไม้ฟืนด้วยความรวดเร็ว แล้วก่อกองไฟขึ้นมา
หลินปั้นซย่าเริ่มผิงไฟอังเสื้อของตัวเองอีกรอบ
เมื่อตั้งหลักได้แล้วเซอร์เก้ก็เอ่ยขอบคุณออกมา หลินปั้นซย่าจึงโบกมือปัด “คุณระวังตัวหน่อยก็ดีนะ รู้สึกว่าคุณอับโชคสุดๆ”
หลี่ซูช่วยหลินปั้นซย่าแปลคำพูดนี้ เซอร์เก้หันมองแม่น้ำด้านหลังพลางกล่าวว่า “จนถึงตอนนี้ผมถึงแน่ใจได้แล้วว่าพวกคุณสองคนไม่ใช่สัตว์ประหลาดพวกนั้น”
“งั้นทำไมเมื่อวานคุณถึงเอาปืนให้ผมง่ายๆ ล่ะ” หลี่ซูขมวดคิ้ว
“ตายเพราะถูกปืนลูกซองยิงก็ถือว่าเป็นวิธีตายที่ไม่เลวร้ายนัก” เซอร์เก้ยิ้มเจื่อน “อย่างน้อย…ผมก็ไม่อยากกลายเป็นแบบอิริน่า” นานมาแล้ว เขาเคยสัญญากับอิริน่าเอาไว้ว่าหากในภารกิจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโชคร้ายกลายเป็นสัตว์ประหลาดน่ากลัวไป เช่นนั้นในฐานะที่เป็นคู่หูก็ห้ามใจอ่อนโดยเด็ดขาด เพราะบางทีตอนนั้นโลกแห่งจิตวิญญาณของคนคนนั้นอาจจะพังทลายไปแล้ว ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ขอตายอย่างเป็นสุขจะดีกว่า
เขาทำตามคำสัญญา แต่ในใจกลับหวาดกลัวอย่างยิ่งว่าหากตนเองกลายเป็นแบบนั้นขึ้นมาจะไม่มีคนคอยจบชีวิตให้
หลินปั้นซย่าฟังคำพูดเขาไม่ออก ได้แต่ผึ่งเสื้อผ้าของตัวเองอยู่ข้างๆ เงียบๆ
หลี่ซูเห็นว่าบรรยากาศผ่อนคลายลงแล้วจึงเอ่ยหยอกล้อกับหลินปั้นซย่า “รู้หรือเปล่าว่าตอนคุณลากเขาขึ้นมาเมื่อกี้ คุณอย่างกับหนูแฮมสเตอร์ตัวเล็กๆ ที่พยายามแบกคุกกี้ชิ้นใหญ่ๆ เลย”
หลินปั้นซย่ามองกล้ามหน้าท้องที่พอมีให้เห็นได้จางๆ ของตนเอง แล้วหันไปมองหน้าอกของเซอร์เก้ที่เต็มไปด้วยขนหน้าอก จิตใจก็ห่อเหี่ยว “งั้นให้ทำยังไงล่ะ สภาพร่างกายอย่างผมก็แบบนี้แหละ ถึงจะผอมไปหน่อยก็ไม่ถึงกับต้องบอกว่าผมเหมือนหนูแฮมสเตอร์ก็ได้มั้ง”
หลี่ซูหัวเราะร่า
ใช้เวลาช่วงเช้าไปกว่าครึ่ง ในที่สุดเสื้อผ้าของทั้งคู่ก็แห้งสนิท จากนั้นทั้งสามจึงออกเดินทางต่อ มุ่งไปยังใจกลางของทุ่งร้าง
เมื่อพวกเขาเข้าไปลึกขึ้นเรื่อยๆ สภาพแวดล้อมโดยรอบก็ยิ่งคล้ายกับภาพในคลิปวิดีโอของหลี่ซู หลินปั้นซย่าถามหลี่ซูหลายครั้งว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ หลี่ซูก็เอาแต่ตอบคลุมเครืออย่างขอไปที ทว่าหลินปั้นซย่ายังซักไซ้ไต่ถามอยู่อย่างนั้น ในที่สุดเขาก็เอ่ยอย่างเหลืออดว่า “ปั้นซย่า ที่ไม่บอกคุณเพราะมีเหตุผล อาชีพอย่างพวกเรา…ความขี้สงสัยไม่ใช่นิสัยที่ดี ถ้ารั้นจะถามผมให้ได้ ผมก็ตอบได้แค่ว่าถ้าคุณรู้ความลับอะไรแล้วก็ห้ามพูดมันออกมาเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นถ้าสิ่งนั้นได้ยินเข้า บางทีอาจจะมีสิ่งอื่นอุบัติขึ้นมาก็ได้”
“โอเค” หลินปั้นซย่าเห็นว่าให้ตายยังไงเขาก็ไม่ยอมเปิดปากจึงได้แต่ยอมแพ้
แม้เซอร์เก้จะยืนยันตัวตนกับพวกหลินปั้นซย่าว่าต่างฝ่ายต่างเป็นมนุษย์กันไปแล้ว แต่สภาพจิตใจของเขาก็ยังไม่ค่อยดีนัก จิตใจของเขาดูไม่อยู่กับเนื้อกับตัว บางครั้งหลี่ซูพูดอะไรด้วย เขาก็ใจลอยอยู่นานกว่าจะรู้สึกตัวทุกครั้งไป
“คุณไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” หลี่ซูถามเซอร์เก้
“ปะ…เปล่า ผมสบายดี” เซอร์เก้ขานรับอย่างไม่ชัดเจน ใบหน้าก้มต่ำลงดูหดหู่ไร้ชีวิตชีวา เดิมเขาตัวสูงใหญ่ ทว่าตอนนี้กลับให้ความรู้สึกซึมเซาชอบกล ชายหนุ่มมักจะหันไปมองด้านหลังบ่อยๆ ราวกับมีบางสิ่งกำลังตามหลังเขามาอย่างไรอย่างนั้น
แน่นอนอยู่แล้วว่าหลี่ซูและหลินปั้นซย่าต่างสังเกตได้ถึงความผิดปกตินี้ แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ในทุ่งร้างที่เวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา หากด้านหลังมีอะไรตามมาจริงๆ แค่หันหน้าไปก็จะเห็นได้ทันที พุ่มไม้เตี้ยเรี่ยดินไม่สามารถบดบังร่องรอยของผู้ที่ตามมาได้
คืนนั้นหลังจากก่อไฟเสร็จหลี่ซูก็เอาลูกเต๋าสองลูกที่เหมือนกับของซ่งชิงหลัวทุกกระเบียดนิ้วออกมา สั่งให้เซอร์เก้ทำการตรวจวัดหนึ่งครั้ง
เมื่อเห็นลูกเต๋าเซอร์เก้กลับลุกลี้ลุกลนขึ้นมา อันที่จริงหลินปั้นซย่าสงสัยมาโดยตลอดว่าทำไมพวกเขาถึงได้คิดว่าการทอยลูกเต๋าเป็นเรื่องใหญ่โตราวกับลูกเต๋าสองลูกตรงหน้านี้น่ากลัวยิ่งกว่าสัตว์ประหลาดเสียอีก โหมวซินซือที่เจอตอนไปหมู่บ้านในภูเขาก็เป็นแบบนี้ ถึงขนาดต้องให้ซ่งชิงหลัวบังคับเธอถึงจะยินยอมทอยลูกเต๋า
เซอร์เก้จ้องมองลูกเต๋าไม่ยอมยื่นมือออกไป ลูกกระเดือกขยับขึ้นลงกลืนน้ำลายอย่างห้ามไม่ได้ เขาทอดสายตาอ้อนวอนให้หลี่ซู อย่างไรก็ไม่ยอมยื่นมือมารับลูกเต๋าในมือหลี่ซูไป
หลี่ซูเองก็ไม่รีบร้อน รออยู่อย่างนี้เงียบๆ
“ผมน่าจะไม่ได้เป็นอะไร” เซอร์เก้กล่าว “ผมขอไม่ทอย…ได้มั้ย”
“ทอยเถอะ” หลี่ซูเอ่ยเสียงอ่อนโยน นิสัยใจคอของเขาดีเยี่ยมมาโดยตลอด แม้จะเป็นเวลาแบบนี้ก็ไม่มีท่าทีบึ้งตึงแต่อย่างใด ออกจะเหมือนสายน้ำในลำธารที่ไหลเอื่อยๆ เสียด้วยซ้ำ เขาเอ่ยน้ำเสียงเจือการปลอบโยน “อย่างน้อยก็ไม่ต้องหลอกตัวเอง”
เซอร์เก้ยิ้มเจื่อนเล็กน้อย สุดท้ายก็ยอมจำนน เขาสะกดมือที่สั่นเครือ ยื่นออกไปรับลูกเต๋ามาช้าๆ จากนั้นสูดหายใจเข้าลึกแล้วโยนลูกเต๋าไปบนพื้น มันกลิ้งขลุกๆ หมุนไปหลายรอบก่อนหยุดนิ่ง หนึ่งขาวหนึ่งดำแบ่งเป็นเจ็ดและหก คะแนนทั้งหมดคือเจ็ดสิบหก นับว่ายังไม่เกินค่าอันตราย
“ฟู่ววว…” เมื่อเห็นผลลัพธ์นี้แล้วเซอร์เก้ก็ถอนหายใจยาวเหยียดหนึ่งที มันดีกว่าที่เขาคิดไว้มาก
“ทำไมพวกเขาถึงกลัวกันขนาดนั้นล่ะ” หลินปั้นซย่าถามอย่างแปลกใจ “แค่ตรวจสอบสภาพจิตใจของตัวเองนิดหน่อยไม่ใช่เหรอ”
หลี่ซูรวบเก็บลูกเต๋าอย่างระมัดระวัง เมื่อได้ยินคำถามของหลินปั้นซย่า น้ำเสียงที่กล่าวตอบก็ติดละเหี่ยใจเล็กน้อย “ปั้นซย่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะทึ่มทื่อความรู้สึกช้าเหมือนคุณนะ ปกติแล้วถ้าค่าปนเปื้อนทางจิตใจสูงเกินค่าอันตรายก็จะหมายถึงสิ่งหนึ่ง”
หลินปั้นซย่ากล่าว “อะไร”
“มันหมายความว่าคุณอาจจะวิปลาสไปแล้ว” น้ำเสียงของหลี่ซูเคร่งขรึม “หรือคุณอาจกลายเป็นสิ่งอื่น มันล้วนเป็นอะไรน่ากลัวยิ่งกว่าความตาย คุณไม่เคยคิดเลยเหรอว่าถ้าทุกสิ่งตรงหน้าทั้งหมดเป็นของปลอมจะเป็นเรื่องน่ากลัวขนาดไหน” เขากลั่นกรองคำพูด พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้หลินปั้นซย่าเข้าใจขึ้นบ้าง “ในบางสถานการณ์ หากค่าจิตใจของคุณเกินขีดจำกัดแล้ว เพื่อนร่วมทางของคุณมีสิทธิ์ปลิดชีพคุณได้…คุณไม่ได้อ่านข้อตกลงให้ละเอียดเหรอ”
หลินปั้นซย่าสารภาพอย่างตรงไปตรงมา “เอาแต่ดูค่าตอบแทนกับประกันชีวิตอย่างเดียวเลยครับ”
หลี่ซู “…”
หลินปั้นซย่าหัวเราะแห้งเพื่อคลายความกระอักกระอ่วน “ฮ่าๆๆ”
หลี่ซูนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ไม่รู้จะพูดอะไรไปชั่วขณะ สุดท้ายก็กัดฟันพ่นออกมาหนึ่งประโยค “ไอ้เจ้าซ่งชิงหลัวนี่ควรโดนส่งไปอบรมอีกรอบจริงๆ!!”
เซอร์เก้ผ่านการตรวจวัดมาได้แล้วแต่เขาก็ยังดีใจไม่ออกอยู่ดี เขาคิดว่าตัวเองเสียสติไปแล้ว แต่แต้มบนลูกเต๋ากลับบ่งบอกว่าเขายังห่างจากอาการเสียสติอีกระยะหนึ่ง ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้วสิ่งที่เขาเห็นคืออะไรกันแน่ เซอร์เก้เลียริมฝีปากที่แห้งผาก ตั้งแต่ออกมาจากริมฝั่งแม่น้ำ เขาก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างตามพวกเขาอยู่ สิ่งนั้นมองไม่เห็นรูปร่าง ไม่ได้ยินเสียง แต่เซอร์เก้กลับรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่ามีบางสิ่งกำลังตามพวกเขามา สิ่งนั้นที่หน้าตาเหมือนอิริน่าทุกกระเบียดนิ้ว ร่างอ่อนยวบคล้ายจะซ่อนเร้นตัวเองไว้ในฝุ่นทรายที่มองไม่เห็น คนอื่นๆ ไม่สังเกตถึงมันเลยแม้แต่น้อย หลังจากเซอร์เก้แน่ใจแล้วว่าตนไม่ได้เสียสติ ก็กลับเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิมเสียอย่างนั้น เพราะคนเสียสติคนหนึ่งไม่จำเป็นต้องคิดไตร่ตรองและจะไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ แต่เขาในตอนนี้เหมือนกับถูกวิญญาณตามติดอย่างไรอย่างนั้น วิญญาณที่มองไม่เห็นแตะไม่ได้ ซ้ำยังมีแค่เขาเท่านั้นที่รู้สึกถึงมันได้
พอกลางคืนมาเยี่ยมเยียน อุณหภูมิบนทุ่งหญ้าร้างลดลงอย่างรวดเร็ว
วันนี้หลินปั้นซย่าและเซอร์เก้เป็นคนเฝ้ายาม หลี่ซูเป็นคนง่ายๆ สบายๆ คนหนึ่ง มาถึงก็เอาต้นหญ้ามาปูเป็นที่นอนนุ่มๆ ให้ตัวเอง ล้มตัวลงนอนแล้วหลับปุ๋ยทันที
ตอนนี้เพิ่งสามทุ่มกว่า หลินปั้นซย่าที่ต้องเฝ้ายามกะหลังรู้สึกว่านอนไม่หลับนิดหน่อยจึงนั่งผิงไฟอยู่ข้างกองไฟกับเซอร์เก้ เขาเห็นเซอร์เก้มีสีหน้าไม่ดี อยากจะพูดกับอีกฝ่ายสักสองประโยค แต่เนื่องด้วยอุปสรรคทางภาษาจึงได้แต่ใช้ภาษาอังกฤษห้าเหมา say กับเขาไปสองประโยค
ภาษาอังกฤษของเซอร์เก้เองก็ไม่ได้ดีนัก แต่เขาก็ยังเต็มใจพูดคุยกับหลินปั้นซย่า เพราะอย่างไรเมื่อเทียบกับคนที่แต่งตัวจัดเต็มดูพิลึกพิลั่นอย่างหลี่ซูแล้ว หลินปั้นซย่าดูเหมือนคนธรรมดาตามมาตรฐานของพวกเขามากกว่า แถมดูแล้วยังเหมือนคนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่ายด้วย
ทั้งสองสนทนากันเป็นระยะ หลินปั้นซย่าเก็บเกี่ยวความรู้มาได้ค่อนข้างมาก รู้สึกว่าภาษาอังกฤษราคาห้าเหมาของตนเองแพงขึ้นมาหนึ่งเหมา กลายเป็นหกเหมาแล้ว เห็นได้ชัดว่าเซอร์เก้ไม่รู้เลยว่าตัวเองกลายเป็นคู่ฝึกซ้อมภาษาอังกฤษของฝ่ายตรงข้ามไปแล้ว ทั้งยังคิดว่าหลินปั้นซย่าเป็นคนดี เพราะไม่เพียงแต่ช่วยเหลือตนไว้ ยังพยายามปลอบใจตนอีกด้วย
“คุณนอนก่อนสักหน่อยเถอะ” หลินปั้นซย่าคิดว่าเขาสีหน้าไม่ค่อยดี จึงอยากให้เขาพักผ่อนมากหน่อย พลางคิดว่าตนอดนอนเพิ่มอีกนิดให้พ้นๆ คืนนี้ไปก็แล้วกัน “ถ้ามีอะไรผมจะเรียกคุณ”
“โอเค” เซอร์เก้ไม่ทำอวดดี เขาเอนกายนอนลงข้างๆ หลี่ซู ผ่านไปไม่เท่าไหร่ลมหายใจก็เปลี่ยนเป็นสม่ำเสมอ
หลินปั้นซย่านั่งเฝ้ากองไฟ ฟังเสียงลมหวีดหวิวเสียดแทงหูท่ามกลางทุ่งหญ้ารกร้าง ที่นี่ไร้แหล่งกำบังลม ทุกครั้งที่ค่ำคืนมาถึงเสียงลมก็ประหนึ่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญที่พัดวนอยู่เหนือศีรษะพวกเขา บางทีก็มีทัมเบิลวีด* ถูกลมแรงพัดผ่านหน้าผ่านตาเขาแล้วหายวับไป คำว่า ‘เปล่าเปลี่ยว’ เป็นคำบรรยายที่เหมาะสมกับที่แห่งนี้มากที่สุด หลินปั้นซย่าคว้าทัมเบิลวีดพุ่มหนึ่งมาใส่กองไฟให้ไฟลุกโชนยิ่งขึ้น เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้ายามราตรีอันสว่างไสวเป็นประกาย ไม่นึกเลยว่าตนเองจะได้ลิ้มรสความงามของต่างประเทศจากวิวทิวทัศน์แบบนี้
ทว่าในตอนที่หลินปั้นซย่ากำลังเพ่งมองท้องฟ้าอยู่นั่นเอง ดวงดาวที่ยังคงส่องประกายในทีแรกพลันมืดลง ตอนแรกหลินปั้นซย่าคิดว่าเหนือศีรษะตนมีเมฆลอยมา แต่เมื่อเสียงหึ่งๆ ที่รวมกันอย่างหนาแน่นดังเข้าโสตประสาท เขาถึงตระหนักขึ้นมาทันทีว่า…นั่นเป็นเสียงของฝูงแมลง
“หลี่ซู เซอร์เก้…รีบตื่นเร็ว!!!” หลินปั้นซย่าร้องเสียงดังเมื่อพบว่าสิ่งนี้ผิดปกติ หลี่ซูตื่นขึ้นทันที แม้เซอร์เก้จะไม่รู้ว่าหลินปั้นซย่าตะโกนว่าอะไร แต่ก็ฟังน้ำเสียงร้อนรนของเขาออก พอคลานลุกจากพื้นแล้วก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้นรัวๆ
“แมลงเป็นฝูงเลย…” หลินปั้นซย่าเอ่ยอย่างลนลาน “ไม่รู้ว่าคือตัวอะไร รีบลุกเร็ว!”
หลี่ซูเองก็ได้ยินเสียงหึ่งๆ ถี่ยิบนั่นแล้วเช่นกัน เขาเงยหน้าขึ้นแล้วก็ได้เห็นฝูงแมลงที่บดบังทั่วท้องฟ้า แมลงเหล่านี้แผ่ขยายมาทางพวกเขาอย่างรวดเร็วราวกับพายุทะเลทราย
“บัดซบ มาจากไหนเนี่ย แม่งเอ๊ย อย่างนี้จะหนีทันได้ยังไง!” หลี่ซูผู้มากประสบการณ์ประเมินสถานการณ์อย่างฉับไว เมื่อรู้ว่าหากพวกเขาต้องวิ่งแข่งกับฝูงแมลงย่อมวิ่งไม่ทันแน่นอน เขาจึงเอ่ยเสียงดังว่า “เร็วเข้า…เอาเสื้อเอากระเป๋ามาคลุมหัวไว้ หมอบลงกับพื้น ควบคุมลมหายใจไว้…”
หลินปั้นซย่ารีบปฏิบัติตาม แม้เซอร์เก้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นไปชั่วขณะ แต่เพราะสภาพแวดล้อมและการกระทำของหลินปั้นซย่าทำให้เขาเข้าใจได้แล้วกว่าครึ่ง เขาทำตามหลี่ซู เอาเสื้อตัวเองมาปิดปากปิดจมูกไว้ด้วยเช่นกัน
ในชั่วพริบตา ฝูงแมลงเนืองแน่นก็มาถึงเบื้องหน้าของพวกเขา หลินปั้นซย่ารู้สึกว่ามีลมแรงพัดโหมผ่านไป ร่างกายราวกับถูกของหนักๆ ทุบ จากนั้นผิวหนังของเขาที่โผล่ออกมาด้านนอกก็รู้สึกคันคะเยอ ชัดเจนว่าฝูงแมลงส่วนหนึ่งกระทบโดนตัวของเขา
หลี่ซูรู้ว่าวิธีการของพวกเขาเหมือนการดับไฟที่กำลังไหม้ฟืนทั้งคันเกวียนด้วยน้ำแก้วเดียว ได้แต่ภาวนาให้แมลงพวกนี้ไม่สนใจจะกินเนื้อเป็นอาหาร เคราะห์ดีที่หลังจากฝูงแมลงมาถึงแล้ว แม้เขาจะรู้สึกได้ว่ามีอะไรอยู่บนตัว แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บจากการโดนกัดแทะเลย อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ว่าแมลงพวกนี้ไม่กินคนจริงๆ
พวกเขาทั้งสามหมอบลงกับพื้น บนตัวปกคลุมไปด้วยแมลงอย่างหนาแน่น บัดนี้หลินปั้นซย่าถึงได้เห็นหน้าตาของแมลงพวกนี้ใกล้ๆ เขาไม่นึกว่ามันจะเป็นผีเสื้อกลางคืนหลายตัวมีทั้งสีดำและสีน้ำตาลเข้ม บนตัวมีลวดลายแปลกๆ เริ่มแรกหลินปั้นซย่าคิดว่าพวกมันเป็นเพียงผีเสื้อกลางคืนธรรมดา จนกระทั่งมีตัวหนึ่งบินมาอยู่ตรงหน้าหลินปั้นซย่า แม้แสงไฟจะสลัวแต่ในชั่วขณะที่เหนือความคาดหมายหลินปั้นซย่าก็มองเห็นลวดลายแปลกๆ บนปีกผีเสื้อได้…ลวดลายพวกนี้มองดูแล้วคล้ายใบหน้าของผู้หญิง เมื่อหลินปั้นซย่ามองสำรวจโดยละเอียดอีกครั้ง เขากลับรู้สึกว่าใบหน้านี้คล้ายคลึงกับอิริน่าที่เคยเจอหน้ากันครั้งหนึ่งอย่างยิ่ง แต่องคาพยพทั้งห้าบนใบหน้าบิดเบี้ยวไปมาก มองเผินๆ เหมือนกับเธอกำลังอ้าปากกรีดร้องอย่างไรอย่างนั้น
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เสียงหึ่งๆ ข้างหูถึงค่อยๆ เบาลง หลินปั้นซย่ารู้สึกว่าแรงที่กดทับตัวเขาไว้ก็เบาลงด้วย ด้วยเหตุนี้จึงพยายามลุกขึ้นมาอย่างฝืดฝืน และเห็นว่าฝูงแมลงบินผ่านไปไกลแล้ว เขาเขย่าผีเสื้อกลางคืนบนตัวและเสื้อผ้าให้ร่วงออกไปให้หมด สายตาสอดส่องไปรอบๆ เพื่อหาหลี่ซูและเซอร์เก้
“แค่กๆ แค่ก” ไม่ไกลออกไปจากเขานักหลี่ซูก็ลุกขึ้นจากพื้นด้วยความลำบากเช่นกัน เขายกมือปิดจมูกและปากพลางเอ่ยว่า “ขยะแขยงเป็นบ้า ขยะแขยงเป็นบ้าเลย”
หลินปั้นซย่ากล่าว “คุณกลัวแมลงเหรอ”
“ไม่กลัวแมลงแต่กลัวผีเสื้อกลางคืน” เขาสะบัดร่างกายอย่างแรง “คุณช่วยผมปัดมันออกที ขยะแขยงชะมัด…แล้วเซอร์เก้ล่ะ?”
หลินปั้นซย่ากล่าว “อยู่นั่นไง”
เขาชี้ไป แต่กลับพบว่าเซอร์เก้ที่ควรจะลุกขึ้นมาแล้วยังคงตัวสั่นงันงกอยู่บนพื้น หลินปั้นซย่าเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ “เขาเป็นอะไรไปน่ะ”
“ไม่รู้ ผมจะลองไปถามดู” หลี่ซูสะบัดแมลงบนตัวออกพลางเดินไปหาเซอร์เก้ พอเดินมาถึงข้างกายเซอร์เก้แล้วก็เอ่ยถามเสียงแผ่วว่าเขาไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า แต่เซอร์เก้กลับไม่ขานตอบ
“เซอร์เก้? ไม่เป็นไรใช่มั้ย” หลี่ซูก้มลงไปตบไหล่เขาเบาๆ
เซอร์เก้ตัวกระตุกอย่างรุนแรงทีหนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นช้าๆ บนใบหน้าของเขาปกคลุมไปด้วยผีเสื้อกลางคืนอย่างหนาแน่น ไม่มีท่าทีจะบินจากไปเลย
หลี่ซูที่กลัวผีเสื้อกลางคืนอยู่แล้วเห็นสภาพนี้ของเซอร์เก้ก็ตกใจตัวโยน ขนอ่อนตั้งชันถี่ยิบไปทั้งแขน รีบเอ่ยกับหลินปั้นซย่า “เร็วเข้าๆๆ รีบมาช่วยเขา…”
หลินปั้นซย่ารีบเดินก้าวใหญ่เข้าไป ยื่นมือปัดผีเสื้อกลางคืนที่เกาะนิ่งอยู่บนใบหน้าเซอร์เก้ออก ขณะปัดไล่พวกมันก็พบว่าแมลงพวกนี้ปฏิบัติต่อพวกเขาต่างจากเซอร์เก้เล็กน้อย กล่าวให้ถูกคือผีเสื้อกลางคืนเพียงแค่บินผ่านพวกเขาไป แต่เมื่อมาถึงเซอร์เก้ มันกลับเหมือนจะตั้งใจพุ่งเข้าหาเขา บางตัวถึงกับพยายามมุดเข้าหูของเซอร์เก้ด้วย เคราะห์ดีที่พวกมันตัวใหญ่เกินไปเลยมุดเข้าไปไม่ได้ แต่ก็ทำให้คนที่เห็นภาพนี้ขนลุกขนพองได้
หลินปั้นซย่าใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะปัดผีเสื้อกลางคืนออกได้หมด พอมองเซอร์เก้อีกครั้งก็พบว่าทั้งสรรพางค์กายเขาแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อนราวกับเป็นรูปปั้น แม้แต่ลูกตาดำยังไม่เคลื่อนไหวแม้แต่นิด
“พี่ชาย คุณโอเคมั้ย” หลินปั้นซย่าถามเขาอย่างเป็นห่วง
หลี่ซูก็ถามเขาไปหนึ่งประโยคเช่นกัน คราวนี้เปลือกตาของเขาถึงขยับเล็กน้อยราวกับเพิ่งตื่นจากฝันก็มิปาน ปากพึมพำคำศัพท์ที่หลินปั้นซย่าฟังไม่เข้าใจ หลี่ซูพูดอะไรบางอย่างคล้ายกำลังปลอบขวัญเซอร์เก้ ไม่รู้ว่ามีประโยชน์หรือไม่ แต่อย่างน้อยเซอร์เก้ก็หยุดพึมพำกับตัวเองแล้ว
แม้ฝูงแมลงจะผ่านไปแล้ว แต่ผีเสื้อกลางคืนเต็มพื้นยังคงขยับขยุกขยิกไต่ขึ้นไปบนก้อนกรวดของทุ่งรกร้าง หลินปั้นซย่าก่อกองไฟ พยายามไล่ฝูงแมลงออกไปเพื่อให้มีพื้นที่สำหรับพักผ่อน ในขั้นตอนทั้งหมดเซอร์เก้ได้แต่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน จู่ๆ เขาก็ปริปากเอ่ยอะไรบางอย่างกับหลี่ซู คล้ายจะถามคำถามหนึ่ง
หลี่ซูฟังจบแล้ว แต่กลับไม่ตอบคำถาม
หลินปั้นซย่าฟังไม่ออกจึงถามหลี่ซูว่าเซอร์เก้ถามเขาว่าอะไร หลี่ซูเหลือบมองหลินปั้นซย่าก่อนกล่าว “สิ่งที่คุณกระหายที่สุดคืออะไร แล้วสิ่งที่กลัวที่สุดคืออะไร”
หลินปั้นซย่าครุ่นคิดชั่วครู่ กำลังจะตอบ หลี่ซูก็ทำมือให้หยุดพูด ล้วงแบงก์ดอลลาร์ใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง ตบไปที่หน้าอกหลินปั้นซย่าแล้วเอ่ยว่า “ช่างเถอะ ผมรู้ว่าคุณกลัวอะไร…เด็กดี คุณไปจุดไฟเถอะ”
“ได้เลยหลี่เกอ!” หลินปั้นซย่าไม่กลัวอะไรอีกแล้ว ขยับตัวไปก่อกองไฟอย่างมีความสุข
ไม่นานกองไฟก็ถูกจุดขึ้น ทั้งสามต่างนอนไม่หลับ เซอร์เก้และหลี่ซูนั่งยองๆ คุยกันอยู่ข้างกองไฟ ส่วนหลินปั้นซย่าก็ยืมแสงจากเปลวไฟพิจารณาธนบัตรในมืออย่างขะมักเขม้น แม้ผีเสื้อกลางคืนบนตัวเซอร์เก้จะถูกปัดออกไปหมดแล้ว แต่จิตใจกลับได้รับบาดแผลสาหัส สายตาเขาจ้องมองเปลวไฟสลัวตรงหน้า ปากเริ่มเล่าเกี่ยวกับเรื่องของอิริน่ากับตัวเอง
อิริน่าเป็นคู่หูที่อยู่กับเขามานานที่สุด ทั้งสองเข้ากันได้เป็นอย่างดีจนถึงขั้นติดต่อกันเป็นการส่วนตัวด้วย เขาคิดว่าเข้าใจเธอมาก แต่เมื่อรู้ว่าอิริน่าตายแล้ว เขาถึงพบว่าตนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหญิงสาวเลย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอท้อง ถ้าเขารู้ก่อนจะต้องไม่ให้เธอรับภารกิจครั้งนี้แน่ และเมื่อเขากลับออกไปได้ เขาจะตามหาแฟนหนุ่มไร้ความรับผิดชอบของอิริน่าแล้วต่อยอีกฝ่ายแรงๆ สักทีแน่นอน เขาพูดประโยคนี้ซ้ำๆ หลายต่อหลายครั้ง เพียงมองจากสีหน้าและแววตาก็เห็นความนึกเสียใจภายหลังและความเจ็บปวดของเขาได้
หลี่ซูฟังอยู่ข้างๆ ไม่ได้ลองให้คำแนะนำอะไรเลย เขาทำงานนี้มานานมากแล้วจึงเห็นเรื่องแบบนี้จนชินชา เพราะไม่ใช่เพียงแค่ผู้บันทึกเท่านั้น แม้แต่ผู้สังเกตการณ์ที่มากพรสวรรค์ก็เจ็บตายไปนับไม่ถ้วน ความอันตรายที่มากับวัตถุนอกรีตไม่มีใครคาดเดาได้ สิ่งที่สามารถต้านทานมันได้มีเพียงจิตใจอันแข็งแกร่งกล้าหาญและการตัดสินใจอันเฉียบแหลมว่องไว
แต่คนที่มีจิตใจแข็งแกร่งกล้าหาญจะมีอยู่สักกี่คนเชียว หลี่ซูคิด คนส่วนใหญ่ก็เป็นแค่คนธรรมดาที่ฝืนทนเผชิญกับการทดสอบมาได้ก็เท่านั้น
อิริน่าเป็นคนธรรมดา อเล็กเซย์ก็เป็นคนธรรมดา ดังนั้นเมื่อพวกเขาตาย ก็จะไม่มีใครรู้สาเหตุการตายของพวกเขา
ความระทมทุกข์ในน้ำเสียงของเซอร์เก้เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เขาเอ่ย “คุณคิดว่าก่อนอิริน่าจะตาย เธอจะกล่าวโทษผมหรือเปล่า”
หลี่ซูกล่าว “ถ้าเธอเป็นผู้หญิงตามที่เล่ามา ผมก็คิดว่าเธอจะไม่โทษคุณ”
“แต่ผมรู้สึกตลอดเลยว่าเธออยู่ข้างหลังผม” เซอร์เก้กดเสียงต่ำที่แหบพร่า ในน้ำเสียงติดความหวาดกลัวมาด้วย “ตามหลังผมมา…โดยตลอด”
หลี่ซูขมวดคิ้ว เมื่อวานเขาเพิ่งตรวจวัดการปนเปื้อนทางจิตใจของเซอร์เก้ ซึ่งมันก็ยืนยันได้แล้วว่าเขายังไม่ได้เสียสติ แต่ถ้าอย่างนั้นทำไมคนที่ยังไม่ได้เสียสติถึงพูดแบบนี้ออกมาได้
ท้องฟ้าของวันนี้สว่างช้าเป็นพิเศษ
ตะวันทอแสงมาจากเส้นขอบฟ้าด้วยความยากลำบาก แสงสว่างที่สาดส่องบางเบากลับไม่ได้ทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่น ลมในทุ่งหญ้าพัดโหมกว่าเดิม ข้างกองไฟเต็มไปด้วยซากผีเสื้อกลางคืนที่ถูกเผากองพะเนินอยู่ พวกมันพยายามพุ่งเข้าหาแสงสว่าง แต่กลับไม่รู้สึกตัวเลยว่าแสงไฟเหล่านี้ล้วนเป็นของปลอม จนกระทั่งแสงสว่างที่แท้จริงมาเยือนก็ไม่อาจเอื้อมถึงอีกต่อไป
ทั้งสามออกเดินทางอีกครั้ง
ด้านหน้าเป็นความว่างเปล่าที่ไกลลิบตา มองไม่เห็นเลยว่าจุดสิ้นสุดอยู่ที่ใด
หลินปั้นซย่าไม่รู้ว่าพวกเขายังต้องเดินต่อไปอย่างนี้อีกนานแค่ไหน การเดินทางไม่มีที่สิ้นสุดนี้ยิ่งทำให้รู้สึกทรมานและสิ้นหวัง ตั้งแต่ผีเสื้อกลางคืนบินมา สภาพจิตใจของเซอร์เก้ก็ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ แผ่นหลังของร่างสูงใหญ่ค่อยๆ ค่อมลง ไหล่งุ้มมากขึ้นทีละนิดๆ และมักจะหันกลับไปมองด้านหลังอยู่เสมอ แต่ด้านหลังพวกเขามีเพียงผืนดินกันดาร ไม่มีใครรู้ว่าเซอร์เก้มองหาอะไรอยู่กันแน่
พวกเขาเดินอย่างนี้ไปห้าหกวัน พลบค่ำวันหนึ่ง จู่ๆ ทุ่งกว้างนี้ก็มีลมแรงพัดโหม หอบเอาฝุ่นทรายมาด้วยจนบดบังวิสัยทัศน์ของพวกเขา ทั้งสามจึงจำต้องหยุดลงตั้งค่ายพักแรม ณ ที่นั้น
ไม่กี่วันมานี้ หลินปั้นซย่าพยายามซักถามหลี่ซูว่าจุดมุ่งหมายของพวกเขาคือที่ไหนกันแน่อยู่บ่อยครั้ง แต่ให้ตายยังไงหลี่ซูก็ไม่ยอมตอบ เพียงบอกหลินปั้นซย่าว่าถึงที่นั่นแล้วจะรู้เอง หลินปั้นซย่าหมดหนทางจึงได้แต่ยอมจำนน
ฝุ่นทรายพัดปลิวว่อนทั้งคืน ทั้งสามต่างไม่ได้นอนอย่างสงบ จนกระทั่งฟ้าสางฝุ่นทรายถึงค่อยๆ สลายไป หลินปั้นซย่าที่เป็นคนเฝ้ายามพลันมองเห็นสิ่งก่อสร้างสีดำเรียงรายอยู่อีกฝั่งของฝุ่นทราย ตอนแรกเขานึกว่าตัวเองตาฝาด แต่เมื่อรอจนพายุทรายหยุดนิ่งสนิทแล้ว ถึงเชื่อมั่นว่าตนไม่ได้เกิดอาการหลอนไปเอง ที่ที่อยู่ไม่ไกลจากพวกเขามีเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งบังเกิดแก่สายตาจริงๆ
“หลี่ซู หลี่ซู!!” หลินปั้นซย่าเขย่าปลุกหลี่ซูพลางร้องเรียก “รีบตื่นเร็ว”
หลี่ซูงัวเงียตื่นขึ้นมา “มีอะไรเหรอ”
หลินปั้นซย่ากล่าว “คุณดูสิ ดูนั่นสิ!”
หลี่ซูหันไปทางที่หลินปั้นซย่าชี้ ดวงตาเป็นประกายวาบขึ้นมา หลินปั้นซย่าเอ่ย “นี่ใช่ที่ที่เราตามหาหรือเปล่า สิ่งนั้นอยู่ที่นั่นเหรอ”
“ชู่ว” หลี่ซูชูนิ้วเป็นเชิงให้เงียบเสียงราวกับกลัวว่าจะไปรบกวนอะไรเข้า เขาเหลือบมองเซอร์เก้ที่ยังนอนหลับสนิทอยู่ข้างๆ เอ่ยว่า “พวกเราต้องไปที่นั่น”
หลินปั้นซย่าเห็นสีหน้าเขาเคร่งขรึมในใจก็รู้สึกแปลกๆ เมืองนี้ดูเหมือนจะอยู่ไม่ไกลจากพวกเขาเลย ทำไมน้ำเสียงของหลี่ซูถึงฟังดูหนักอึ้งขนาดนี้ เหมือนกับว่าการไปถึงเมืองเล็กๆ นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างไรอย่างนั้น ในตอนที่หลินปั้นซย่ากำลังครุ่นคิดอยู่นั่นเอง หลี่ซูก็เอ่ยเบาๆ ปลุกเซอร์เก้ให้ตื่น
“เซอร์เก้” หลี่ซูกล่าว “คุณโอเคมั้ย”
เซอร์เก้ลืมตาขึ้น ความงุนงงในดวงตาจางหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อได้ยินคำถามของหลี่ซูก็พยักหน้า
“คุณอยากไปกับพวกเราหรือเปล่า ไม่อยากก็ไม่เป็นไรนะ” หลี่ซูเอ่ย “พวกเราจะแบ่งอาหารไว้ให้คุณ คุณรอพวกเราอยู่ที่นี่…”
เซอร์เก้พูดขึ้น “ผมจะไปกับพวกคุณ”
หลี่ซูถามย้ำ “คุณแน่ใจนะ?”
“แน่ใจ” แววตาของเซอร์เก้มั่นคงและแน่วแน่ ตอบคำถามของหลี่ซูโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“ได้” หลี่ซูกล่าว “งั้นพวกเราออกเดินทางกันเถอะ”
ทั้งสามแบกสัมภาระมุ่งหน้าไปต่อ ทุกคนต่างเงียบสนิทตลอดทาง หลี่ซูเหมือนไม่ค่อยอยากพูดเยอะ และในฐานะที่เป็นล่ามแปลภาษาเพียงหนึ่งเดียว พอเขาไม่พูด หลินปั้นซย่ากับเซอร์เก้ย่อมไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกันเป็นธรรมดา
ระยะทางจากเมืองย่นเข้ามาเรื่อยๆ จากนั้นหลินปั้นซย่าถึงเห็นสิ่งก่อสร้างตรงหน้าตนอย่างชัดเจน มันเป็นสิ่งก่อสร้างจากหินก้อนใหญ่วางเรียงซ้อนกัน ด้านบนปกคลุมไปด้วยมอสสีเขียว ไม่มีร่องรอยการใช้ชีวิตของมนุษย์เลย ดูจากรูปร่างหน้าตาของสิ่งก่อสร้างแล้ว ที่นี่ไม่เหมือนเขตที่อยู่อาศัยของผู้คนแต่เหมือนสิ่งที่มาจากนอกโลกมากกว่า และคงเพราะว่ากาลเวลาผันผ่านไปนานแล้วมันจึงดูทรุดโทรมอย่างมาก รอบๆ รายล้อมไปด้วยเสาทรงกลมหลายต้น ตรงทางเข้าเป็นประตูโค้งสูงใหญ่บานหนึ่งตั้งตระหง่าน บนนั้นวาดลวดลายดอกไม้สลับซับซ้อนงามวิจิตร ดูออกเลยว่าช่างที่สร้างประตูโค้งบานนี้ขึ้นมาเป็นผู้มีฝีมือเหนือชั้น
เมื่อมาถึงหน้าประตู จู่ๆ หลี่ซูที่ตึงเครียดมาโดยตลอดก็พ่นลมออกมาอย่างหนัก เขาเอ่ย “ในที่สุดก็เข้ามาแล้ว…”
หลินปั้นซย่าถามขึ้น “ทำไมคุณถึงเครียดขนาดนั้นล่ะ”
หลี่ซูตอบว่า “เพราะทีมก่อนหน้าของเราก็เคยเห็นเมืองนี้แล้วเหมือนกัน”
หลินปั้นซย่าเอ่ยอย่างฉงนสงสัย “งั้นทำไมพวกคุณถึงเข้ามาไม่ได้ล่ะ”
หลี่ซูกล่าว “เพราะมีคนในทีมไม่อยากเข้ามา”
หลินปั้นซย่าชะงักไปชั่วครู่ จู่ๆ ก็เข้าใจความหมายของหลี่ซู หลังจากที่เขาพบเจอกับเรื่องราวต่างๆ ของที่นี่มาแล้วก็พอจะรู้สึกถึงความแปลกประหลาดเหล่านั้นได้รางๆ เหมือนกับที่อเล็กเซย์เอาทองมาหลอกล่อเขา ที่แห่งนี้คล้ายจะสำแดงสิ่งที่ในใจของมนุษย์โหยหามากที่สุด ทว่าหัวใจของมนุษย์ซับซ้อนยิ่ง สิ่งที่กระหายมากที่สุดสามารถแปรเปลี่ยนไปได้ทุกเมื่อ ทีมของหลี่ซูก็เคยมาเยือนสิ่งก่อสร้างนี้แล้ว ทว่ายังไม่ทันได้เข้าใกล้ ก็เปลี่ยนความคิดเพราะเพื่อนร่วมทีมบางคน
‘ไม่อยากเข้าไป ไม่อยากอยู่ใกล้ที่นี่ กลัว อยากกลับไป…’ ความปรารถนากลายเป็นความจริง เมื่อพวกหลี่ซูรู้สึกตัวอีกครั้ง สิ่งก่อสร้างตรงหน้าพวกเขาก็หายไปแล้วกลับไปยังพงไพรประหลาดนั่นอีกครั้ง ทุกสิ่งที่ทำไปล้วนพังทลายลงในตอนท้าย
ไม่แปลกที่หลี่ซูจะไม่บอกความจริงนี้กับหลินปั้นซย่า ตั้งแต่ได้เห็นเมืองแห่งนี้เขาก็ดูตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด
เซอร์เก้ฟังบทสนทนาของเขาไม่ออกและเขาก็ไม่ได้สนใจนัก เมื่อมั่นใจแล้วว่าตรงหน้านี้ไม่มีอันตรายก็เดินนำหน้าเข้าไปก่อน
“ที่นี่เหมือนแท่นบูชาเลย” เซอร์เก้มองสำรวจโดยรอบ “จากแผนที่ ที่นี่…น่าจะเป็นเมืองเล็กๆ ใช่มั้ย”
หลี่ซูดูแผนที่แล้วตอบ “คงใช่”
เขาเดินเข้าไปข้างในอีกสองสามก้าว จู่ๆ ก็หยุดนิ่งแล้วกล่าวว่า “นั่นอะไรน่ะ”
หลินปั้นซย่ามองไปตามสายตาของหลี่ซู ไม่นึกว่าจะเห็นรอยเลือดเป็นทางกองใหญ่อยู่บนพื้น นี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญ ที่สำคัญจริงๆ คือรอยเลือดพวกนี้เป็นรอยใหม่เอี่ยม นั่นเท่ากับว่าก่อนหน้านี้ไม่นานมีคนมาถึงที่นี่ก่อนพวกเขา!!
“จะเป็นคนในทีมของคุณหรือเปล่า หรือจะเป็นพวกซ่งชิงหลัว?” หลินปั้นซย่าตื่นตัวขึ้นมา
“ไปเถอะ เข้าไปดูกัน” หลี่ซูมุ่งหน้าไปตามรอยเลือด
รอยเลือดนี้เป็นทางยาวต่อเนื่องไปข้างหน้า แต่เมื่อไปถึงด้านหน้าสิ่งก่อสร้างแห่งหนึ่งจู่ๆ มันก็หายไป หลินปั้นซย่าก้มลงตรวจสอบพื้นเล็กน้อย เอ่ยอย่างตกใจระคนยินดี “ตรงพื้นนี่เหมือนจะเป็นโพรง…” เขาออกแรงเคาะ “ข้างใต้นี้น่าจะมีเส้นทางลับ”
“ผมจัดการเอง” หลี่ซูกล่าว
ตอนแรกหลินปั้นซย่าคิดว่าเขาจะใช้เทคนิคอะไรในการเปิดกลไกนี้ แต่ใครจะรู้ว่าหลี่ซูจะยกปืนลูกซองของเซอร์เก้ก่อนขึ้นลำกล้อง จากนั้นก็ยิงปังๆ ไปที่พื้นสองนัด พื้นหินถูกพวกเขาเจาะทะลุ เผยให้เห็นอุโมงค์มืดทึบด้านในนั้น
กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นคละคลุ้งทั่วอุโมงค์โชยเข้าจมูกของพวกเขาทันใด หลินปั้นซย่ากำลังจะถามหลี่ซูว่าจะลงไปหรือไม่ จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนตัวลอยหวิว…ไม่นึกว่าพื้นใต้เท้าของพวกเขาจะหายไปด้วย หลี่ซูยิงปืนลงไปที่พื้นทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ขึ้นมาทันที พื้นหินที่พวกเขายืนอยู่แตกละเอียดทั้งหมด
“บัดซบ” ปากร้องอุทาน หลินปั้นซย่ายังไม่ทันไหวตัวก็ร่วงหล่นไป เขารู้สึกเหมือนตัวเองเข้ามายังช่องทางคับแคบยาวเหยียด ร่างกายครูดไปกับผนังตลอดทาง สุดท้ายก็ร่วงลงบนพื้นอย่างแรง กำลังดีใจอยู่ในใจที่มีกระเป๋าเป้ของตนลดแรงกระแทกให้ ก็รู้สึกว่ามีของหนักอย่างหนึ่งกระแทกลงบนท้อง จุกจนเกือบจะขย้อนอาหารออกมา
“อั้ก!” เสียงร้องของเซอร์เก้
“ระ…รีบลงจากตัวผมที ผมจะโดนคุณทับตายอยู่แล้ว…” หลินปั้นซย่าร้องอย่างทรมาน
แม้เซอร์เก้จะไม่รู้ว่าหลินปั้นซย่าร้องบอกว่าอะไร แต่ก็เข้าใจได้จากเสียงร้องแหลมของอีกฝ่ายว่าถูกตนเองหล่นทับไม่ใช่เบาๆ เลย ด้วยเหตุนี้จึงรีบร้อนคลานลุกจากตัวเขาอย่างตระหนกตกใจ
หลินปั้นซย่ากุมท้องอยู่นานกว่าความเจ็บจะทุเลาลง เขาถึงกับเดาว่ากระดูกซี่โครงของตัวเองหักไปแล้ว รอบด้านมืดมิด ในอากาศคลุ้งไปด้วยกลิ่นอับชื้นและกลิ่นคาวเลือดที่ทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง เขายันผนังลุกขึ้นยืนร้องเรียก “หลี่ซู หลี่ซู คุณอยู่ไหน”
หลี่ซูไม่ตอบกลับ
หลินปั้นซย่าได้ยินเสียงติ๋งๆ ดังขึ้นข้างหู แล้วก็มีอะไรหยดใส่หน้าผากและใบหน้าของเขาไม่หยุด พอเขายกมือขึ้นเช็ดก็ได้กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นในมือ หลินปั้นซย่าค่อยๆ แหงนหน้าที่แข็งค้างขึ้น มองไปยังความมืดมิดเหนือศีรษะ
* ทัมเบิลวีด (Tumbleweed) เป็นส่วนโครงสร้างเหนือพื้นดินของพืชพลัดถิ่นหลายชนิด เมื่อโตเต็มที่จนแห้งกรอบแล้วจะแยกออกจากรากหรือลำต้นและม้วนตัวเนื่องจากแรงลม มีลักษณะเป็นพุ่มกลมมีหนาม กลิ้งไปตามลม
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 18 ก.ย. 65