everY
ทดลองอ่าน ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 1 บทที่ 9 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 1
ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่
แปลโดย : qMondae
ผลงานเรื่อง : 骷髅幻戏图 (Ku Lou Huan Xi Tu)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการตาย การฆ่าตัวตาย การฆาตกรรม
มีการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 9
ห้อง 1303 (9)
เช้าวันถัดมา หลินปั้นซย่าตื่นมาก็ไม่เห็นซ่งชิงหลัวแล้ว แต่เห็นจี้เล่อสุ่ยที่เตรียมตัวไปทำงานด้วยความกระปรี้กระเปร่า
จี้เล่อสุ่ยยังคงไม่กล้าเข้าห้องนี้ แม้แต่ประตูก็ยังไม่กล้าเคาะ จึงโทรเรียกหลินปั้นซย่าให้มาเจอกันข้างนอก
ทั้งสองคุยไปพลางเดินออกจากย่านคอนโดฯ ซื้อมื้อเช้าที่ร้านแถวๆ ป้ายรถเมล์มากินอย่างเพลิดเพลิน หลินปั้นซย่าถามจี้เล่อสุ่ยว่าเมื่อคืนเจออะไรหรือเปล่า จี้เล่อสุ่ยส่ายหน้า กล่าวว่าตนนอนหลับสบายดี ไม่เจออะไรเลย หลังเที่ยงคืนสะลึมสะลือตื่นมารอบหนึ่งเพราะรู้สึกเหมือนมีคนกำลังเดินอยู่ในห้องนั่งเล่น แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกกลัวขึ้นมาเลย แล้วก็หลับไปอีกรอบอย่างรวดเร็ว
หลินปั้นซย่าได้ยินดังนั้นก็เบาใจ คิดในใจว่าซ่งชิงหลัวนั่นก็มีความสามารถใช้ได้
แต่จี้เล่อสุ่ยกลับดูเป็นกังวลเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด ปากกัดปาท่องโก๋คำหนึ่ง เอ่ยงึมงำ “หลินเกอ นายว่าในบ้านซ่งชิงหลัวนั่นมันคืออะไรกันแน่ แล้วทำไมฉันถึงเห็นอะไรพิลึกกึกกือในบ้านของพวกเราล่ะ”
หลินปั้นซย่าเอ่ย “ฉันก็ไม่แน่ใจ”
“มาคิดดูดีๆ แล้วก็น่ากลัวนิดหน่อย” จี้เล่อสุ่ยเอ่ยอย่างลังเล “หลินเกอ จบเรื่องนี้แล้ว ยังไงนายย้ายไปพร้อมกับฉันดีกว่า ห้องนี้อยู่ระยะยาวไม่ได้จริงๆ”
“ฉันขอคิดอีกหน่อย”
จี้เล่อสุ่ยเองก็พอรู้เรื่องของหลินปั้นซย่าอยู่บ้าง ดังนั้นเมื่อได้ยินเขาปฏิเสธอย่างนิ่มนวลก็ถอนหายใจหนักๆ หนึ่งที สุดท้ายก็ยอมแพ้ไปไม่โน้มน้าวต่อ
บังเอิญว่ารถเมล์มาถึงพอดี ทั้งสองจึงพากันขึ้นรถ
ปกติเวลาทำงานของหน่วยงานที่หลินปั้นซย่าทำอยู่จะเริ่มงานตั้งแต่สิบโมงเช้าถึงหกโมงเช้าของอีกวัน ทำงานหนึ่งวันหยุดหนึ่งวัน หากในวันนั้นมีงานไม่เยอะก็สามารถกลับก่อนได้
หลินปั้นซย่ามาถึงหน่วยงานและเหลือบไปเห็นหลิวซี ทว่าหลิวซีกลับไม่ได้ทักทายเขาเหมือนอย่างเคย แต่นั่งก้มหน้าเล่นโทรศัพท์อยู่ตรงที่ของตัวเองด้วยสีหน้าย่ำแย่
หลินปั้นซย่าเดินไปข้างๆ ก่อนตบไหล่เขา “วันนี้มาเร็วจัง?”
“เชี่ย!!!” หลินปั้นซย่าทำหลิวซีตกอกตกใจจนแทบจะเด้งออกมาจากเก้าอี้ เขากุมหน้าอก จ้องเขม็งขณะเอ่ย “หลินเกอ อย่าทำให้ตกใจสิ คนน่าตกใจยิ่งกว่าผีอีก”
หลินปั้นซย่าถาม “เป็นอะไร วันนี้ทำไมตกใจง่ายจัง”
หลิวซีกล่าว “นายยังไม่รู้เรื่องใช่มั้ย”
“รู้เรื่องอะไร”
หลิวซีกดเสียงแผ่วต่ำ “หวังจินเฉียวตายแล้ว…”
หลินปั้นซย่าชะงัก จำได้ว่าตนเพิ่งเจอคนคนนี้ไปเมื่อวานซืนนี่เอง ถึงเขาจะอารมณ์ร้อนแต่ก็มีความสามารถในการทำงานที่ดีเยี่ยม ทำไมจู่ๆ ถึงตายอย่างกะทันหันได้ แล้วเขาก็ถามออกไป “ตายยังไง”
หลิวซีเอ่ย “ไม่รู้เลย ตอนนี้ตำรวจกำลังตรวจสอบอยู่ บอกว่าเมื่อคืนตอนกำลังเฝ้าเวรดึกอยู่ จู่ๆ โรคหัวใจก็กำเริบ แล้วก็ตาย…”
หลินปั้นซย่าขมวดคิ้วตลอดการฟัง
“แต่ถ้ามีแค่เรื่องนี้ก็ช่างมันปะไร” หลิวซีเอ่ยเสียงเบา “นายจำวันที่พวกเราไปขนศพกันได้หรือเปล่า”
หลินปั้นซย่าพยักหน้า
หลิวซีเอ่ยต่อ “ฉันได้ยินข่าวลือมาว่า…ศพหายไปแล้ว”
หลินปั้นซย่าพูดอย่างนึกไม่ถึง “หายไป? แต่ว่าเข้าหอฌาปนกิจไปแล้ว จะหายไปได้ยังไง”
หลิวซีตบหน้าตัก “นายไม่อยากจะเชื่อเลยใช่มั้ย ฉันก็รู้สึกว่าน่าตกใจมากเหมือนกัน! แม่มันเถอะ เอาเข้าหอฌาปนกิจไปแล้วแท้ๆ ใครจะเอาศพออกมาแบบไม่มีผีสางเทวดาตนไหนเห็นได้”
“งั้นกล้องวงจรปิดล่ะ หรือว่าไม่ได้แจ้งตำรวจ?” หลินปั้นซย่าถาม
หลิวซีเอ่ย “จะไม่แจ้งตำรวจได้ยังไง! พอเจอคนตายตำรวจก็รีบไปที่นั่นทันที แต่เรื่องที่แปลกสุดๆๆๆ เลยคือพอตำรวจไปถึงแล้ว ก็พบว่ากล้องวงจรปิดทั้งหมดที่มองเห็นสถานที่เกิดเหตุพังหมดเลย…”
หลินปั้นซย่าไม่พูดอะไร เขาคิดว่าเหตุการณ์นี้มันบังเอิญเกินไป แล้วเขาก็นึกถึงเสียงเคลื่อนไหวที่เขากับหลิวซีได้ยินตอนอยู่บนรถขึ้นมาได้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากบอกหลิวซีว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่รู้จะบอกออกไปอย่างไรจริงๆ หรือว่าเขาจะต้องบอกหลิวซีว่าศพที่แหลกละเอียดจนไม่สามารถละเอียดไปได้มากกว่านี้ขยับได้? ต่อให้พูดออกไปก็เกรงว่าจะไม่มีใครเชื่อ
“นายว่าใครที่เบื่อถึงขั้นมาขโมยศพแบบนี้ ตอนนั้นพวกเราก็เห็นไม่ใช่เหรอว่าศพพวกนั้นสภาพเป็นยังไง ขโมยไปแล้วจะได้อะไรล่ะ” หลิวซีลูบขนที่ลุกชันบนแขนตัวเอง ใบหน้าหวาดหวั่นพรั่นพรึง “นายว่าเรื่องนี้มันยังไงกันแน่”
หลินปั้นซย่าส่ายหน้าบอกว่าตนก็ไม่แน่ใจเช่นกัน
หลิวซีถอนหายใจ
ฌาปนสถานที่หวังจินเฉียวอยู่ทำงานใกล้ชิดกับหน่วยงานของพวกเขา หลังจากเกิดเรื่องกับหวังจินเฉียว ตำรวจก็มาเพื่อสืบสวนสถานการณ์และสอบปากคำคนหลายๆ คนที่มีการติดต่อกับหวังจินเฉียว หลินปั้นซย่าเองก็ถูกสอบปากคำด้วย เขาไม่มีอะไรให้ปิดบังจึงบอกเรื่องทุกอย่างไปโดยละเอียด เมื่อตำรวจไม่พบข้อสงสัยอะไรก็ไปถามคนอื่นต่อ
หลินปั้นซย่าอยู่ในห้องแล้วรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย จึงเรียกหลิวซีออกไปสูดอากาศข้างนอกด้วยกัน
หลิวซีติดบุหรี่อย่างหนัก ตอนนี้เขาจุดไปมวนหนึ่งก่อนสูบเข้าปอดอย่างเพลิดเพลิน หลินปั้นซย่าก้มหน้าส่งวีแชตให้จี้เล่อสุ่ย จี้เล่อสุ่ยเองก็ตอบกลับเร็วมาก ดูท่าว่าวันนี้คงไม่ได้เจอปัญหาใหญ่อะไร
หลิวซีที่กำลังสูบบุหรี่พลันเอ่ยขึ้น “เอ๋? นายดูสิ นั่นใครน่ะ”
หลินปั้นซย่าเงยหน้าหันไปยังทิศที่หลิวซีมอง แล้วก็เห็นเงาร่างผอมซูบยืนอยู่ข้างรถตำรวจที่อยู่ไม่ไกล เป็นผู้หญิงที่เหลือตัวคนเดียวหลังจากเกิดอุบัติเหตุในวันนั้นนั่นเอง แต่เวลาเพียงวันเดียวเธอกลับผอมจนไม่เหลือเค้าเดิม ใบหน้าซูบตอบ ใต้ตาเขียวคล้ำ ตอนนี้เธอกำลังหันมองมาทางนี้ แม้จะอยู่ห่างกันมาก แต่แววตาเย็นเยียบอึมครึมของเธอก็ยังคงทำให้คนเห็นรู้สึกไม่สบายใจ
สายตาของหลิวซีสบกับเธอครู่หนึ่ง จากนั้นก็ย้ายสายตาหนีด้วยความรวดเร็วอย่างทำตัวไม่ถูก เขาก้มหน้า รู้สึกชาวาบที่หนังศีรษะเล็กน้อย “หลินเกอ คนคนนี้น่ากลัวชะมัดเลย”
ทว่าหลินปั้นซย่าที่อยู่ข้างๆ กลับไม่สนใจเขา
“หลินเกอ?” หลิวซีใช้หางตาเหล่มองหลินปั้นซย่าอย่างสงสัย และพบว่าอีกฝ่ายกำลังขมวดคิ้วแน่น จ้องผู้หญิงคนนั้นอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ แววตาประหลาดอย่างมากราวกับค้นพบอะไรบางอย่างก็มิปาน
“หลินเกอ?” หลิวซีเรียกอีกครั้ง
คราวนี้หลินปั้นซย่าถึงรู้สึกตัว ถามว่าทำไมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“นายเห็นอะไร” หลิวซีถาม
หลินปั้นซย่าบอกว่า “ไม่มีอะไร” เอ่ยจบก็บอกว่าจะกลับเข้าไปแล้ว จากนั้นหันตัวกลับเข้าห้องไป แน่นอนว่าเขาเห็นบางสิ่ง ตอนนี้สิ่งที่ตามผู้หญิงคนนั้นราวกับเงามาตลอดไม่ได้ตามติดหลังหญิงสาวอีกแล้ว…ครั้งนี้เธอเกาะหลังของผู้หญิงคนนั้นด้วยท่าทางบิดเบี้ยว หัวของเธอซบอยู่กับไหล่ของหญิงสาว เส้นผมสีดำประสานอยู่กับเส้นผมของหญิงสาว มองเผินๆ แล้วราวกับเป็นคนที่มีสองหัวอย่างไรอย่างนั้น
ตอนที่หลินปั้นซย่ามองเธอ หญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นทอดสายตามาทางเขา แววตานั้นมืดมนไร้ชีวิตชีวาแต่กลับดูบ้าคลั่ง ทำให้คนเห็นรู้สึกไม่สบายใจยิ่ง
หลังหลินปั้นซย่าไป หลิวซีก็กลับเข้าห้องตามเขาไปเช่นกัน หญิงสาวยืนอยู่ที่เดิม จ้องมองตรงที่หลิวซีและหลินปั้นซย่าหายไปอยู่นานสองนาน
เมื่อหลินปั้นซย่าเข้าห้องมาแล้ว จึงถือโอกาสถามตำรวจซึ่งทำหน้าที่จดบันทึกอยู่ว่าทำไมญาติผู้เสียชีวิตถึงอยู่ข้างนอก ตำรวจตอบโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองว่าทางสถานีตำรวจไม่ได้เรียกมา หลังจากเธอได้ยินว่าศพคนในครอบครัวหายไป ก็ยืนกรานจะมาดูสถานการณ์ที่ฌาปนสถานกับหน่วยงานของพวกหลินปั้นซย่า ถึงอย่างไรก็ไม่ผิดกฎหมาย ตำรวจเองก็ทำอะไรไม่ได้
ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ หลินปั้นซย่าคิด ถ้าเป็นเขาพอรู้ว่าศพคนในครอบครัวหายไป ก็ต้องตามหาทั่วทุกสารทิศเช่นกัน
แต่หลิวซีกลับกระสับกระส่ายนั่งไม่ติด หลังจากเข้าห้องมาเขาก็ค่อนข้างร้อนใจ เดี๋ยวก็ขยับเข้าใกล้หน้าต่างแล้วเหลือบมองด้านนอกบ่อยๆ ปากเอ่ยพึมพำว่า “ทำไมถึงยังไม่ไปอีกนะ”
หลินปั้นซย่าถาม “นายดูอะไรน่ะ”
“ทำไมเธอยังไม่ไปอีกล่ะ” หลิวซีลูบแขน รู้สึกกังวลเล็กน้อย “ฉันเหลือบไปเห็นเธอทีไรก็ไม่สบายใจทุกที หลินเกอ นายรู้สึกแบบนี้บ้างหรือเปล่า”
หลินปั้นซย่าเอ่ย “นิดหน่อยล่ะมั้ง”
“นิดหน่อยตรงไหน…” หลิวซียืนอยู่ตรงหน้าต่าง จุดบุหรี่อีกมวนพลางบ่นพึมพำ “เธอมาทำไมเนี่ย ศพไม่ได้มาหายที่หน่วยของพวกเราสักหน่อย”
หลินปั้นซย่าตบบ่าปลอบเขา
วันนี้ทั้งวันไม่มีงานอะไรให้ทำเลย จนกระทั่งตอนพลบค่ำถึงเพิ่งจะได้รับสายหนึ่ง บอกว่ามีคนกระโดดตึก ให้พวกเขาส่งคนไปสะสางสถานที่เกิดเหตุสองคน
เพื่อนร่วมงานที่เข้ากะเดียวกับหลินปั้นซย่าสองคนไปที่นั่นแล้ว ในออฟฟิศจึงเหลือเพียงหลินปั้นซย่าและหลิวซี
หลิวซีพิงเก้าอี้ เลื่อนดูคลิปในโทรศัพท์ หลินปั้นซย่าว่างไม่มีอะไรทำ ได้แต่นั่งสัปหงกพิงเก้าอี้
ภายในห้องเงียบสงบมากไม่มีเสียงอะไรเลย หลินปั้นซย่ากำลังหลับสนิท หลิวซีที่นั่งข้างๆ พลันตัวสั่นอย่างแรง ถัดมาก็กรีดร้อง โยนโทรศัพท์ในมือออกไปทันที!
โทรศัพท์เครื่องนั้นถูกโยนมาตกบนโต๊ะตรงหน้าหลินปั้นซย่าพอดี เสียงดังจนเขาตื่นขึ้นมาทันใด เขาขยี้ดวงตางัวเงีย เอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “หลิวซี? นายเป็นอะไรไป” โทรศัพท์เครื่องนี้เป็นเครื่องที่หลิวซีซื้อมาใหม่ ปกติใช้งานอย่างทะนุถนอม ทั้งใส่เคสโทรศัพท์ทั้งติดฟิล์มกระจก วันนี้ทำไมถึงคิดจะโยนก็โยนทิ้งเสียล่ะ
หลินปั้นซย่าหยิบโทรศัพท์เพื่อส่งคืนหลิวซี แต่ทันทีที่เขายื่นไปให้ หลิวซีก็ทำท่าอย่างกับเจอผี สะดุ้งตัวโยนร้องว่า “ไม่ต้องๆๆ!!! ไม่ต้องเอาให้ฉันดู!!”
“อะไร”
หลิวซีเอ่ย “นายดูสิ นายดูหน้าจอโทรศัพท์สิ! หน้าจอโทรศัพท์!!!”
หลินปั้นซย่าพลิกโทรศัพท์ขึ้นดูอย่างงุนงง แล้วเห็นว่าบนหน้าจอโทรศัพท์หยุดค้างอยู่ที่คลิปวิดีโอหนึ่ง ความละเอียดคลิปสูงมาก เพียงปราดเดียวก็มองออกว่าเป็นภายในห้อง ดูไม่มีเนื้อหาอะไรน่ากลัว เมื่อเขากดเล่นคลิปดูอย่างละเอียดแล้ว สามวินาทีให้หลัง หลินปั้นซย่าก็เข้าใจแล้วว่าที่หลิวซีกลัวมีที่มาจากอะไร
วิดีโอนี้ถูกถ่ายจากกล้องในฌาปนสถาน
ในวิดีโอ คนคนหนึ่งนั่งพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้ แม้จะมองไม่ชัดเล็กน้อย แต่ดูจากการแต่งตัวแล้ว หลินปั้นซย่าก็ยังพอมองออก…นั่นคือหวังจินเฉียวที่เสียชีวิตกะทันหันในฌาปนสถานเมื่อคืนนี้
หลินปั้นซย่าชะงักเล็กน้อย “นี่คลิปจากกล้องที่หอฌาปนกิจไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงมาอยู่ในโทรศัพท์นายได้”
“ฉะ…ฉันไม่รู้” หลิวซีเอ่ยเสียงสั่นเครือ “ได้ยินว่ากล้องวงจรปิดของพวกเขาพังหมด แล้วคลิปนี้มาอยู่ในโทรศัพท์ฉันได้ยังไง”
หลินปั้นซย่าเอ่ยอย่างครุ่นคิด “แจ้งตำรวจมั้ย”
“แจ้งตำรวจ? แต่แจ้งตำรวจแล้วฉันก็อธิบายไม่ได้นี่ เขาจะจับฉันเข้าคุกหรือเปล่า”
ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังถกกันอยู่นี้เอง หวังจินเฉียวในคลิปกลับเหมือนถูกบางสิ่งดึงดูด เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้มองไปรอบๆ
หลิวซีเอ่ยเสียงสั่น “เขา…ได้ยินเสียงอะไร”
หลินปั้นซย่าไม่ส่งเสียง ทั้งสองจ้องหน้าจอโทรศัพท์ ติดตามดูเหตุการณ์ต่อไปอย่างเงียบเชียบ
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 1
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub
และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN