Additional Heritage มรดกลวงรัก
ทดลองอ่าน Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 1 บทที่ 7-8 #นิยายวาย
บทที่ 8
ตอนกลางคืนก่อนนอน ลั่วอี้ก็ส่งข้อความมาหาเวินเสี่ยวฮุย
ลั่วอี้ พี่เสี่ยวฮุย พี่กำลังทำอะไรน่ะ
เวินเสี่ยวฮุย กำลังจะนอน จะทำอะไรได้อีกเล่า
ลั่วอี้ ได้ถีบขาแล้วยัง? ผมหาท่าออกกำลังกายในอินเตอร์เน็ตให้พี่ได้แล้ว ถ้าพี่ไม่มีเวลาไปฟิตเนสก็ฝึกจากคลิปนี้ได้
เวินเสี่ยวฮุยอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ เด็กคนนี้ทั้งฉลาด ทั้งมีมารยาท ทั้งเอาใจใส่ นอกจากทำทุกอย่างเป็นแล้วยังไม่เย่อหยิ่งแม้แต่น้อย ไม่สามารถหาข้อตำหนิในตัวของเด็กหนุ่มได้เลย ความกังวลต่างๆ นานาของเขาในตอนแรกหายวับไปแล้วหลังจากอยู่กับลั่วอี้มาหนึ่งคืน เขารู้สึกแม้กระทั่งว่ายินดีมากด้วยซ้ำที่ได้รู้จักกับลั่วอี้ เขากดหมายเลขแล้วโทรออก
เสียงอันไพเราะสดใสของลั่วอี้ดังมาจากปลายสาย “มีอะไรเหรอ”
“นี่ ฉันจะบอกข่าวดีให้นายฟัง”
“ข่าวดีอะไร”
“แม่ฉันเห็นด้วยแล้ว”
“ว้าว” น้ำเสียงของลั่วอี้ฟังดูมีความสุขมาก “เยี่ยมไปเลย! แล้วเมื่อไรพี่จะย้ายเข้ามา”
“ไม่ได้ย้ายออก ฉันก็บอกแล้วว่าย้ายไม่ได้นี่นา คืออย่างนี้ สัปดาห์หนึ่งฉันจะเข้ากะดึกสามครั้ง เลิกงานกะดึกก็สามทุ่มครึ่งสี่ทุ่มแล้ว กว่าจะกลับห้องก็เหนื่อยแทบตาย ฉันบอกแม่ฉันว่ามีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งอยากให้ฉันไปอยู่เป็นเพื่อน ฉะนั้นเวลาที่ฉันเข้ากะดึกจะไม่กลับห้อง แม่ฉันก็โอเคแล้ว”
“แบบนั้นก็ดีครับ คุณนายเฝิงจะได้ไม่เป็นห่วงพี่มากเกินไป”
“นั่นสิ ไม่งั้นฉันก็ไม่วางใจแม่ฉันเหมือนกัน” เวินเสี่ยวฮุยพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง “งั้นนายเซฟคลิปไว้ให้ฉันก็แล้วกัน พรุ่งนี้ฉันจะไปลองทำ”
“ไม่มีปัญหา”
“จริงสิ ยังมีข่าวดีอีกข่าวที่จะบอกนาย”
“อืม ผมฟังอยู่”
“เจ้านายพวกเราจะพาฉันไปงานเลี้ยงการกุศลแห่งหนึ่ง มีดาราเยอะเลยล่ะ เขาเพิ่งจะพาฉันไปเป็นครั้งแรกเพราะผู้ช่วยของเขาไปต่างประเทศ ไม่อย่างนั้นโอกาสนี้ก็ไม่ตกมาถึงฉันหรอก ฉันตื่นเต้นจนแทบจะนอนไม่หลับอยู่แล้ว!”
ลั่วอี้ยิ้มแล้วเอ่ย “พี่เสี่ยวฮุย พี่เจ๋งมาก”
“ก็ไม่ได้เก่งอะไรหรอก แค่โชคดีเอง” แม้คำพูดจะดูถ่อมตน แต่น้ำเสียงของเวินเสี่ยวฮุยเจือไปด้วยความภาคภูมิใจอยู่มาก
“ ‘โอกาสมีไว้สำหรับคนที่พร้อมเท่านั้น’ เพราะพี่เตรียมตัวไว้มากพอก็เลยไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดไป”
“เจ้าเด็กนี่เข้าใจพูดจริงๆ” เวินเสี่ยวฮุยอดที่จะมีความสุขไม่ได้
“พรุ่งนี้พี่มานี่นะ ผมจะทำของอร่อยๆ ให้กิน พวกเราต้องฉลองกันหน่อย”
“ได้เลย” นัยน์ตาของเวินเสี่ยวฮุยเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เขาอดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ “แปลกจังเลย ถึงจะเจอหน้านายแค่ครั้งเดียว แต่ก็เหมือนรู้จักกันมานาน ฉันไม่เคยเป็นแบบนี้กับใครมาก่อนเลย”
“อาจจะเป็นเพราะในร่างกายของผมมีเลือดที่พี่คุ้นเคยดีไหลเวียนอยู่ล่ะมั้ง”
ใบหน้าของลั่วอี้กับลั่วหย่าหย่าผุดขึ้นมาในสมองของเวินเสี่ยวฮุย หัวใจของเขาแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น
“ต้องใช่แน่ๆ”
คืนวันต่อมาหลังจากเวินเสี่ยวฮุยเลิกกะดึกก็บึ่งไปที่คฤหาสน์ของลั่วอี้ทันที
แม้ตอนนี้จะเป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว แต่ไฟในคฤหาสน์ยังคงสว่างอยู่ ทันทีที่เขาเข้าไปก็เห็นจานอาหารและของว่างอันประณีตวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ
เวินเสี่ยวฮุยส่งเสียงร้องว้าว “นายทำอาหารเยอะมากจริงๆ ด้วย!”
ลั่วอี้พูด “ก็พี่บอกว่าตอนกลางคืนไม่ค่อยได้กินนี่ มีลูกค้าตลอด แม้แต่ข้าวกล่องก็ยังไม่ได้กิน”
เวินเสี่ยวฮุยซาบซึ้งเป็นที่สุด เพราะแม่ของเขาไม่เคยใส่ใจเขาขนาดนี้ เขาอดที่จะหยิกแก้มของลั่วอี้ไม่ได้
“เจ้าเด็กคนนี้นี่ ใครแต่งงานกับนายจะต้องสบายไปแปดชาติแน่ๆ”
ลั่วอี้หัวเราะ “รีบกินข้าวเถอะ”
เวินเสี่ยวฮุยกระโดดไปที่หน้าโต๊ะแล้วกินคำใหญ่อย่างไม่เกรงใจ เขากินไปพลางพูดไปพลาง
“คราวหน้าไม่ต้องทำเยอะแบบนี้หรอก กินตอนกลางคืนอ้วนง่ายจะตาย ฉันต้องรักษารอบเอวให้ไม่เกินเจ็ดสิบเซนติเมตร”
“ถ้างั้นตอนเช้าพี่ตื่นมาวิ่งกับผมเถอะ”
เวินเสี่ยวฮุยส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่ไหวหรอก ฉันตื่นไม่ไหว”
ลั่วอี้หรี่ตาเล็กน้อยพร้อมกับยิ้ม “ถ้าผมอุ้มพี่ออกไป? พี่ก็จะตื่นทันที”
เวินเสี่ยวฮุยสั่นสะท้าน รู้สึกเหมือนถูกไฟช็อต เขารวบรวมสติก่อนพูดคำว่า “ชิ” ออกมา “ยังไงก็ไม่ไป แผนในแต่ละวันก็คือนอนต่ออีกสิบนาที”
ลั่วอี้ยิ้มพลางส่ายหน้า
หลังกินข้าวเสร็จเวินเสี่ยวฮุยก็เอนหลังลูบท้องอยู่บนโซฟาพลางดูรายการวาไรตี้ เขาหัวเราะเสียงดังด้วยความขบขัน ลั่วอี้ยังไม่ลืมคั้นน้ำผลไม้ให้เขาในระหว่างที่เก็บชามและตะเกียบ เวินเสี่ยวฮุยมีความสุขมากที่ถูกปรนนิบัติ ถ้าเขากินอิ่มแล้วนอนเหมือนคนพิการที่ห้อง มีหวังแม่ต้องตบเขาด้วยรองเท้าอย่างแน่นอน
ขณะที่กำลังดูโทรทัศน์อย่างมีความสุขอยู่นั้นจู่ๆ ลั่วอี้ก็นั่งลงหน้าโต๊ะกลาง และด้วยร่างกายที่สูงเกือบหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรจึงบดบังหน้าจอโทรทัศน์อย่างสมบูรณ์
“โอ๊ย นายอย่าบังฉันสิ”
ลั่วอี้หยิบกล่องของขวัญกล่องหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเป้ “พี่เสี่ยวฮุย ของขวัญสำหรับพี่”
เวินเสี่ยวฮุยดวงตาเป็นประกาย เด้งตัวขึ้นนั่งบนโซฟา “ว้าว ทำไมนายต้องให้ของขวัญฉันด้วย”
“ฉลองที่การงานของพี่ก้าวหน้า แล้วก็เป็นที่ระลึกที่พวกเรารู้จักกัน”
เวินเสี่ยวฮุยลูบมือด้วยความเขินอาย “ฉันไม่ได้เตรียมอะไรให้นายเลย…”
ลั่วอี้ยื่นกล่องของขวัญมาให้ถึงมือของเขา ดวงตาที่งดงามล้ำลึกจ้องมาที่เขาไม่กะพริบ การแสดงออกนั้นดูจริงใจเป็นอย่างยิ่ง
“พี่มาอยู่ข้างกายผมก็เป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่ผมได้รับในชีวิตแล้ว”
เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกว่าคลื่นความร้อนพุ่งตรงไปที่กลางกะโหลกของเขา แก้มพลันร้อนผ่าวอย่างรุนแรง เขาไม่เคยคิดไม่เคยฝันเลยว่าตัวเองจะต้องมาหน้าแดงเพราะเด็กหนุ่มวัยสิบห้าคนหนึ่ง เขารีบรับกล่องของขวัญไว้
“อา นายใส่ใจเกินไปแล้ว ขอบคุณนะ! มะ…มันคืออะไรเหรอ”
“พี่ลองเปิดดูสิ”
เวินเสี่ยวฮุยดึงแถบริบบิ้นออก เปิดกล่องของขวัญ เสื้อเชิ้ตหนังสีดำสนิทยี่ห้อ Armani นอนแน่นิ่งอยู่ข้างในนั้น วัสดุค่อนข้างราบเรียบ สิ่งที่เคลือบหนังบางเฉียบนั้นยอดเยี่ยมจนสามารถมองเห็นลายหนังวัวได้เลือนราง กระดุมมุกสีดำเปล่งประกายแวววาวจางๆ อย่างงดงาม เส้นตะเข็บไร้ที่ติในทุกๆ ฝีเย็บได้เย็บเอาความหรูหราเรียบง่ายเข้าไปในเนื้อผ้า เวินเสี่ยวฮุยอ้าปากเล็กน้อย หลังจากตกตะลึงครู่หนึ่งก็ตะโกนเสียงดัง
“ให้ตายเถอะ สวยสุดๆ!” เขายกเสื้อขึ้นถูๆ กับใบหน้า พยายามรู้สึกถึงเนื้อสัมผัสของวัสดุหนังนุ่มอย่างระมัดระวัง “โห สบายมาก สวยมาก”
ลั่วอี้ยิ้มพลางเอ่ย “พี่ชอบก็ดีแล้ว”
เวินเสี่ยวฮุยมองดูลั่วอี้ด้วยดวงตาเป็นประกาย “ทำไมนายถึงได้เลือกของเก่งขนาดนี้ เสื้อตัวนี้สวยเป็นบ้า ต้องแพงมากเลยสินะ”
“ไม่เท่าไร พี่ไปร่วมงานเลี้ยงกลางคืนครั้งแรก สวมตัวนี้น่าจะเหมาะกับพี่มาก”
เวินเสี่ยวฮุยเป่าจูบส่งให้เขา “ลั่วอี้ฉันรักนายจังเลย! ฉันจะไปลองเดี๋ยวนี้!” เวินเสี่ยวฮุยถอดเสื้อยืดออกด้วยความตื่นเต้นแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าตรงนั้น
เวินเสี่ยวฮุยค่อนข้างผอม ผิวขาวละเอียดราวกับผ้าไร้ที่ติ มีเสน่ห์ยิ่งกว่าวัสดุผ้าราคาแพงใดๆ
ลั่วอี้มองดูเขาเปลี่ยนเสื้อทั้งอย่างนี้ เสื้อเชิ้ตหนังสีดำขับให้ผิวของเขายิ่งขาวกว่าเดิม
เวินเสี่ยวฮุยกระโดดลงจากโซฟามาถึงหน้ากระจกบานใหญ่ตรงระเบียง มันดูดีจนต้องมองซ้ายแลขวา
“ให้ตายเถอะ หล่อชะมัด ทำไมฉันถึงได้หน้าตาดีแบบนี้! มีแค่ยีนตัวนี้ที่ไม่เหมาะ”
“ขนาดของยีนกะยาก ผมก็เลยไม่ได้ซื้อ”
เวินเสี่ยวฮุยรีบพูด “อา ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ตอนแรกฉันก็คิดว่าจะไปซื้อเสื้อพรุ่งนี้ เจ้านายอยากให้ฉันใส่เสื้อดีๆ หน่อยแต่ดันไม่ให้เบิกเงิน ฮึ”
ลั่วอี้ยิ้มแล้วเอ่ย “ผมจะทำเรื่องเบิกให้พี่เอง”
“แบบนั้นไม่ได้หรอก จะใช้เงินสุ่มสี่สุ่มห้าได้ยังไง” แม้จะบอกว่าตัวเขาสามารถจัดการเงินค่าใช้จ่ายของลั่วอี้ได้ แต่เขาก็ไม่อาจนำเงินส่วนนั้นมาใช้จ่ายกับตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการซื้อของฟุ่มเฟือยอะไรเทือกนั้น ไม่ว่าเขาจะหน้าหนาสักแค่ไหนก็ทำไม่ลง
“ที่บ้านผมมีสูทที่ผมใส่เมื่อปีที่แล้ว พี่อยากลองหรือเปล่า ความสูงปีที่แล้วของผมไม่ต่างจากพี่มาก”
“เอาสิ ถ้าใส่ได้พอดีจะได้ประหยัดเงินด้วย”
ตู้เสื้อผ้าของลั่วอี้เรียบง่ายมากซึ่งต่างจากของสะสมที่มีอยู่เต็มห้องของเขา เสื้อผ้าถูกแยกประเภทตามฤดูกาล โอกาส และสีอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย จำนวนไม่นับว่าเยอะมากทว่ามีแต่ของดี
ลั่วอี้หยิบกางเกงสองตัวออกมายื่นให้เวินเสี่ยวฮุย “พี่ลองใส่ดู”
เวินเสี่ยวฮุยเปลี่ยนมันอย่างสบายๆ ทันที ลั่วอี้หันหลังกลับเพื่อจัดตู้เสื้อผ้าโดยไม่มองอีกฝ่าย
“แหะๆ พอดีเลย” เวินเสี่ยวฮุยจัดๆ เสื้อผ้าหน้ากระจก ยิ่งมองก็ยิ่งพึงพอใจ “ถึงตอนนั้นฉันจะต้องถ่ายรูปโพสต์ลงเวยป๋อ ให้ Luca อกแตกตาย”
ลั่วอี้พูด “เพื่อนร่วมงานของพี่คนนั้นยังทำให้พี่ลำบากใจอยู่อีกเหรอ”
“หน้าเหม็นยังกับตูดทุกวัน ฉันไปงานเลี้ยงการกุศลครั้งนี้ยังบอกเขาไม่ได้เลย ไม่อย่างนั้นหลายวันนี้เขาไม่ยอมหยุดแน่”
ลั่วอี้หัวเราะ “วางใจเถอะ เขาจะไม่กวนใจพี่อีกนานเลย”
“นายรู้ได้ยังไง”
“ไว้พี่ยืนสูงกว่าเขาแล้ว เขาก็ทำได้แค่แหงนหน้ามองพี่”
เวินเสี่ยวฮุยอดที่จะหัวเราะไม่ได้ “นายอายุแค่นี้แต่พูดจายังกับไลฟ์โค้ช อัจฉริยะเป็นเหมือนนายทุกคนหรือเปล่านะ”
ลั่วอี้ยิ้มโดยที่ไม่ได้พูดอะไร
สองมือของเวินเสี่ยวฮุยล้วงกระเป๋า ยังคงชื่นชมรูปร่างที่สูงสง่าและหล่อเหลาของตัวเอง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่านิ้วสัมผัสโดนบางอย่างเข้า จึงหยิบมันออกมาตามจิตใต้สำนึก “เอ๊ะ ในกระเป๋าของนายมีอะไรบางอย่าง” เมื่อเขาหยิบออกมาดู มันคือกระดาษแผ่นเล็กที่ถูกพับเอาไว้
สีหน้าของลั่วอี้มืดมนเล็กน้อย เขายื่นมือออกมาแล้วพูดเสียงเบา “ส่งมาให้ผม”
เวินเสี่ยวฮุยตกตะลึง เดิมทีเขาไม่คิดที่จะเปิดอ่าน ทว่าการแสดงออกของลั่วอี้และน้ำเสียงที่แม้จะนุ่มนวลแต่ก็จริงจังนั้นทำให้เขาค่อนข้างตื่นตระหนก เขารีบยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้
ลั่วอี้คลี่กระดาษและกวาดตาอ่านอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ทิ้งลงถังขยะ พูดอย่างสบายๆ ว่า “ไม่รู้ว่าใครฝากเบอร์โทรไว้ให้ผม แล้วก็ไม่รู้ว่ายัดเข้าไปตั้งแต่เมื่อไร”
เวินเสี่ยวฮุยแซว “ต้องเป็นเด็กผู้หญิงที่แอบชอบนายแล้วทิ้งไว้ให้แน่ๆ นายไม่ลองโทรกลับไปดูล่ะ”
“ไม่ล่ะ ไม่จำเป็น พี่เสี่ยวฮุย พี่ยังอยากลองกางเกงตัวอื่นอีกหรือเปล่า”
“ไม่ต้องแล้ว ตัวนี้ใช้ได้เลย”
“ตอนนี้ก็ดึกแล้วพี่รีบไปอาบน้ำเถอะ นอนเร็วหน่อย พรุ่งนี้กะเช้าสินะ”
“ใช่แล้ว งั้นฉันไปอาบน้ำนะ” เวินเสี่ยวฮุยจัดเรียงเสื้อผ้าสองสามตัวกับข้าวของเครื่องใช้ประจำวันที่เขานำมาเรียบร้อยแล้วก็เข้าไปอาบน้ำ
หลังจากที่เขาออกมาลั่วอี้ก็อาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วและกำลังนอนอ่านหนังสืออยู่ที่เตียง ขณะที่เวินเสี่ยวฮุยเดินผ่านถังขยะเขาก็เหลือบมองมันโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ แผ่นกระดาษที่เห็นได้ชัดว่าถูกทิ้งไว้ด้านบนสุดได้หายไปแล้ว เวินเสี่ยวฮุยคิดในใจ มันยังคงติดอยู่ในใจของลั่วอี้สินะ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะโทรกลับไปจริงๆ แล้วก็ได้ แต่ว่าส่วนลึกในใจของเขายังคงรู้สึกแปลกประหลาดโดยที่เขาก็อธิบายไม่ถูก
ลั่วอี้วางหนังสือลง เผยรอยยิ้มงดงามให้เขา “มาออกกำลังกายเถอะ”
เวินเสี่ยวฮุยกรองข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องออกอย่างรวดเร็ว เขากระโดดขึ้นเตียง “รีบเปิดคลิปเตะขาให้ฉันดูหน่อย”
ลั่วอี้เปิด iPad เพื่อเอาคลิปให้เวินเสี่ยวฮุยดู การสอนในคลิปนั้นบอกว่าทั้งต้องกระดกปลายเท้าทั้งต้องยืดนิ้วเท้า อีกทั้งยังต้องหายใจอย่างสอดคล้องกัน ทำให้เขารู้สึกเวียนศีรษะ
ลั่วอี้วาง iPad ลง “ผมดูหลายรอบมาก ให้ผมสอนพี่เถอะ”
“อ่อ”
ลั่วอี้ยื่นแขนออกมาจับปลายเท้าบอบบางของเวินเสี่ยวฮุย “ตอนหายใจเข้าให้ยกเท้าขึ้น…”
เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกประหม่าเล็กน้อยโดยไม่มีเหตุผล
“พี่อย่ากลั้นหายใจสิ หายใจเข้า”
“อ่อๆ”
“ตอนยกเท้า…” นิ้วเรียวยาวของลั่วอี้เลื่อนจากข้อเท้าไปที่ฝ่าเท้าของเวินเสี่ยวฮุยแล้วดึงปลายเท้าของเขากลับเบาๆ “ต้องออกแรงกระดกนิ้วเท้าขึ้นแบบนี้ พอขาเหยียดตรงสุดๆ แล้วค่อยเหยียดปลายเท้าให้ตรงอีกที” พูดพลางก็ยืดนิ้วเท้าของเวินเสี่ยวฮุยอีกครั้งและดึงนิ้วหัวแม่เท้าของเขาขึ้น “ตอนนี้หายใจออก…”
เวินเสี่ยวฮุยทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เขาหดขากลับทันที มือทั้งสองกำเท้าแน่นโดยไม่รู้ตัว หัวใจเต้นรัวเหมือนตีกลอง
ลั่วอี้กะพริบตา พูดด้วยความสงสัย “พี่เป็นอะไรไป”
“เอ่อ…ตอนยืด…เจ็บนิดหน่อย”
“ท่านี้ไม่ยาก ทำหลายครั้งหน่อยก็โอเคแล้ว”
“ฉันจำได้แล้ว ฉันทำเองก็ได้”
ลั่วอี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไร “พี่จำได้จริงเหรอ”
เวินเสี่ยวฮุยรีบพูด “จำได้แล้ว ง่ายๆ ไม่ใช่เหรอ นายไม่ต้องสนใจฉันหรอก นอนก่อนเลย ฉันทำเสร็จก็จะไปนอนเหมือนกัน”
ลั่วอี้พูดคำว่า “อ่อ” คำหนึ่ง “ไม่เป็นไร ก็แค่แป๊บเดียว พี่ออกกำลังกายไปเถอะ ผมจะช่วยแก้ท่าให้พี่เอง”
เวินเสี่ยวฮุยหายใจเข้าลึกๆ หลายครั้ง นึกถึงท่าออกกำลังกายในคลิปซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วเริ่มเตะขาด้วยเกรงว่าจะทำผิดขั้นตอน
“พี่เสี่ยวฮุย พี่อย่ากลั้นหายใจสิ ตอนลดขาลงต้องหายใจออก” ลั่วอี้พูดพลางคิดที่จะเอื้อมมือไปจับน่องของเวินเสี่ยวฮุย
เวินเสี่ยวฮุยตะโกนเสียงดัง “ฉันรู้แล้ว!”
ลั่วอี้ตกตะลึง หลุดหัวเราะออกมา “พี่รู้อะไร”
“ฉันเข้าใจแล้ว ฉันรู้แล้วว่าต้องทำยังไง”
“อ่อ งั้นก็ดี พี่ทำต่อสิ”
เวินเสี่ยวฮุยพยายามทำท่าให้ได้มาตรฐานมากที่สุดในชีวิตเท่าที่จะสามารถทำได้ และทำครบสามเซ็ตอย่างเคร่งครัด
ลั่วอี้ชม “ไม่เลว ทำได้เป๊ะมาก พรุ่งนี้ผมจะซื้อเสื่อโยคะให้พี่ ทำบนเตียงไม่ดีกับเอว”
“อ๋า ขอบคุณนะ” เวินเสี่ยวฮุยหดตัวเข้าไปในผ้าห่ม อ้าปากหาวกว้าง “นอนเถอะๆ ง่วงจริงๆ”
ลั่วอี้ปิดไฟแล้วสอดตัวเข้าไปในผ้าห่มเช่นเดียวกัน เขาพูดเสียงเบา “ราตรีสวัสดิ์”
“ราตรีสวัสดิ์”
เตียงขนาดหกฟุตนั้นกว้างมาก ทั้งสองคนมีผ้าห่มเป็นของตัวเอง ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถแตะต้องกันและกันได้ แม้เวินเสี่ยวฮุยจะนอนหันหลังให้ลั่วอี้ แต่ก็ยังคงมีความรู้สึกว่าลั่วอี้อยู่ในระยะประชิดที่ด้านหลังของเขา เมื่อมีอีกคนอยู่ข้างกาย ต่อให้ไม่ได้สัมผัสก็ยังสามารถรับรู้ถึงการมีอยู่และไออุ่นของอีกฝ่ายได้รางๆ ความรู้สึกนี้แตกต่างจากเวลานอนคนเดียวโดยสิ้นเชิง
เวินเสี่ยวฮุยยื่นมือออกมาลูบคลำใบหน้าของตัวเองเงียบๆ มันยังคงร้อนผ่าว
เขาแอบด่าตัวเองในใจ ไม่แปลกใจเลยที่ Luca มักจะพูดติดตลกว่าเขาเป็นหนุ่มน้อยพรหมจารีที่หิวโหยตลอดเวลา ดูเหมือนว่าเขาจะหายใจไม่ออกจริงๆ การที่เขาหน้าแดงและหัวใจเต้นแรงเพราะเด็กหนุ่มคนหนึ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่านับเป็นเรื่องที่น่าอายเกินไปแล้ว เขาจะต้องหาแฟนและมีความรักอย่างจริงจัง ถ้าไฟแห่งความชั่วร้ายนี้ยังไม่ถูกระบายออกไป เขาก็คงจะหายใจไม่ออกจนล้มป่วยไม่ช้าก็เร็ว
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 13 มี.ค. 66