everY
ทดลองอ่าน รัชทายาทบัญชา เล่มที่ 1 บทที่ 10 #นิยายวาย
เจียงเต๋อชิงนึกเสียใจว่าพูดผิดไป จึงยิ้มน้อยๆ และเอ่ย “ดูพระองค์ตรัสเข้า…หากทุกคนมีนิสัยอดทนกล้าแข็งเช่นพระองค์แล้วจะแบ่งแยกระดับชั้นที่แตกต่างกันได้อย่างไร เอาเถิด องค์รัชทายาทสบายใจเป็นพอ เช่นนั้น…พรุ่งนี้กระหม่อมจะไปพูดกับซื่อจื่อที่จวนหลิ่งหนานอ๋อง”
ฉีเซียวยิ้มเรียบๆ “ไม่จำเป็น ข้าพูดกับเขาเอง”
“เช่น…” เจียงเต๋อชิงนิ่งไป “เช่นนั้นจะมีข้ารับใช้ไปทำอันใด ซื่อจื่ออุปนิสัยหยิ่งทะนง เมื่อได้ยินสิ่งนี้เกรงว่าคงไม่มีคำพูดดีๆ แน่ ให้กระหม่อมไปเถิด ค่อยๆ อธิบายเหตุผลกับซื่อจื่อให้กระจ่างชัด ครั้นซื่อจื่อตระหนักได้ก็จะมาเองเป็นแน่ ไยพระองค์ต้องออกหน้าทำตัวเป็นคนเลวร้ายด้วยพ่ะย่ะค่ะ ”
ฉีเซียวพับหนังสือ ยิ้มเยาะหยัน “ให้เจ้าพูดข้าก็ไม่เป็นคนเลวร้ายแล้วกระนั้นรึ ไฉนต้องเสแสร้งแกล้งทำเหมือนเฉินเฉาเกอนั่น น่าสนุกอันใด”
เจียงเต๋อชิงหมดหนทางจำต้องรับคำแล้ว
วันต่อมาหลังประชุมราชกิจ ฉีเซียวก็สั่งคนไปเชิญไป่เริ่นที่จวนหลิ่งหนานอ๋อง คนส่งข่าวเอ่ยถ้อยคำกำกวมพูดเพียงว่า ‘ข่าวดี’ ที่ซื่อจื่อเอ่ยถึงมีวี่แววแล้ว ทันทีที่ไป่เริ่นได้ยินไหนเลยจะนั่งติดที่ แม้ในใจยังรวดร้าวกับเรื่องเฉินเฉาเกอ ทว่าก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเร่งรุดมาทันใด
ครั้งนี้ฉีเซียวยังคงเชิญอีกฝ่ายมาที่ห้องหนังสือ ไป่เริ่นเข้าห้องมายังคงแสดงความเคารพตามธรรมเนียม ฉีเซียวก้าวขึ้นไปประคองเขา ถือวิสาสะจับข้อมือไป่เริ่นพลางยิ้มอ่อนโยน “ซื่อจื่อไม่ต้องมากพิธี นั่งลงเถิด”
ไป่เริ่นไม่สงสัยอันใดเพียงจัดอาภรณ์ให้ดีแล้วนั่งลงอย่างสำรวม ฉีเซียวพิศมองสีหน้าไป่เริ่นอย่างละเอียด ก่อนยิ้มเอ่ย “เมื่อวานซื่อจื่อนอนไม่หลับหรือ ใต้ตาออกจะดำคล้ำทีเดียว”
“มิใช่…เมื่อคืนอ่านหนังสือดึกไปหน่อย” ไป่เริ่นฝืนยิ้มเล็กน้อย “ได้ยินว่าเรื่องนั้นรัชทายาทรู้เหตุภายในแล้วหรือ”
ฉีเซียวพยักหน้า “ใช่ เมื่อวานได้ฟังคำพูดเจ้า ข้าก็ส่งคนไปถามองค์หญิงใหญ่ตุนซู่ ที่แท้มีเรื่องนี้จริงๆ จะว่าไป…หึๆ ไป่เริ่น อีกไม่นานพวกเราก็จะเป็นญาติกันแล้วนะ”
ไป่เริ่นคิดไม่ถึงว่าฉีเซียวจะพูดตรงไปตรงมาเช่นนี้ ถ้อยคำที่คิดไว้อย่างดีในใจไม่มีที่ทางให้ใช้ เขาชะงักไปเล็กน้อยก่อนถามว่า “ไม่รู้ว่า…จวิ้นจู่คนใดของหลิ่งหนานเราที่มีวาสนาดีเพียงนี้หรือ”
ฉีเซียวแย้มยิ้มไม่ตอบคำ เพียงหันไปมองเจียงเต๋อชิงแวบหนึ่ง เจียงเต๋อชิงเข้าใจความหมายจึงนำข้ารับใช้ทั้งหมดถอยออกไป ฉีเซียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอึกหนึ่ง เอ่ยเนิบนาบ “ก่อนหน้าข้ายังมีความกังวลระคนสงสัยว่าเหตุใดซื่อจื่อจึงใส่ใจเรื่องนี้นัก เมื่อวานสืบข่าวชัดเจนก็เข้าใจขึ้นบ้าง ซื่อจื่อ…คงไม่อยากให้พี่สาวร่วมอุทรแต่งกับข้ากระมัง”
ใจไป่เริ่นกระตุกวูบ ทว่ายังคงยิ้มสอพลอ “รัชทายาทพูดเล่นแล้ว ได้อภิเษกสมรสกับพระองค์เป็นบุญวาสนายิ่งใหญ่ เพียงแต่…” ก่อนหน้านี้ไป่เริ่นรู้สึกว่าฉีเซียวเป็นคนพูดคุยด้วยยากสุดแสน ทุกเรื่องล้วนต้องพูดอ้อมค้อม อยากถามความจริงยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์ ผู้ใดเล่าจะรู้ว่าวันนี้ฉีเซียวกลับเปิดประตูเห็นภูเขา ตรงไปตรงมาสุดขีดจนเขาไม่รู้ว่าควรตอบโต้อย่างไร
ฉีเซียวเห็นไป่เริ่นประดักประเดิดก็คลี่ยิ้มอย่างเข้าใจและเอ่ยนุ่มนวล “ซื่อจื่อไม่จำเป็นต้องพูดวาจาน่าฟังกลบเกลื่อนข้า พูดตามจริงหากข้ามีพี่สาวร่วมอุทรก็คงไม่ยินดีให้นางแต่งออกไปไกลเช่นกัน”
ไป่เริ่นอึ้งเล็กน้อย ฉีเซียวกล่าวต่อยิ้มๆ “ไม่มีอันใดที่พูดกับข้าไม่ได้ เหล่านี้เป็นธรรมดาของมนุษย์ หลังจากสตรีแต่งงานย่อมมีความยากลำบากมากมาย หากคนที่แต่งด้วยฐานะคู่ควรเหมาะสม ซ้ำยังใกล้กับบ้านเดิม เช่นนั้นวันข้างหน้ายังมีที่พึ่งพิง หากเหมือนกับโหรวจยาจวิ้นจู่…เดินทางยาวไกลนับพันหลี่มาเป็นชายารองของข้า คงเป็นการแต่งออกที่ไม่สมดั่งใจปรารถนาที่สุด”
ไป่เริ่นไม่เคยคิดเลยว่าฉีเซียวจะเข้าใจและมีเหตุผลเพียงนี้ เขาพลันเก็บสีหน้าเอ่ย “รัชทายาททรงเมตตากรุณา พูดสิ่งที่ไป่เริ่นอยากพูดแล้วทั้งหมด ไม่ขอปิดบังรัชทายาท ไป่เริ่นมีพี่สาวที่เกิดจากแม่เดียวกันแค่คนเดียว ความรักใคร่ผูกพันผู้อื่นมิอาจเทียบ โหรวจยานิสัยอ่อนโยนเกินไป ทั้งร่างกายยังไม่แข็งแรงนัก ไม่อาจเสวยสุขสำราญของเชื้อพระวงศ์ได้อย่างแท้จริง ไป่เริ่นหวังเพียงวันข้างหน้าโหรวจยาได้พบสามีที่เป็นปุถุชนธรรมดาสักคน มีชีวิตเรียบง่ายตลอดชีวิตก็พอ สิ่งอื่น…ไป่เริ่นมิกล้าคิดฝันจริงๆ”
ฉีเซียวถอนใจแผ่วเบา คนผู้นี้ยังคงเด็กเกินไป ตนแค่เอ่ยวาจาใส่ใจประโยคเดียวเขาก็ปฏิบัติตอบอย่างจริงใจ แสดงจุดอ่อนออกมาทั้งหมด หากปล่อยเขาไปอีก เช่นนั้นตนเองคงไร้ประโยชน์จริงๆ
ฉีเซียวคลี่ยิ้ม “เช่นนั้นซื่อจื่อต้องการสิ่งใดหรือ”
ไป่เริ่นลุกขึ้นคุกเข่าลงอย่างนอบน้อม หลุบตาเอ่ยเสียงต่ำ “เรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ใช่จำต้องเป็นโหรวจยาจึงจะสำเร็จ ไป่เริ่นยังมีน้องสาวคนหนึ่ง คังไท่จวิ้นจู่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งเมื่อปีก่อน ไม่กล้าปิดบังรัชทายาท คังไท่แม้มิได้เกิดจากชายาเอก ทว่านอกจากชาติกำเนิดสายตรงสายรองที่แตกต่างกันนั้นก็ไม่มีข้อด้อยให้เอ่ยถึงอีก รัชทายาท…หากรัชทายาทส่งเสริมไป่เริ่น ภายหน้าบุกน้ำลุยไฟไป่เริ่นล้วนไม่บ่ายเบี่ยง”
ฉีเซียวมองไป่เริ่นอย่างนึกสนุก ไม่รับปากและไม่สั่งให้ลุกขึ้น พักหนึ่งถึงแย้มยิ้มและเอ่ยช้าๆ “ไป่เริ่น…เจ้าเองก็เข้าใจ เรื่องนี้เสด็จพ่อเสด็จแม่อีกทั้งองค์หญิงใหญ่ต่างก็ทรงทราบ ต้องการเปลี่ยนจวิ้นจู่กะทันหันไม่ง่ายดาย…”
หน้าผากไป่เริ่นมีเหงื่อผุดขึ้นชั้นหนึ่ง น้ำเสียงทวีความนบนอบ “เป็นไป่เริ่นบังอาจแล้ว ทว่า…ขอรัชทายาทโปรดช่วยให้สมปรารถนา”
“ไป่เริ่น มิใช่เป็นข้าที่ช่วยเจ้าให้สมปรารถนา…” ฉีเซียวโน้มตัวลงประคองไป่เริ่นลุกขึ้น ก่อนออกแรงที่มือดึงเขาเข้ามาในอ้อมแขนตรงๆ ก้มหน้าหัวเราะเบาๆ “เรื่องนี้จะเป็นอย่างไรต้องดูว่าเจ้าช่วยให้ข้าสมความปรารถนาหรือไม่…”
โปรดติดตามตอนต่อไป…