everY
ทดลองอ่าน รัชทายาทบัญชา เล่มที่ 1 บทที่ 12 #นิยายวาย
ไป่เริ่นยืนอยู่หน้าเตียง เห็นฉีเซียวกลับเข้ามาอีกทั่วร่างก็เกร็งเครียด ฉีเซียวเดินเข้าไปใกล้อย่างช้าๆ มองท่าทางไป่เริ่นที่เห็นชัดว่าหวาดกลัวแต่จำต้องยืนอยู่ที่เดิมอย่างอดทนก็บังเกิดความพึงพอใจอย่างไร้เหตุผล ฉีเซียวยื่นมือไปโอบเอวไป่เริ่น แม้จะถูกกั้นด้วยเนื้อผ้าเบาบางชั้นหนึ่งเขากลับสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะท้านจากคนตรงหน้า ความพรั่นกลัวของไป่เริ่นสร้างความพอใจให้ฉีเซียว เสียงของเขาผ่อนช้าลงเล็กน้อย เอ่ยอย่างอ่อนโยน “เดิมอยากรั้งตัวเจ้าไว้หนึ่งวัน เสียดายที่ฝ่าบาททรงจัดงานเลี้ยง…ไม่มีทางเลือก ข้าสั่งให้คนเตรียมรถม้ากับเกี้ยวให้เจ้าแล้ว ประเดี๋ยวจะส่งเจ้ากลับ”
ไป่เริ่นโล่งใจไปเฮือกใหญ่ทว่าภายนอกยังคงไม่กล้าแสดงออก เพียงพยักหน้าเบาๆ ฉีเซียวมีหรือจะมองไม่ออกพลันกระชับวงแขนแทบดึงตัวเขามาแนบสนิทกับร่างของตน ยิ้มน้อยๆ เอ่ย “เกรงว่าคืนนี้พวกเขาจะกดดันให้เจ้าดื่มสุรา ห้ามดื่มมาก…มากสุดสามจอก เข้าใจหรือไม่”
“อื้อ” ไป่เริ่นรับคำอย่างขอไปที ฉีเซียวกลับยังเห็นว่าไม่พอ จึงสะกิดใบหน้าไป่เริ่นอย่างไม่สำรวม ก่อนหัวเราะเบาๆ “ดื่มมากหน้าขึ้นผื่นแดงง่าย ผิวพรรณเนียนนุ่มเช่นนี้ จะไม่ดูแลอย่างดีได้อย่างไร…”
ไป่เริ่นได้ฟังก็พลันเดือดดาล ทว่าไม่รอให้เขาบันดาลโทสะฉีเซียวก็ปลอบประโลมเสียงเบา “อย่าได้โมโห ข้าล้อเจ้าเล่น ไม่เคยได้ยินที่ว่าดื่มสุราเป็นประจำทำให้เกิดโรคโมโหง่ายจนล้มป่วยมาบ้างหรือ อายุน้อยยังขี้โมโหขนาดนี้หากดื่มสุราเป็นนิตย์อีก เสียสุขภาพ…หากแม่เจ้ารู้เข้าคงปวดใจมิใช่หรือ”
ไป่เริ่นที่เดิมโดนการหยอกเย้าของฉีเซียวกระตุ้นให้เกิดไฟโทสะกลับโดนประโยคนี้จี้ใจ ไฟโทสะมลายสิ้น ด้วยคิดถึงท่านแม่ในใจบังเกิดความรู้สึกไม่เป็นธรรมกระแสหนึ่งขึ้นทีละน้อย พลันเบือนหน้าหนีไม่เอ่ยคำ ฉีเซียวยกยิ้มอย่างพอใจอยู่ในใจ ก่อนหน้านี้เขาพูดกับเจียงเต๋อชิงว่าไป่เริ่นกับตนเองคล้ายกันหาใช่ไร้ซึ่งเหตุผล แค่มองดูไป่เริ่นเช่นนี้ฉีเซียวแทบเห็นความยินดี โกรธแค้น เศร้าโศก และความสุขของเขาไว้ในสายตา ทุกแววตา ทุกท่วงท่า ทุกความคิด ฉีเซียวอ่านออกทั้งหมด
ฉวยจังหวะยามคนเป็นทุกข์ปลอบโยนครั้งนี้ผลที่ได้ดีกว่าเวลาปกติมากนัก ความเชี่ยวชาญในการเห็นร่องปักเข็ม อันยอดเยี่ยมของฉีเซียวย่อมไม่ปล่อยโอกาสดีเลิศนี้ไป เขาพลันโอบเจ้าตัวมากอด เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนยิ่งขึ้น “เพื่อท่านแม่ที่หลิ่งหนานของเจ้าก็ควรรักษาตัวเสียหน่อย หึ…เจ้ายังเล็กเกินไป วางใจ ต่อไปมีข้าปกป้องเจ้า หากคืนนี้พวกเขากดดันเจ้าให้ดื่มสุรา ข้าขวางให้เจ้าดีหรือไม่”
ไป่เริ่นกลัวว่าเสียงจะแหบพร่าจึงไม่กล้าเอ่ยวาจา เพียงพยักหน้าน้อยๆ ฉีเซียวมองอยู่ในสายตารู้สึกแค่เขาช่างน่ารักว่าง่าย จึงก้มหน้าจูบใบหูเขาทีหนึ่ง กระซิบงึมงำ “อยากรั้งตัวเจ้าไว้ที่นี่จริงๆ ไม่ให้เจ้าไปตลอดชีวิต…”
ฉีเซียวพูดอย่างเบาสบาย ไป่เริ่นได้ฟังคำพูดนี้กลับตัวสั่นสะท้านอย่างอดไม่ได้ เขารู้แต่แรกว่าฉีเซียวยากตอแย วันนี้ประสบเหตุการณ์นี้ไปยิ่งประจักษ์ในฝีมืออีกฝ่ายว่าไม่ใช่คนที่ตนเองรับมือได้อย่างแน่นอน หากฉีเซียวเกิดนึกสนุกชั่วขณะขึ้นมาไม่ไยดีรักษาหน้าตาของกันและกันขังเขาไว้ที่นี่ทั้งวัน…
ไป่เริ่นกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง เอ่ยช้าๆ “รัชทายาท…ด้านนอกมีดวงตามากมายจ้องมองอยู่ รัชทายาทไม่ใส่พระทัยชื่อเสียงของไป่เริ่นก็ควรเคารพตนเอง…”
“ฮ่าๆ” ฉีเซียวหัวเราะ “คิดอันใดนั่น เจ้าเห็นว่าข้าว่างงานเพียงนั้นเชียว วันนี้ข้าเจียดเวลามาอยู่กับเจ้าเป็นพิเศษ ปกติไหนเลยจะมีวันสบายๆ เช่นนี้…”
ไป่เริ่นคิดในใจว่าดีที่สุดคือไม่ว่างสักวันเลยจะดีกว่า ฉีเซียวจุมพิตบนหน้าผากไป่เริ่นทีหนึ่งเก็บงำรอยยิ้มแล้วเอ่ยเชื่องช้า “ข้าไม่มีทางทำให้เจ้าตกที่นั่งลำบาก สถานการณ์อย่างเช่นวันนี้ข้าไม่จงใจรั้งตัวเจ้าไว้แน่ แต่วันอื่น…ไม่ว่าเมื่อไรที่ข้าสั่งเจียงเต๋อชิงไปรับ เจ้าล้วนต้องตามมาอย่างว่าง่ายรู้หรือไม่”
ไป่เริ่นหลับตา พยายามอดทนต่อการหยามเกียรติสุดกำลัง ปากตอบเพียง “อื้อ” เสียงหนึ่ง
ฉีเซียวยิ้มอย่างพอใจ “ว่าง่ายๆ ข้าย่อมเอาอกเอาใจเจ้า ไปเถิด”
เจียงเต๋อชิงรออยู่ด้านนอกตลอด เห็นทั้งสองออกมาก็รีบร้อนเข้าไปรับหน้า “ซื่อจื่อ รถม้าจัดเตรียมพร้อมแล้วตามกระหม่อมมาทางนี้เถิด”
ไป่เริ่นแทบอยากจะจากไปให้รู้แล้วรู้รอดเสียเดี๋ยวนี้จึงเร่งร้อนออกจากประตูไป ฉีเซียวหยักมุมปากยิ้ม ต้องมีสักวันที่เขาจะทำให้ไป่เริ่นไม่อาจหักใจจากไป
ไม่นานนักเจียงเต๋อชิงก็กลับมาและเอ่ยช้าๆ “รัชทายาท ให้หลี่เอ้อร์สะกดรอยตามรถม้าแล้ว เขาค่อนข้างมีอายุซ้ำยังปิดปากสนิทไม่เกิดเหตุผิดพลาดแน่พ่ะย่ะค่ะ ”
ฉีเซียวพยักหน้าแล้วหมุนตัวไปอ่านรายงานต่อ เจียงเต๋อชิงขยับขึ้นไปฝนหมึกพลางเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงต่ำ “พระองค์ทรงรักหยกถนอมบุปผาโดยแท้ เมื่อครู่กระหม่อมยังกลัวว่าซื่อจื่อจะลุกไม่ไหวอยู่เลยเชียว”
ฉีเซียวโคลงศีรษะก่อนหัวเราะ “สงครามตีเมืองชนะได้ด้วยการโจมตีหัวใจ ได้ตัวคนมาใช้อย่างเดียวจะไปสนุกอันใด อีกอย่าง…เขาผอมบางเกินไป จะทนรับไหวหรือไม่ก็สุดจะรู้”
เจียงเต๋อชิงยิ้มน้อยๆ “รัชทายาททรงใคร่ครวญลึกซึ้งยาวไกล เพียงแต่…ในเมื่อไม่รีบร้อนใช้งานคน เหตุใดต้องแตกหักไม่ไว้หน้ากันด้วยเล่า ซื่อจื่อกำลังเศร้าเสียใจเพราะคนแซ่เฉินผู้นั้น เวลานี้พระองค์ปฏิบัติต่อซื่อจื่อดีๆ ดึงใจเขามาช้าๆ ให้ซื่อจื่อผูกใจรักพระองค์ผู้เดียว เช่นนี้มิใช่ยอดเยี่ยมกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ ”
ฉีเซียวแค่นยิ้ม “เจ้าคิดว่าข้าเป็นวิญญูชนหลายใจอย่างบนเวทีละครงิ้วอย่างนั้นหรือ ยังจะมารักเดียวใจเดียว…ข้าอยากแสดงเป็นคนดีต่อ แต่เวลากลับรีบด่วนเหลือเกิน ซ้ำเขาก็ไม่ใช่คนที่เห็นใครก็จะรักคนนั้นได้ทันที อีกไม่กี่วันเรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ก็จะมีบทสรุปแล้ว ข้ามีหรือจะดึงใจเขามาทัน นอกจากนี้…ขืนทำท่วงทีอ่อนโยนนุ่มนวลไปตลอด เขาอาจเห็นข้าเป็นคนดีขึ้นมาจริงๆ อย่างไรต้องขู่ขวัญเขาครั้งหนึ่ง วันข้างหน้าเขาจะได้รู้จักเกรงกลัว”
เจียงเต๋อชิงนิ่งไปก่อนเอ่ย “รัชทายาททรงไตร่ตรองถี่ถ้วนแล้วอย่างแท้จริง หวังเพียงซื่อจื่อตระหนักได้โดยเร็ววันว่าพระองค์ทรงพึ่งพาได้มากกว่าคนแซ่เฉินนั่น”
ฉีเซียวคลี่ยิ้มไม่ตอบโต้ พักหนึ่งจึงกล่าว “เตรียมอาภรณ์ให้ข้า ข้าจะเข้าวังเดี๋ยวนี้ เรื่องโหรวจยา…ยังต้องขอให้เสด็จป้าออกหน้า”
โปรดติดตามตอนต่อไป…