บทที่ 13
ในตำหนักอวี้ซิ่ว องค์หญิงใหญ่ตุนซู่อุทาน “เจ้าไม่ต้องการโหรวจยาแล้ว?”
ในใจของฉีเซียวยังรู้สึกละอายกับองค์หญิงใหญ่ตุนซู่อยู่บ้าง เดิมเขาก็ไม่สมัครใจจะรับชายารอง ตั้งแต่ต้นจนจบทั้งหมดเป็นอุบายที่เขาวางไว้ องค์หญิงใหญ่ตุนซู่ทุ่มเททำเพื่อเขากลับโดนใช้ประโยชน์ บัดนี้ได้ไป่เริ่นอยู่ในมือแล้วฉีเซียวจึงไม่ปิดบังองค์หญิงใหญ่ตุนซู่อีก สารภาพเรื่องราวก่อนหน้าออกไปโดยละเอียด
“ฝั่งโหราราชบัณฑิต ข้าส่งคนไปนัดแนะเรียบร้อย พวกเขาจะบอกว่าปีนี้ข้าไม่เหมาะที่จะมีงานมงคล ฝ่าบาทคงแทบรอไม่ไหวที่ข้าจะสูญเสียแรงหนุนจากหลิ่งหนาน แน่นอนว่าต้องรีบร้อนตกปากรับคำไม่ให้สงสัยมาถึงตัวข้า เช่นนี้จึงจะปัดเรื่องงานแต่งกับหลิ่งหนานให้ตกไปได้” ฉีเซียวพูดแผนการขั้นต่อไปของตนเองออกมาเสียเลย “เสด็จป้าคงไม่รู้…ฮองเฮายังวางแผนจะถือโอกาสนี้ประทานหลานสาวที่เกิดจากอนุภรรยาให้ข้าเช่นกัน ประจวบเหมาะจะปัดไปทั้งคู่ เสด็จป้า…คิดเห็นเช่นไร”
องค์หญิงใหญ่ตุนซู่สีหน้าเขียวคล้ำพยายามสะกดเพลิงโทสะสุดความสามารถจนฟังฉีเซียวพูดจบ ครั้นได้ยินเขาถามเช่นนั้นก็เอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว “ข้าคิดเห็นเช่นไร?! ในสายตาเจ้ายังมีข้าอีกหรือ เรื่องเกี่ยวดองกับหลิ่งหนานข้าเสียแรงกายแรงใจไปมากเพียงไรเพื่อแย่งชิงมาให้เจ้า! วันนี้เป็นเพราะซื่อจื่ออายุสั้นที่ไม่รู้จะตายเมื่อไรคนนั้นทำเสียเรื่อง! เจ้ายังกล้าถามว่าข้าคิดเห็นเช่นไร!”
ฉีเซียวร้องย่ำแย่ในใจ เขารู้ว่าหลังจากองค์หญิงใหญ่ตุนซู่รู้เรื่องจะต้องโกรธ แต่นึกไม่ถึงว่าจะโกรธขนาดนี้ เขาพลันเดินเข้าไปดึงมือองค์หญิงใหญ่ตุนซู่หว่านล้อมซ้ำๆ “หากเสด็จป้าโกรธจะทุบตีข้ายกหนึ่งก็เอาเถิด แต่อย่าโมโหจนกระเทือนสุขภาพ…”
“วันนี้เจ้าเล่ห์เหลี่ยมล้นฟ้า ยังสนใจความเป็นตายของข้าอีกหรือ ยั่วโมโหข้าให้ตายไปแต่เนิ่นๆ ก็ยิ่งดี! ข้าจะได้กลับไปขอรับผิดกับเสด็จพ่อเสด็จแม่เจ้าเร็วๆ หลายปีมานี้ทุ่มเทความคิดและจิตใจเต็มที่ก็ยังไม่อาจอบรมองค์รัชทายาทให้ดีได้ กลับทำลายกำลังตนเองเพื่อผู้ชายคนเดียว!” องค์หญิงใหญ่ตุนซู่สะบัดมือฉีเซียว ตะคอกอย่างเดือดดาล “เจียงเต๋อชิงเล่า! ให้เขาเข้ามา!”
เจียงเต๋อชิงที่เฝ้าอยู่นอกตำหนักมาตลอดได้ยินก็พลันร้องย่ำแย่ไม่หยุดปาก จากนั้นจึงค้อมกายเดินเข้ามาด้วยท่าทีขมขื่น องค์หญิงใหญ่ตุนซู่หัวเราะเย็น “หึๆ…เจ้ากลับยังมีหน้ามาพบข้า! เจียงเต๋อชิง ก่อนหน้านี้ข้ากำชับเจ้าอย่างไร ห้ามชักนำให้รัชทายาทเล่นกับพวกเบี่ยงเบนเหล่านั้น! เจ้ากลับปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่เหลือเกิน บัดนี้รัชทายาทเล่นกับชายบำเรอลามไปถึงหลิ่งหนานซื่อจื่อแล้ว! เจ้าตาบอดหรือหูหนวกกันแน่ รู้ทั้งรู้ไยไม่ห้ามปรามสักคำ! หรือว่าเป็นใบ้! กระทั่งมาตำหนักอวี้ซิ่วเพื่อบอกข้าสักประโยคก็ทำไม่เป็น!
เจียงเต๋อชิงไหนเลยจะกล้าชี้แจง คุกเข่าลงโขกศีรษะไม่หยุด
ในใจฉีเซียวหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก องค์หญิงใหญ่ตุนซู่รักใคร่เมตตาเขามาตลอด ก่อนหน้านี้เขาคาดว่าตนคงถูกอบรมสั่งสอนสักคำรบ กลับคิดไม่ถึงว่าสองสามวันนี้องค์หญิงใหญ่ตุนซู่พำนักในวังหลวง สิ่งที่ตาเห็นหูได้ยินล้วนเป็นการแก่งแย่งชิงอำนาจระหว่างบรรดาองค์ชาย และการวางอุบายชิงดีชิงเด่นของเหล่าสนมชายา ในใจเหลืออดมาตั้งแต่แรก ด้วยตำแหน่งฐานะและเกียรติยศของนางทำให้นางไม่อาจเสียกิริยาอันดีต่อหน้าผู้อื่น และฉีเซียวก็ดันมาเวลานี้รับเพลิงโทสะติดกันหลายวันขององค์หญิงใหญ่ตุนซู่เข้าอย่างจัง
ฉีเซียวหมดหนทางจึงเดินเข้าไปก้าวหนึ่ง คุกเข่าลงข้างกายองค์หญิงใหญ่ตุนซู่แล้วยิ้มขื่น “เสด็จป้าอย่าได้ถือโทษเจียงเต๋อชิง เขาห้ามปรามข้าตลอดแต่ข้าไม่ฟังเท่านั้น เสด็จป้าโกรธก็มาลงกับข้าเถิดอย่ากลั้นไว้เลย หากยังไม่หายโกรธ…” ฉีเซียวดึงมือองค์หญิงใหญ่ตุนซู่มา เอ่ยอย่างหน้าไม่อาย “ตีข้าสองสามทีเถิด ขอเพียงเสด็จป้าเห็นแก่ที่อีกพักหนึ่งข้าต้องพบหน้าคน ไม่ตีหน้าก็พอแล้ว”
องค์หญิงใหญ่ตุนซู่ขมวดคิ้วปัดมือฉีเซียวออก ปากดุว่า “ทำท่าทีเช่นนี้ให้มันน้อยหน่อย!”
ฉีเซียวเห็นองค์หญิงใหญ่ตุนซู่ไม่คล้ายโมโหพลุ่งพล่านอย่างเมื่อครู่ก็เบือนหน้าไปขยิบตาให้เจียงเต๋อชิง เจียงเต๋อชิงรู้ความนัย ค่อยๆ ลุกขึ้นและถอยออกไป ฉีเซียวคลี่ยิ้มเอ่ยเนิบช้า “เช่นนั้นข้าจะคุกเข่าไปเรื่อยๆ รอจนเสด็จป้าหายโกรธ”
องค์หญิงใหญ่ตุนซู่ปรายตามองฉีเซียวปราดหนึ่ง แม้ฉีเซียวจะคุกเข่าบนพื้นพรม ทว่าก็เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว พื้นย่อมเย็น…