ฉีเซียวเข้าใจความหมายของไป่เริ่นในพริบตา หากต้องการปัดเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ตกไปอย่างไม่ทิ้งพิรุธ เวลานี้คือโอกาสที่ดีที่สุด
“ไม่เคยจริงๆ กระหม่อมก็ไม่รู้ว่า…คำพูดเหล่านี้น้องรองได้ยินมาจากที่ใด” ฉีเซียวมองไปทางฮ่องเต้ เอ่ยอย่างจริงจัง “กล่าวตามจริง ก่อนหน้านี้กระหม่อมก็เคยได้ยินข่าวลือคล้ายๆ กัน เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าข่าวไร้มูลเหตุนี้กลับทำร้ายซื่อจื่อ เสด็จพ่อ…ทูลขอเสด็จพ่อออกหน้าตรัสประโยคหนึ่ง กระหม่อมไม่เคยคิดแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับหลิ่งหนาน วันข้างหน้าก็ไม่มีทางเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ได้ยินกลับตะลึงงัน เขาไม่เคยคิดเลยว่าฉีเซียวจะวางมืออย่างง่ายดาย แต่ไม่ว่าเพราะเหตุใด ฉีเซียวเป็นคนเลิกล้มการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เองก็นับเป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ยินดียิ่ง ฮ่องเต้มองฉีเซียวพลางเอ่ยถามอย่างลังเลว่า “เซียวเอ๋อร์…เจ้าคิดเช่นนี้จริงหรือ”
ฉีเซียวพยักหน้า “ส่วนทางเสด็จป้า กระหม่อมย่อมมีคำอธิบายให้เองพ่ะย่ะค่ะ”
นี่เกรงว่าเป็นเรื่องน่าเฉลิมฉลองเพียงอย่างเดียวในวันนี้ของฮ่องเต้ แม้แต่ท่าทีไม่ยอมรามือของไป่เริ่นเมื่อครู่ก็ไม่ติดใจอีก เขาพยักหน้าเอ่ย “ดี ไป่เริ่น เจ้าก็ได้ยินแล้ว วันข้างหน้ารัชทายาทจะไม่สู่ขอจวิ้นจู่จากหลิ่งหนานของพวกเจ้าอีกอย่างเด็ดขาด เจ้าวางใจได้”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท เช่นนี้กระหม่อมก็วางใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ไป่เริ่นขยับขึ้นหน้าก้าวหนึ่งและคุกเข่า เอ่ยด้วยนัยน์ตาเย็นชาท่าทางเคร่งขรึม “เรื่องวันนี้ แม้องค์ชายรองลงมือก่อนแต่ความผิดล้วนอยู่ที่กระหม่อม นับแต่กระหม่อมมาจากหลิ่งหนานด้วยเลื่อมใสในความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของเมืองหลวง และเคารพยกย่องความสง่างามทรงอานุภาพของฝ่าบาทจึงไม่จากไป ทั้งยังเป็นความตั้งใจของหลิ่งหนานอ๋องผู้เป็นบิดาของกระหม่อม หลิ่งหนานถึงอยู่ห่างไกลนับพันหลี่ แต่มิเคยหลงลืมแผ่นดินบ้านเมืองแม้ชั่วขณะ บิดาให้กระหม่อมมาศึกษาเล่าเรียนที่เมืองหลวง เพื่อภายหน้าจะได้กล่อมเกลาไพร่ฟ้าให้ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาททุกเมื่อ ทว่าวันนี้…กระหม่อมพำนักในเมืองหลวงผ่านไปเดือนกว่ายังมิอาจร่ำเรียนได้วิชาแม้สักกระผีก กลับทำให้องค์ชายรองเป็นเช่นนี้ กระหม่อมทบทวนตนเองดูเรื่องวันนี้ล้วนเป็นความผิดของกระหม่อม…”
“เด็กดี อย่าได้เอ่ยเช่นนี้เลย” ต่อให้ฮ่องเต้หน้าหนาเพียงไรเมื่อได้ฟังคำกล่าวนี้ของไป่เริ่นก็แทบจะทานทนไม่ได้อยู่รอมร่อ เอ่ยปลอบเสียงอ่อนโยน “เราพูดแล้ว เรื่องวันนี้เป็นความผิดของฉีหวาทั้งหมด เพราะปกติเราโปรดปรานเซียวเอ๋อร์มากไปบ้าง เขาถึงทำนิสัยเอาแต่ใจเป็นเด็กๆ วันนี้ท่าทางจะดื่มสุรามาเล็กน้อย ยิ่งไม่มีกฎระเบียบ ไป่เริ่นเจ้าวางใจเราจะลงโทษเขาอย่างหนักแน่นอน…”
ไม่เพียงเพื่อสยบเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ถึงคำพูดของไป่เริ่นเมื่อครู่จะขยายความอวดโอ่ ทว่าทุกคนในที่นั้นรู้ดี ไป่เริ่นใช่เป็นแค่ซื่อจื่อคนหนึ่ง เขาเป็นตัวแทนของหลิ่งหนาน ท่าทีที่เมืองหลวงมีต่อเขาเทียบได้กับท่าทีที่มีต่อหลิ่งหนาน หากไป่เริ่นเป็นอันใดไปหลิ่งหนานอ๋องจะอาศัยเหตุนี้ก่อสงครามก็มิใช่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นต่อให้ผู้อื่นดูแคลนฐานะตัวประกันของไป่เริ่นแต่ภายนอกก็ยังต้องเคารพนอบน้อม ผู้ใดล้วนไม่อยากกลายเป็นต้นเหตุของการสู้รบทางชายแดนใต้ และไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจเรื่องนี้กระจ่าง อย่างน้อยก็ไม่ใช่ฉีหวาตัวโง่งมผู้นี้
ฉีหวาซึ่งยังคุกเข่าอยู่บนพื้นตัวสั่นระริกยิ่งกว่าเก่า ฮ่องเต้เห็นท่าทางเช่นนั้นของเขาก็ยิ่งเดือดดาล ไป่เริ่นอยู่ที่นี่พูดมานานสองนาน อย่าว่าแต่คำโต้แย้งสักครึ่งประโยค กระทั่งขออภัยโทษยังงึมๆ งำๆ ไหลตามน้ำไร้จุดยืน! ฮ่องเต้เจ็บใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กเป็นเหล็กกล้า พลันตะโกนเสียงเฉียบ “ใครก็ได้! ลากลูกไม่รักดีผู้นี้ไปโบยหนักยี่สิบไม้! หากผู้ใดกล้ายั้งมือ เราจะบั่นคอมันเสีย!”
เดิมฉีหวาคิดว่าร้ายแรงที่สุดคือโดนตีด้วยไม้ระเบียบไม่กี่ที คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะเอาจริงจึงร้องเสียงหลง ฮ่องเต้ชายตามองฝูไห่ลวี่แวบหนึ่ง ฝูไห่ลวี่เข้าใจความนัยรีบขยับเข้าไปอุดปากฉีหวา ประการแรกคือกลัวเขาจะร้องเจ็บจนกัดลิ้นตนเอง ประการที่สองคือ…ผู้ใดจะรู้ว่าฉีหวาจะพูดวาจาถึงแก่ชีวิตอันใดออกมาอีกบ้าง!
ในลานมีเสียงไม้ทุ้มหนักดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ฉีเซียวเบือนศีรษะปรายตามองไป่เริ่นวูบหนึ่ง ก่อนหันหน้าไปทางฮ่องเต้และค้อมกายเอ่ยว่า “บาดแผลของซื่อจื่อยังต้องจัดการโดยเร็ว ในเมื่อเรื่องวันนี้เกี่ยวพันถึงลูก…ให้ไป่เริ่นไปพักผ่อนที่ตำหนักของลูกชั่วคราว นับว่าเป็นการขออภัยต่อซื่อจื่อด้วย”
ฮ่องเต้อย่างไรก็ได้ทั้งสิ้นจึงพยักหน้าเอ่ย “ยังเป็นเซียวเอ๋อร์ที่คิดการรอบคอบ บอกหมอหลวงให้ใช้ยาที่ดีที่สุด หากอาการบาดเจ็บของไป่เริ่นมีความผิดพลาดสำนักหมอหลวงเป็นผู้รับผิดชอบเพียงผู้เดียว!”
“พ่ะย่ะค่ะ” ฉีเซียวหันไปมองไป่เริ่น แววตาลึกซึ้ง “ซื่อจื่อตามข้ามาเถิด”
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน รัชทายาทบัญชา ฉบับเต็ม