ฉีเซียวหันหน้าไป เจียงเต๋อชิงพลันส่งตั๋วเงินปึกหนึ่งมา ฉีเซียวยิ้มอย่างอ่อนโยน โน้มตัวลงวางตั๋วเงินตรงหน้าไป่เริ่น “เจ้าอยู่ที่นี่ตัวคนเดียว คงมีเงินติดตัวไม่มาก ไยจึงใช้เงินฟุ่มเฟือยเพื่อสหายร่วมเรียนคนเดียวปานนี้ เก็บไว้เถิด ครั้งหน้าหากมีเรื่องเช่นนี้อีกมาหาข้าโดยตรงเป็นพอ หากทำได้ข้าไม่บ่ายเบี่ยงอย่างแน่นอน”
ไป่เริ่นเนื้อตัวรู้สึกชาไปทั้งหมด เขารับตั๋วเงินมา น้ำเสียงติดจะแหบพร่า “ไม่ทราบ…ผู้ที่รับสินบนคนนั้นคือ…”
ฉีเซียวยิ้มเหี้ยมเกรียม “เลขาธิการสำนักพระราชวัง สี่เสียง”
ไป่เริ่นหลับตา เข้าใจกระจ่างทั้งหมด
เฉินเฉาเกอขอเงินตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า กลับทำเพื่อ…ทำเพื่อกลับหลิ่งหนาน ตนเองก็โง่งม ทั้งที่รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน เพียงสืบข่าวนิดหน่อยเท่านั้นไยต้องใช้เงินมากมายเช่นนี้ แต่กลับไม่เคยถามมากความสักประโยค…
ขอบตาไป่เริ่นแดงเรื่อทันใด เขาเบือนหน้าไปสูดหายใจลึก หมัดกำแน่นอย่างไม่อาจควบคุม พยายามกดความเจ็บปวดรวดร้าวในใจสุดกำลัง ไม่ยอมเสียกิริยาต่อหน้าผู้อื่น ฉีเซียวมองเห็นอยู่ในสายตา ในใจพลันปวดร้อนเล็กน้อยอย่างไม่รู้สาเหตุ ขณะจะเอ่ยกลับเห็นไป่เริ่นเช็ดหางตาอย่างไม่เผยพิรุธ ค้อมกายหยิบกาขึ้น หลังจากลวกถ้วยชาอีกรอบหนึ่งก็รินให้ฉีเซียวหนึ่งถ้วย ยกถวายด้วยสองมือพร้อมฝืนยิ้มเอ่ย “เมื่อครู่พูดถึงที่ใดแล้ว อ้อ จริงด้วย…ไป่เริ่นกำลังฉงน ข่าวดีที่เล่าลือกันเป็นจริงหรือเท็จ”
ฉีเซียวมองไป่เริ่นอย่างหลงใหล เพียงพริบตากลับเก็บอาการได้แล้ว ฉีเซียวนึกมาตลอดว่าเรื่องความอดทนอดกลั้นไม่มีผู้ใดเทียบตนเองได้ คราวนี้อีกฝ่ายกลับไม่ตกเป็นรอง ฉีเซียวรับถ้วยชามาและเป่าลมแผ่วเบาพลางแสยะยิ้มในใจ เขามองคนไม่ผิดไป่เริ่นเป็นคนประเภทเดียวกับเขา
ฉีเซียวยิ่งมั่นใจมากขึ้น เพื่อโหรวจยาไม่ว่าอันใดไป่เริ่นก็ทนได้ทั้งนั้น
จากนั้นความตั้งใจเดิมของฉีเซียวคือพูดกับไป่เริ่นให้กระจ่างชัดว่าการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์จะเป็นจริงหรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับไป่เริ่น หากต้องการปกป้องพี่สาวแค่ต้องเอาตนเองมาชดเชย ถ้าไป่เริ่นเข้าใจสถานการณ์รู้จักโอนอ่อนผ่อนตาม วันนี้ไม่แน่อาจได้เอารัดเอาเปรียบสักหน่อย…
แต่ไม่รู้เพราะอันใด มองไป่เริ่นยามนี้ฉีเซียวกลับใจอ่อนกะทันหัน ไป่เริ่นเพิ่งรู้เรื่องเฉินเฉาเกอ บัดนี้กำลังฝืนยืนหยัดอยู่เบื้องหน้าตนเอง ในใจกำลังมีคลื่นลมโหมกระหน่ำเพียงไรก็สุดจะรู้ได้ หากตนแทงซ้ำอีกแผลล่ะก็…
ฉีเซียวถอนใจเฮือกหนึ่ง ช่างเถิด บีบบังคับคนเกินไป หากเกิดผิดพลาดคนที่เสียประโยชน์ก็เป็นตนเองไม่ใช่หรือไร
“ไม่ขอปิดบังซื่อจื่อ ข่าวดีที่เอ่ยถึงนั้นข้าก็ได้ฟังมาบ้างเช่นกัน ทว่าไม่รู้เบื้องลึกอย่างแท้จริง” ฉีเซียวยิ้มอย่างเปิดเผยสบายใจ “ไม่ใช่ข้าแสร้งเขลา เรื่องใหญ่อย่างการอภิเษกสมรสข้าก็ได้เพียงเชื่อฟังคำกล่าวของพ่อแม่คำชักนำของแม่สื่อเท่านั้น เสด็จพ่อเสด็จแม่ไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้กับข้า ข้าก็แค่เคยได้ยินองค์หญิงใหญ่เอ่ยถึงประโยคสองประโยค สุดท้ายจะอย่างไรก็ยังไม่กระจ่างชัด แต่เมื่อซื่อจื่อถามมา พรุ่งนี้ข้าจะไปสอบถามสักประโยค หากรู้ความจริงแล้วจะบอกกับซื่อจื่ออย่างแน่นอน”
ฉีเซียวพูดอย่างนอบน้อมจริงใจ ไป่เริ่นมองไม่ออกว่าเขารู้หรือไม่รู้กันแน่ ในใจสับสนยิ่งนัก เกรงว่าตนพูดมากจะยิ่งพลาด หากพลั้งเผลอยั่วโมโหฉีเซียวขึ้นมาย่อมได้ไม่คุ้มเสีย จึงจำใจรับปากและพูดคุยไม่เป็นสาระตามมารยาทอีกสองสามประโยคก็ขอตัวกลับ
ฉีเซียวมาส่งไป่เริ่นถึงประตูใหญ่ รอกระทั่งอีกฝ่ายขึ้นเกี้ยวถึงหมุนตัวกลับจวน เจียงเต๋อชิงตามหลังเขามาและอดถามขึ้นไม่ได้ “องค์รัชทายาท…วันนี้ไยจึงไม่รั้งตัวซื่อจื่อเสียเลย ปล่อยเขากลับไปเช่นนี้เกิดคนแซ่เฉินนั่นมีคารมคมคายพูดกล่อมซื่อจื่ออีก…”
“ไม่มีทาง” ฉีเซียวย้อนคิดถึงฉากเมื่อครู่ “ไป่เริ่นมิใช่คนโง่งม หลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรวางอยู่นั่น เฉินเฉาเกอลบล้างได้หมดจดหรือ นอกเสียจากเฉินเฉาเกอจะยืนกรานแน่วแน่ว่าข้าใส่ร้ายและไม่กลับหลิ่งหนานเพื่อเป็นหลักฐานพิสูจน์ความบริสุทธิ์ แต่…หึๆ เจ้าว่าเขาหักใจได้หรือ เทียบกับรอเฉินเฉาเกอหยิบยกถ้อยคำสวยหรูสูงส่งออกมาอธิบายเป็นชุดๆ มิสู้ข้าอธิบายเรื่องราวให้กระจ่างชัดก่อน เมื่อความสัมพันธ์ของพวกเขาถึงที่สุดแล้ว ข้าย่อมลงมือง่ายดาย…” ฉีเซียวระบายยิ้มบาง “จะรีบร้อนไปด้วยเหตุใดกัน เขามีจุดอ่อนทั่วตัว ยังต้องกลัวกำราบไม่ได้อีกหรือ”
โปรดติดตามตอนต่อไป…